นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.พาณิชย์ กล่าวภายหลังเดินทางกลับจากการเจรจากับรัฐบาลมาดากัสการ์ เพื่อขอให้ผ่อนปรนให้กับผู้ประกอบการสามารถนำพลอยดิบ ออกจากประเทศมาดากัสการ์ได้ ถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 ยกคำร้องกรณีที่ไม่แจ้งการถือครองหุ้นเกินร้อยละ 5 เนื่องจากบริษัทดังกล่าวเลิกกิจการก่อนที่นายวิรุฬจะเข้ารับตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ว่า ตอนแรกเลยยังไม่เชื่อเท่าใด เพราะยังไม่ได้รับการติดต่อจากใครเนื่องจากอยู่ระหว่างการเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ค้าพลอย แต่ไม่ว่าผลเป็นอย่างไร ยังยืนยันว่าจะทำงานอย่างเต็มที่
แต่ก็ดีใจในส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเพียงแค่นี้แล้วเรื่องทุกอย่างจะยุติ เพราะเป็นการบอกอะไรบางอย่างถึงความตั้งใจทำงาน ที่บางครั้งไม่สามารถบอกด้วย คำพูดของเราได้ แต่การเมืองเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็พร้อมรับ และจนถึงขณะนี้ไม่ได้หมายความว่าจะพ้นข้อกล่าวหา เพราะยังต้องรอการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งในวันที่ 22 ก.ค. นี้ ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สำคัญ แต่ยืนยันว่าไม่ได้หมดกำลังใจแต่อย่างใดและไม่ว่าอยู่ในฐานะใดก็ตั้งใจจะทำงานและใช้ประสบการณ์ของตนเองที่มีมานานรับใช้ประเทศชาติอย่างสุดความสามารถ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผ่านมาเยอะ
ชี้พฤติกรรมรัฐทำคนแหยงร่วมครม.
นายเกียรติ สิทธิอมร กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรับ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะมีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ ว่า การปรับ ครม. เป็นโอกาสสุดท้ายที่รัฐบาลพยายามกู้วิกฤติความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ทั้งนโยบาย และตัวบุคคลที่จะเข้ามาแทน อย่างไรก็ตาม ที่พูดกันมากในแวดวงเศรษฐกิจ คนที่มีความสามารถ ดีและเก่ง จะไม่อยากเข้ามาทำงานกับรัฐบาล เพราะคนที่เข้ามาจะเจอปัญหาหนักมาก ทั้งที่ไม่น่าจะต้องมาเจออะไรที่หนักอย่างนี้ นโยบายสำคัญซึ่งหากทำงานต้องเดิน อยู่ในกรอบนโยบายที่สุ่มเสี่ยง เอื้อประโยชน์ทางการเมืองมากเกินไปคนดีๆ ก็จะไม่เข้ามาทำ
นายเกียรติ กล่าวถึงการปรับ ครม.ทีมเศรษฐกิจที่มีรายขื่อออกมาแล้วว่า นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาตลาดทุนไทย เป็นคนที่เชี่ยวชาญ ด้านตลาดทุนก็เป็นความชำนาญเฉพาะตัว แต่ด้านอื่นๆไม่ทราบ เพราะ ยังไม่เคยเห็นบทบาท โดดเด่นก็เพราะตลาดทุน ซึ่งไม่ใช่การเงินทั่วไป
ส่วนนายสุชาติ ธาดาดำรงเวช ก็เป็นที่ปรึกษาของหลายรัฐบาลในหลายช่วง เป็นนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่ง แต่ ณ วันนี้เราต้องการนักบริหารที่เก่ง ความจริง เรารู้หมดว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร แต่สุดท้ายทำไม่ได้ เพราะปัจจัย ผลประโยชน์ทางการเมืองหรือความไม่กล้าบ้าง ดังนั้นคนที่ถูกเปลี่ยนเข้ามาจะต้องเป็นที่ยอมรับของสังคม และข้าราชการ
สำหรับนายปานปรีย์ มหิทธานุกร ที่มีข่าวว่าจะมาแทน นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ นั้น เท่าที่ได้ติดตามดู ความชำนาญที่เห็นก็คือ การเป็นผู้แทนการค้า แต่การบริหารงานระดับกระทรวงไม่ทราบ ซึ่งขณะนี้ปัญหาใหญ่ของเราไม่ใช่การแก้เจรจาทางการค้าระหว่างประเทศ แต่ปัญหาใหญ่คือ การกำกับดูแลสินค้าเกษตรและสินค้าบริโภค ค้าปลีก ก็ต้องไปถามนายปานปรีย์ ว่าพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่ แล้วจะทำเสร็จภายในกี่วัน ถ้าไม่พร้อมก็อาจจะไม่เหมาะสม
ไม่เชื่อหมักมีอำนาจปรับครม.
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรับ ครม. ของรัฐบาลในครั้งนี้ ตนอยากให้จับตาคำประกาศของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าอำนาจทั้งหมดอยู่ที่นายกรัฐมนตรี คนเดียวจริงหรือไม่ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการจัดครม.จริงตามที่ประกาศหรือไม่ เพราะที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ได้สารภาพต่อสังคมแล้วว่า ตัวเองไม่มีอำนาจในการจัดการ จึงได้รัฐมนตรีที่ขี้เหร่มา จึงแปลกใจว่า ทำไมวันนี้นายกรัฐมนตีกลับมีอำนาจขึ้นมา ทำไมนายการัฐมนตรีจึงกล้าหาญชาญชัยที่กล้าประกาศว่า มีอำนาจ หรือไปกินดีหมีจากที่ไหนมา
หากดูข้อเท็จจริง จะเห็นว่า พรรคพลังประชาชน เปรียบเหมือนตึกสูง เป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งนายกรัฐมนตรี หรือ รมว.มหาดไทย เป็นเพียงผู้อาศัย ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของห้อง เพียงแต่เป็นคนหิ้วกระเป๋ามาอาศัยห้อง ถ้าวันหนึ่ง เจ้าของห้องมาไล่ก็ต้องออก เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า เจ้าของบ้านที่แท้จริงคือใคร จึงแปลกใจว่า ทำไมนายกรัฐมนตรี จึงประกาศว่ามีอำนาจที่แท้จริง หรือเป็นเพียงละครตบตาประชาชน นายเทพไทกล่าว
แนะรัฐบาลลาออกสง่างามกว่า
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่า นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีควรจะลาออกทั้งคณะแล้วจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยเชื่อว่า น่าจะเกิดความสง่างามมากกว่าเพื่อไม่ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่คณะรัฐมนตรีชุดนี้ กระทำผิดรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ได้อนุมัติให้ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่า การกระทรวงการต่างประเทศลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เพราะเห็นว่า แม้ลาออกแล้วตั้งรัฐบาลใหม่ก็จะยังเป็นชุดเดิมและพรรคเดิม พรรคประชาธิปัตย์ ไม่คิดว่าจะมีใครปันใจแยกตัวมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์
เช็คส.ส.ถือหุ้นหวังกวนน้ำให้ขุ่น
ส่วนกรณีที่ส.ส.พรรคพลังประชาชน ยื่นถอดถอน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์และส.ว. ที่มีหุ้นอยู่ในสัปทานรัฐนั้น นายเทพไท กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการสร้างสถานการณ์ กวนน้ำให้ขุ่น และเป็นการแก้เผ็ดทางการเมืองมากกว่า ซึ่งพรรคไม่ได้หวั่นไหว ถ้าเรื่องนี้ผิดจริงก็สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องเลือกปฏิบิติ แต่ตนคิดว่า เรื่องนี้ควรไปตรวจสอบพรรคพลังประชาชนด้วย การศึกษารัฐธรรมนูญ มาตรา 265 (2) เขียนชัดเจน ซึ่งดูเจตนารมณ์ของผู้ร่าง ระบุชัดเจนว่า เรื่องนี้เขียนเพื่อไม่ให้ ผู้ถือหุ้นที่เป็นสมาชิกรัฐสภา คู่สมรส หรือบุตรเข้าไปหาประโยชน์ หรือแทรกแซงการบริหารให้เกิดประโยชน์ในบริษัท หากดูข้อเท็จจริงทั้งหมด ผู้ถือหุ้น ส.ส.ส่วนใหญ่ ก็หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และไม่ได้ผูกขาด อีกทั้งเป็นหุ้นจำนวนน้อย และไม่น่ามีผลเปลี่ยนแปลงในบริษัทนั้นได้
ปชป.ปัดลดกก.บห.หนีคดียุบพรรค
สำหรับกรณีที่มีหลายฝ่ายการต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญ และที่สำคัญความเห็นของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ออกมาแสดงความเห็นว่าไม่ควรแก้รัฐธรรมนูญในขณะนี้นั้น นายเทพไท กล่าวว่า พรรคพลังประชาชนน่าจะรับฟังความเห็น ส่วนที่พรรคพลังประชาชนออกมาพูดว่า พรรคประชาธิปัตย์ปรับคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เหลือ 19 คน ตามมาตรา 237 เพื่อหนีคดียุบพรรค และเชิญชวนให้พรรคประชาธิปัตย์มาร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยนั้น ขอยืนยันว่า พรรคไม่ได้หนีการยุบพรรค แต่พรรคกำลังปรับโครงสร้างพรรคให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ได้มีข้อบังคับให้พรรคการเมืองต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า ข้อบังคับอาจไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญจึงต้องมีการปรับ
คิดว่าเหมือนการขับรถในท้องถนน จราจรกำลังปรับช่องทางจราจร ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์กำลังขับรถอยู่ เมื่อช่องทางจราจรถูกปรับให้แคบลง พรรคก็ต้องปรับรถให้เล็กลงเพื่อให้ผ่านช่องแคบ แต่พรรคการเมืองบางพรรคยังขับรถไปชนเกาะกลางถนน หรือสิ่งกีดขวาง กับมาโทษจราจร และสิ่งกีดขวางเหล่านั้น ผมคิดว่าพรรคการเมืองเหล่านั้นควรปรับตัวเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ดังนั้น พรรคจึงปรับข้อบังคับพรรคให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดีกว่าแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อหนีคดียุบพรรค หรือให้พรรคตัวเองพ้นผิด นายเทพไท กล่าว
แต่ก็ดีใจในส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเพียงแค่นี้แล้วเรื่องทุกอย่างจะยุติ เพราะเป็นการบอกอะไรบางอย่างถึงความตั้งใจทำงาน ที่บางครั้งไม่สามารถบอกด้วย คำพูดของเราได้ แต่การเมืองเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็พร้อมรับ และจนถึงขณะนี้ไม่ได้หมายความว่าจะพ้นข้อกล่าวหา เพราะยังต้องรอการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งในวันที่ 22 ก.ค. นี้ ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สำคัญ แต่ยืนยันว่าไม่ได้หมดกำลังใจแต่อย่างใดและไม่ว่าอยู่ในฐานะใดก็ตั้งใจจะทำงานและใช้ประสบการณ์ของตนเองที่มีมานานรับใช้ประเทศชาติอย่างสุดความสามารถ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผ่านมาเยอะ
ชี้พฤติกรรมรัฐทำคนแหยงร่วมครม.
นายเกียรติ สิทธิอมร กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรับ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะมีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ ว่า การปรับ ครม. เป็นโอกาสสุดท้ายที่รัฐบาลพยายามกู้วิกฤติความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ทั้งนโยบาย และตัวบุคคลที่จะเข้ามาแทน อย่างไรก็ตาม ที่พูดกันมากในแวดวงเศรษฐกิจ คนที่มีความสามารถ ดีและเก่ง จะไม่อยากเข้ามาทำงานกับรัฐบาล เพราะคนที่เข้ามาจะเจอปัญหาหนักมาก ทั้งที่ไม่น่าจะต้องมาเจออะไรที่หนักอย่างนี้ นโยบายสำคัญซึ่งหากทำงานต้องเดิน อยู่ในกรอบนโยบายที่สุ่มเสี่ยง เอื้อประโยชน์ทางการเมืองมากเกินไปคนดีๆ ก็จะไม่เข้ามาทำ
นายเกียรติ กล่าวถึงการปรับ ครม.ทีมเศรษฐกิจที่มีรายขื่อออกมาแล้วว่า นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาตลาดทุนไทย เป็นคนที่เชี่ยวชาญ ด้านตลาดทุนก็เป็นความชำนาญเฉพาะตัว แต่ด้านอื่นๆไม่ทราบ เพราะ ยังไม่เคยเห็นบทบาท โดดเด่นก็เพราะตลาดทุน ซึ่งไม่ใช่การเงินทั่วไป
ส่วนนายสุชาติ ธาดาดำรงเวช ก็เป็นที่ปรึกษาของหลายรัฐบาลในหลายช่วง เป็นนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่ง แต่ ณ วันนี้เราต้องการนักบริหารที่เก่ง ความจริง เรารู้หมดว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร แต่สุดท้ายทำไม่ได้ เพราะปัจจัย ผลประโยชน์ทางการเมืองหรือความไม่กล้าบ้าง ดังนั้นคนที่ถูกเปลี่ยนเข้ามาจะต้องเป็นที่ยอมรับของสังคม และข้าราชการ
สำหรับนายปานปรีย์ มหิทธานุกร ที่มีข่าวว่าจะมาแทน นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ นั้น เท่าที่ได้ติดตามดู ความชำนาญที่เห็นก็คือ การเป็นผู้แทนการค้า แต่การบริหารงานระดับกระทรวงไม่ทราบ ซึ่งขณะนี้ปัญหาใหญ่ของเราไม่ใช่การแก้เจรจาทางการค้าระหว่างประเทศ แต่ปัญหาใหญ่คือ การกำกับดูแลสินค้าเกษตรและสินค้าบริโภค ค้าปลีก ก็ต้องไปถามนายปานปรีย์ ว่าพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่ แล้วจะทำเสร็จภายในกี่วัน ถ้าไม่พร้อมก็อาจจะไม่เหมาะสม
ไม่เชื่อหมักมีอำนาจปรับครม.
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรับ ครม. ของรัฐบาลในครั้งนี้ ตนอยากให้จับตาคำประกาศของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าอำนาจทั้งหมดอยู่ที่นายกรัฐมนตรี คนเดียวจริงหรือไม่ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการจัดครม.จริงตามที่ประกาศหรือไม่ เพราะที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ได้สารภาพต่อสังคมแล้วว่า ตัวเองไม่มีอำนาจในการจัดการ จึงได้รัฐมนตรีที่ขี้เหร่มา จึงแปลกใจว่า ทำไมวันนี้นายกรัฐมนตีกลับมีอำนาจขึ้นมา ทำไมนายการัฐมนตรีจึงกล้าหาญชาญชัยที่กล้าประกาศว่า มีอำนาจ หรือไปกินดีหมีจากที่ไหนมา
หากดูข้อเท็จจริง จะเห็นว่า พรรคพลังประชาชน เปรียบเหมือนตึกสูง เป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งนายกรัฐมนตรี หรือ รมว.มหาดไทย เป็นเพียงผู้อาศัย ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของห้อง เพียงแต่เป็นคนหิ้วกระเป๋ามาอาศัยห้อง ถ้าวันหนึ่ง เจ้าของห้องมาไล่ก็ต้องออก เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า เจ้าของบ้านที่แท้จริงคือใคร จึงแปลกใจว่า ทำไมนายกรัฐมนตรี จึงประกาศว่ามีอำนาจที่แท้จริง หรือเป็นเพียงละครตบตาประชาชน นายเทพไทกล่าว
แนะรัฐบาลลาออกสง่างามกว่า
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่า นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีควรจะลาออกทั้งคณะแล้วจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยเชื่อว่า น่าจะเกิดความสง่างามมากกว่าเพื่อไม่ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่คณะรัฐมนตรีชุดนี้ กระทำผิดรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ได้อนุมัติให้ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่า การกระทรวงการต่างประเทศลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เพราะเห็นว่า แม้ลาออกแล้วตั้งรัฐบาลใหม่ก็จะยังเป็นชุดเดิมและพรรคเดิม พรรคประชาธิปัตย์ ไม่คิดว่าจะมีใครปันใจแยกตัวมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์
เช็คส.ส.ถือหุ้นหวังกวนน้ำให้ขุ่น
ส่วนกรณีที่ส.ส.พรรคพลังประชาชน ยื่นถอดถอน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์และส.ว. ที่มีหุ้นอยู่ในสัปทานรัฐนั้น นายเทพไท กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการสร้างสถานการณ์ กวนน้ำให้ขุ่น และเป็นการแก้เผ็ดทางการเมืองมากกว่า ซึ่งพรรคไม่ได้หวั่นไหว ถ้าเรื่องนี้ผิดจริงก็สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องเลือกปฏิบิติ แต่ตนคิดว่า เรื่องนี้ควรไปตรวจสอบพรรคพลังประชาชนด้วย การศึกษารัฐธรรมนูญ มาตรา 265 (2) เขียนชัดเจน ซึ่งดูเจตนารมณ์ของผู้ร่าง ระบุชัดเจนว่า เรื่องนี้เขียนเพื่อไม่ให้ ผู้ถือหุ้นที่เป็นสมาชิกรัฐสภา คู่สมรส หรือบุตรเข้าไปหาประโยชน์ หรือแทรกแซงการบริหารให้เกิดประโยชน์ในบริษัท หากดูข้อเท็จจริงทั้งหมด ผู้ถือหุ้น ส.ส.ส่วนใหญ่ ก็หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และไม่ได้ผูกขาด อีกทั้งเป็นหุ้นจำนวนน้อย และไม่น่ามีผลเปลี่ยนแปลงในบริษัทนั้นได้
ปชป.ปัดลดกก.บห.หนีคดียุบพรรค
สำหรับกรณีที่มีหลายฝ่ายการต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญ และที่สำคัญความเห็นของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ออกมาแสดงความเห็นว่าไม่ควรแก้รัฐธรรมนูญในขณะนี้นั้น นายเทพไท กล่าวว่า พรรคพลังประชาชนน่าจะรับฟังความเห็น ส่วนที่พรรคพลังประชาชนออกมาพูดว่า พรรคประชาธิปัตย์ปรับคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เหลือ 19 คน ตามมาตรา 237 เพื่อหนีคดียุบพรรค และเชิญชวนให้พรรคประชาธิปัตย์มาร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยนั้น ขอยืนยันว่า พรรคไม่ได้หนีการยุบพรรค แต่พรรคกำลังปรับโครงสร้างพรรคให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ได้มีข้อบังคับให้พรรคการเมืองต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า ข้อบังคับอาจไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญจึงต้องมีการปรับ
คิดว่าเหมือนการขับรถในท้องถนน จราจรกำลังปรับช่องทางจราจร ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์กำลังขับรถอยู่ เมื่อช่องทางจราจรถูกปรับให้แคบลง พรรคก็ต้องปรับรถให้เล็กลงเพื่อให้ผ่านช่องแคบ แต่พรรคการเมืองบางพรรคยังขับรถไปชนเกาะกลางถนน หรือสิ่งกีดขวาง กับมาโทษจราจร และสิ่งกีดขวางเหล่านั้น ผมคิดว่าพรรคการเมืองเหล่านั้นควรปรับตัวเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ดังนั้น พรรคจึงปรับข้อบังคับพรรคให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดีกว่าแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อหนีคดียุบพรรค หรือให้พรรคตัวเองพ้นผิด นายเทพไท กล่าว