นายโลมิรันดร์ บุตรจันทร์ กล่าวว่าตนในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจ จาก นายวิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ อาจารย์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ไปยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้ระวังการเดินทางออกนอกประเทศของ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม และนายรังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เนื่องจากก้อนหน้านี้ นายวิวัฒน์ชัย ได้ยื่นกล่าวโทษบุคคลทั้ง 2 ฐานทุจริต โดยนายสันติ สมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ว่าจ้างบุคคลภายนอกเข้าสอบแทนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนถูกตัดชื่อออกจากการเป็นนักศึกษา แต่นายรังสรรค์ ซึ่งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงในขณะนั้น ละเว้นปฎิบัติหน้าที่ให้นายสันติ กลับเข้ามาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ทั้งที่ตามระเบียบมหาวิทยาลัยไม่สามารถกลับเข้ามาเป็นนักศึกษาได้อีก
สำหรับเหตุผลที่ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระงับการเดินทางออกนอิกประเทศของบุคคลทั้ง 2 เนื่องจาก นายสันติ และนายรังสรรค์ เป็นบุคคลที่มีอิทธิพล เกรงว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ โดยเฉพาะนายรังสรรค์ เป็นจำเลยคดีอาญา เลขที่คดีดับที่ 2389/2548 ที่ศาลอาญากรุงเทพ คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กับ ร.ต.ท.จรัญ ธานีรันต์ ซึ่งคดีนี้ศาบได้ประทับรับฟ้องคดีมีมูลแล้ว นายรังสรรค์ จึงอยู่ในสถานะผู้ต้องขังปล่อยตัวชั้วคราว
นอกจากนี้นายรังสรรค์ ยังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนตามคำสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2548 ในข้อหากระทำการโดยมิชอบต่อหน้าที่ อนุมัติตกลงว่าจ้าง บริษัท ทอรัส คอสสตรัคชั่น จำกัด ทำการก่อสร้างอาคารวงเงิน 592 ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา แต่ต่อมาได้สั่งให้แก้ไขรูปแบบรายการกอสร้าง โดยตัดส่วนที่เป็นหองพักโรงแรม 100 ห้องออก และปรับรูปแบบอาคารสูง 7 ชั้น เป็น 8 ชั้น และได้คำนวณราคากลางใหม่เป็นเงิน 623,900,878.61 บาท อันเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในรายละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา โดยมิได้ยกเลิกการประกวดราคาตามระเบียวสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ พ.ศ.2535
ต่อมาปรากฎว่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้แจ้งไปยัง บริษัท ทอรัสฯ มาเสนอราคาใหม่ โดยนายรังสรรค์ ได้ลงนามในสัญญา เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ตกลงจ้าง บริษัท ทอรัศฯ ก่อสร้างอาคารเรียนรวมและปฎิบัติการ 25 ปี ดังกล่าวในวงเงิน 591 ล้านบาทเศษ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการ
ซึ่งคาดว่าผลการสอบสวนของ ป.ป.ช.น่าจะสรุปผลเร็วๆ นี้ หลังจากที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดก่อนดำเนินการอย่างล่าช้า แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันกำลังดำเนินการเพื่อดำเนินการเอาคนผิดมาลงโทษ เพื่อประโยชน์สาธารณะชน ศิลธรรมอันดี จริยธรรทนักการเมือง และจริยธรรมของอาจารย์มหาวิทยาลัย จึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรักษาและปกป้องกระบวนการยุติธรรม ด้วยการระงับบุคคลทั้ง 2 ไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ
สำหรับเหตุผลที่ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระงับการเดินทางออกนอิกประเทศของบุคคลทั้ง 2 เนื่องจาก นายสันติ และนายรังสรรค์ เป็นบุคคลที่มีอิทธิพล เกรงว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ โดยเฉพาะนายรังสรรค์ เป็นจำเลยคดีอาญา เลขที่คดีดับที่ 2389/2548 ที่ศาลอาญากรุงเทพ คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กับ ร.ต.ท.จรัญ ธานีรันต์ ซึ่งคดีนี้ศาบได้ประทับรับฟ้องคดีมีมูลแล้ว นายรังสรรค์ จึงอยู่ในสถานะผู้ต้องขังปล่อยตัวชั้วคราว
นอกจากนี้นายรังสรรค์ ยังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนตามคำสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2548 ในข้อหากระทำการโดยมิชอบต่อหน้าที่ อนุมัติตกลงว่าจ้าง บริษัท ทอรัส คอสสตรัคชั่น จำกัด ทำการก่อสร้างอาคารวงเงิน 592 ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา แต่ต่อมาได้สั่งให้แก้ไขรูปแบบรายการกอสร้าง โดยตัดส่วนที่เป็นหองพักโรงแรม 100 ห้องออก และปรับรูปแบบอาคารสูง 7 ชั้น เป็น 8 ชั้น และได้คำนวณราคากลางใหม่เป็นเงิน 623,900,878.61 บาท อันเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในรายละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา โดยมิได้ยกเลิกการประกวดราคาตามระเบียวสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ พ.ศ.2535
ต่อมาปรากฎว่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้แจ้งไปยัง บริษัท ทอรัสฯ มาเสนอราคาใหม่ โดยนายรังสรรค์ ได้ลงนามในสัญญา เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ตกลงจ้าง บริษัท ทอรัศฯ ก่อสร้างอาคารเรียนรวมและปฎิบัติการ 25 ปี ดังกล่าวในวงเงิน 591 ล้านบาทเศษ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการ
ซึ่งคาดว่าผลการสอบสวนของ ป.ป.ช.น่าจะสรุปผลเร็วๆ นี้ หลังจากที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดก่อนดำเนินการอย่างล่าช้า แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันกำลังดำเนินการเพื่อดำเนินการเอาคนผิดมาลงโทษ เพื่อประโยชน์สาธารณะชน ศิลธรรมอันดี จริยธรรทนักการเมือง และจริยธรรมของอาจารย์มหาวิทยาลัย จึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรักษาและปกป้องกระบวนการยุติธรรม ด้วยการระงับบุคคลทั้ง 2 ไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ