ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง พิพากษายืนให้ใบแดง"ยงยุทธ" และใบเหลือน้องสาว เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 5 ปี คำพิพากษาชี้ชัด ซื้อเสียงเอื้อประโยชน์พลังประชาชน กกต.เตรียมตั้งคณะกรรมการสอบยุบพรรค ขณะที่"ยงยุทธ"หนีแถลงข่าว พปช.ไม่หวั่นใบแดง เดินหน้าสู้ต่อ "ป๋าเหนาะ" มึนไม่พูดทิศทางการเมือง ขอเวลาตั้งสติก่อน
วานนี้ (8 ก.ค.) เวลา 16.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ ลต. 38 /2551 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง( กกต.)ผู้ร้อง และ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนกลุ่มที่ 1 และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาวนายยงยุทธ ส.ส.แบ่งเขต 3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน ผู้คัดค้านที่ 1-2 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ( ส.ว.) พ.ศ.2550 ด้วยการทุจริตการเลือกตั้งด้วยการแจกเงินให้กับกลุ่มกำนัน อ.แม่จัน จ.เชียงรายซึ่งเป็นตัวแทน (หัวคะแนน) ของนายยงยุทธ แจกเงินซื้อเสียงเพื่อให้มีการลงคะแนนเลือกผู้สมัครของพรรคประชาชน โดย กกต.ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ซึ่งให้ถูกใบแดง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเขต 3 จังหวัดเชียงราย ที่ น.ส.ละออง ถูกให้ใบเหลือง
เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ม.53 และการกระทำดังกล่าวมีผลทำให้การเลือกตั้ง ส.ส.ในจังหวัดเชียงรายมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามคำร้องของผู้ร้องดังที่ศาลได้วินิจฉัยมาแล้ว กรณีจึงต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านที่ 1 และให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดเชียงรายเขต 3 จำนวน 1 คนใหม่แทนผู้คัดค้านที่ 2 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ม.111
ศาลจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธ ผู้คัดค้านที่ 1 มีกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งและให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดเชียงราย เขต 3 ใหม่จำนวน 1 คน แทน น.ส.ละอองผู้คัดค้านที่ 2 (อ่านรายละเอียดร่างคำพิพากษา หน้า 14 )
พันธมิตรฯ ร่วมรับฟังคำตัดสิน
ขณะที่ก่อนจะเริ่มอ่านคำสั่ง ที่อาคารศาลฏีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้เกิดไฟดับกะทันหัน นานกว่า 5 นาที รวมทั้งได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก อย่างไรก็ดีในการอ่านคำสั่ง ศาลฏีกาจัดให้มีการถ่ายทอดเสียง ให้บุคคลนอกห้องพิจารณาคดี ได้ฟังรวมทั้งยังมีการถ่ายทอดเสียงไปยังด้านหน้าของศาลเพื่อให้กลุ่มต่อต้านพันธมิตรประมาณ 50 คน ร่วมรับฟังการพิจารณาคดีนี้ด้วย ทั้งนี้ในห้องพิจารณาได้มีกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ใส่เสื้อเหลือง ประมาณ 20 คนเข้าร่วมสังเกตการณ์
แก๊งป่วนเหิมตะโกนด่าศาล
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาให้ใบแดงและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีนายยงยุทธแล้ว กลุ่มต่อต้านพันธมิตร ที่อยู่ด้านนอกศาล โห่ร้องด้วยความไม่พอใจ ในขณะที่ กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองแสดงความพอใจเป็นอย่างมาก โดยเหตุการณ์ภายนอกศาล เริ่มตรึงเครียด ประมาณ 10 นาย เดินเข้าไปบริเวณรั้ว ซึ่งมีกลุ่ม ต่อต้านพันธมิตร อยู่นอกรั้ว พร้อมใช้โทรโข่ง ตะโกนว่า ศาล ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ช่วยกันเขย่าประตูของศาล และระหว่างที่เจ้าหน้า และผู้สื่อข่าวที่อยู่ระแวกนั้น กำลังวุ่นวาย กลุ่มต่อต้านพันธมิตร ได้โยนหินและถุงพลาสติกซึ่งภายในบรรจุน้ำสีเหลือง ซึ่งคาดว่าจะเป็นน้ำปัสสาวะ เข้ามาบริเวณนั้น ซึ่งทำให้เจ้าหน้าบริเวณนั้นต่างวิ่งหลบกันไปคนละทิศละทาง จากนั้นถุงได้ตกลงพื้นแตกกระจาย และส่งกลิ่นฉุนคล้ายกลิ่นปัสสาวะ
ใช้รองเท้าตบหน้านักข่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้พยายามเข้าไปสอบถามกลุ่มต่อต้านพันธมิตร ที่หน้ารั้วศาลว่าจะมีการเคลื่อนไหวไปที่ไหนต่ออีกหรือไม่ ขณะที่นายวรัญชัย แกนนำต่อต้านพันธมิตร กำลังจะเดินมาตอบคำถามผู้สื่อข่าวสยามรัฐ ระหว่างนั้นได้มีกลุ่มผู้ชุมนายหนึ่งเดินมาทางด้านขวาของกระจิบข่าว แล้วถอดรองเท้าตบบริเวณหน้าผู้สื่อข่าวสยามรัฐ แต่ไม่โดนเนื่องจากติดประตูรั้วเหล็ก จากนั้นกลุ่มต่อต้านพันธมิตร ก็พยายามขว้างขวดน้ำพลาสติกเข้าใส่ผู้สื่อข่าวอย่างสะใจ ทำให้ผู้สื่อข่าวชายต้องผงะ แล้วถอยหลังออกไป นอกจากนี้ได้มีช่างภาพที่พยายามถ่ายภาพกลุ่มต่อต้านพันธมิตร แต่ผู้หญิงสูงวัยได้เอาร่มพยายามแทงช่างภาพผ่านช่องประตูรั้วเหล็กเข้ามา ทำให้ช่างภาพถอยหลังออกมา และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาห้ามปราม พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ ศาลได้พยายามถ่ายรูปกลุ่มที่มาสร้างความวุ่นวาย และทำการหมิ่นศาล เพื่อเป็นหลักฐาน ทั้งนี้กลุ่มม๊อบได้สลายไปในเวลา 18.30 น.
กกต.ตั้งกรรมการยุบพรรค
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.ยังกล่าวถึงคำพิพากษา ของศาลฎีกาคดีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ ว่า นายยงยุทธ ต้องพ้นสภาพความเป็น ส.ส.และจะมีการเลื่อนลำดับผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วน ในส่วนบัญชีของพรรคพลังประชาชนขึ้นมาแทนนายยงยุทธ ส่วนเรื่องการยุบพรรคพลังประชาชน ทางกกต.ก็จะตั้งคณะกรรมการสอบสวน การยุบพรรคขึ้นมาเหมือนกับที่เคยทำในกรณีเสนอยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ส่วนกรณีของนางสาวละออง ติยะไพรัช ก็จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยนางสาวละออง ยังคงมีสิทธิที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเช่นเดิม
"นายยงยุทธ ถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง กกต.ก็ต้องตั้งกรรมการสอบสวน ยุบพรรคว่าเข้าตาม มาตรา 95 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 หรือไม่ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่สอบ 2 พรรคก่อนหน้านี้ อีกทั้งกฎหมายในมาตรา 95 ก็ได้เขียนไว้ชัดว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาเพื่อส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ภายหลังนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบแล้ว ทำให้ต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบ ไม่สามารถใช้อำนาจนายทะเบียนส่งศาลรัฐธรรมได้เองก่อนที่จะมีการตรวจสอบได้ เพราะฉะนั้นขอยืนยันว่ากกต.จะไม่มีการเลือกปฏิบัติกับพรรคการเมืองอย่างแน่นอน"
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากจะมีการชิงยุบสภาเพื่อเลี่ยงการยุบพรรคทำได้หรือไม่ นายสุทธิพล กล่าวว่าขอไม่มีความเห็นขอให้ศาลฎีกามีการพิจารณาออกมาก่อน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า สมาชิกพรรคพลังประชาชนแอบมาจดทะเบียนพรรคใหม่นั้น นายสุทธิพล กล่าวว่า ยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว
พปช.ไม่หวั่นใบแดง เดินหน้าสู้ต่อ
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน เปิดเผยก่อนการแถลงข่าวว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช สส.สัดส่วน ได้แจ้งให้ทราบว่า ที่ไม่มาแถลงข่าวเพราะต้องขอดูเอกสารที่มีเป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมออกแถลงการณ์ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กลัวละเมิดต่อศาล
ร.ท.กุเทพ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ใบแดงนายยงยุทธ สมาชิกได้หารือกันอย่างกว้างขวางและยอมรับการตัดสินดังกล่าวโดยดุษฎี ซึ่งทุกคนก็รับฟัง แต่รู้สึกเสียใจกับนายยงยุทธ ที่ถูกคำพิพากษาตัดสิทธิทางการเมือง แต่ก็ต้องต่อสู้กันต่อไปด้วยเหตุผลและหลักฐานที่เรามีอยู่ ส่วนคำพิพากษานั้นเราก็เคารพ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันไม่มั่นคง บริหารงานเป็นไปโดยลำบาก เพราะมีกติกาเขียนขึ้นมาตีกรอบให้พลังประชาชนเกิดปัญหา ซึ่งขอยืนยันว่าสมาชิกพรรคทุกคนได้หล่อหลอมความสามัคคีและมีเจตจำนง ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเหนียวแน่น โดยจะใช้เวลาที่ยังมีอยู่ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากนี้ไปทิศทางทางการเมืองจะเป็นอย่างไรต่อ ร.ท.กุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลมาจากอำนาจการเลือกตั้งของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และมีวิธีการที่จะแก้ปัญหาได้อย่างชัดเจนแน่นอน ส่วนวิบากกรรมที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันที่กระบวนการยังอยู่ในชั้นศาลก็ต้องใช้พยานหลักฐานและเหตุผลไปต่อสู้หักล้างกัน แต่เรื่องที่เกิดเพราะการเมืองนั้นยืนยันว่ารัฐบาลมีความชอบธรรมที่จะบริหารงานต่อไป โดยยึดถืออำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง
เมื่อถามว่ารัฐบาลควรจะพิจารณาคืนอำนาจให้กับประชาชนหรือไม่ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการทำงาน ร.ท.กุเทพ กล่าวว่า เราวิเคราะห์กันว่า นายกฯ และรัฐมนตรีคนอื่น อาจจะมีคดีที่ถูกดำเนินการอื่นๆ ตามมาอีก ซึ่งปัญหาในแง่กฎหมายมีมาทุกยุคทุกสมัย แต่เมื่อศาลชี้กรณีขัดมาตรา 190 ก็ต้องทำตาม ถือเป็นขั้นตอนปกติ ตราบใดที่ยังใช้อำนาจที่มาจากประชาชน รัฐบาลก็ยังสามารถทำงานตามกฎหมายต่อไปได้
สำหรับขั้นตอนต่อไปศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งจะส่งเรื่องกลับให้กกต. เพื่อให้ทำสำนวนส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 95 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ถ้าพรรคพลังประชาชนถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรคในคดีใบแดงของนายยงยุทธ จะทำให้คณะกรรมการพรรค 33 คนต้องถูกเว้นพรรค 5 ปี อาทิ นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯและรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าพรรค นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและรมว.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกฯและรมว.ศึกษาธิการ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม รองหัวหน้าพรรค นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ รมว.วัฒนธรรม นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะรองเลขาธิการพรรค นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม นายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตร นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รมช.ศึกษา
"ป๋าเหนาะ"มึนขอตั้งสติ
นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ในรายการข่าวสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย หลังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสินยืนใบแดงและเพิกถอนสิทธิ เลือกตั้งนายยงยุทธ และนางสาวละออง ว่า เรื่องนี้มีผลกับการอยู่หรือไปของพรรคประชาราชในการร่วมรัฐบาลหรือไม่ ว่าเร็วเกินไปที่จะให้ตัดสินใจในช่วงนี้ เพราะตั้งแต่ร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่การเลือกตั้งก็ดี เรามีระบบของเรา มีรัฐธรรมนูญที่เถียงกันมานานไม่รู้กี่ฉบับ ตนให้สัมภาษณ์ตั้งแต่แรกแล้วว่า เมื่อประกาศให้มีการเลือกตั้งก็ต้องยึดหลักการ คือให้ประชาชนตัดสินใจ โดยประชาธิปไตยที่แท้จริง อย่างไรก็แล้วแต่ มันต้องมีรัฐบาล
เมื่อถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเรื่อง เขาพระวิหาร มันจะมีผลกับการตัดสินใจหรือไม่ นายเสนาะกล่าวว่า คนละเรื่องกัน เรื่องของนายยงยุทธ เป็นเรื่องการเมืองโดยเฉพาะ เพราะมันมีการร้องเรียนทั่วไป เมื่อมีแพ้และชนะ ก็ต้องมีการร้องเรียน เมื่อถามว่าต่อไปรัฐบาลต้องทำอย่างไร นายเสนาะกล่าวว่า คดียุบพรรคก็ต้องต่อสู้ต่อไป และมีการเลือกตั้งใหม่ ไม่มีผลกระทบกับรัฐบาล มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล เราต้องมองโครงสร้างใหญ่ คือประเทศไทย เรามีกติกา มีรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมาก ฉะนั้นจะให้ชอบใจหรือถูกใจใครมันคงไม่ได้ เราต้องดูว่าประชาชนส่วนใหญ่เลือกใครมา ส่วนจะมาแบบใดเราไม่รู้ หากมาโดยมิชอบ ก็โดนลงโทษ
เมื่อถามว่า จากนี้ไปพรรคร่วมรัฐบาลจะหารือกันหรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่าคงไม่พ้นต้องมีการปรึกษาหารือกัน ตนขอพูดในนามนายเสนาะ เทียนทอง ไม่ใช่ในนามพรรคประชาราช
"ผมอยู่ในหน้าที่นี้กว่า 30 ปี เพิ่งได้เห็นการยุบพรรคในช่วงบั้นปลายชีวิตไม่เคยเห็นมาก่อนก็คงต้องขอตั้งสติก่อน"
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า อาจมีการยุบสภา นายเสนาะกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับอำนาจของนายกฯที่เขียนไว้ในกติกา หากพูดแบบภาพรวม 60 กว่าล้านคนอยู่ในเรือลำเดียวกันกำลังอยู่ในคลื่นที่มีพายุฝนยังมีปัญหาอีกมากมายที่ต้องร่วมกันแก้ไข ปัญหาอยู่ที่ว่าจะประคองเรือลำนี้ต่อไปดีกว่า
วานนี้ (8 ก.ค.) เวลา 16.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ ลต. 38 /2551 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง( กกต.)ผู้ร้อง และ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนกลุ่มที่ 1 และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาวนายยงยุทธ ส.ส.แบ่งเขต 3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน ผู้คัดค้านที่ 1-2 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ( ส.ว.) พ.ศ.2550 ด้วยการทุจริตการเลือกตั้งด้วยการแจกเงินให้กับกลุ่มกำนัน อ.แม่จัน จ.เชียงรายซึ่งเป็นตัวแทน (หัวคะแนน) ของนายยงยุทธ แจกเงินซื้อเสียงเพื่อให้มีการลงคะแนนเลือกผู้สมัครของพรรคประชาชน โดย กกต.ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ซึ่งให้ถูกใบแดง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเขต 3 จังหวัดเชียงราย ที่ น.ส.ละออง ถูกให้ใบเหลือง
เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ม.53 และการกระทำดังกล่าวมีผลทำให้การเลือกตั้ง ส.ส.ในจังหวัดเชียงรายมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามคำร้องของผู้ร้องดังที่ศาลได้วินิจฉัยมาแล้ว กรณีจึงต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านที่ 1 และให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดเชียงรายเขต 3 จำนวน 1 คนใหม่แทนผู้คัดค้านที่ 2 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ม.111
ศาลจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธ ผู้คัดค้านที่ 1 มีกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งและให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดเชียงราย เขต 3 ใหม่จำนวน 1 คน แทน น.ส.ละอองผู้คัดค้านที่ 2 (อ่านรายละเอียดร่างคำพิพากษา หน้า 14 )
พันธมิตรฯ ร่วมรับฟังคำตัดสิน
ขณะที่ก่อนจะเริ่มอ่านคำสั่ง ที่อาคารศาลฏีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้เกิดไฟดับกะทันหัน นานกว่า 5 นาที รวมทั้งได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก อย่างไรก็ดีในการอ่านคำสั่ง ศาลฏีกาจัดให้มีการถ่ายทอดเสียง ให้บุคคลนอกห้องพิจารณาคดี ได้ฟังรวมทั้งยังมีการถ่ายทอดเสียงไปยังด้านหน้าของศาลเพื่อให้กลุ่มต่อต้านพันธมิตรประมาณ 50 คน ร่วมรับฟังการพิจารณาคดีนี้ด้วย ทั้งนี้ในห้องพิจารณาได้มีกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ใส่เสื้อเหลือง ประมาณ 20 คนเข้าร่วมสังเกตการณ์
แก๊งป่วนเหิมตะโกนด่าศาล
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาให้ใบแดงและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีนายยงยุทธแล้ว กลุ่มต่อต้านพันธมิตร ที่อยู่ด้านนอกศาล โห่ร้องด้วยความไม่พอใจ ในขณะที่ กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองแสดงความพอใจเป็นอย่างมาก โดยเหตุการณ์ภายนอกศาล เริ่มตรึงเครียด ประมาณ 10 นาย เดินเข้าไปบริเวณรั้ว ซึ่งมีกลุ่ม ต่อต้านพันธมิตร อยู่นอกรั้ว พร้อมใช้โทรโข่ง ตะโกนว่า ศาล ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ช่วยกันเขย่าประตูของศาล และระหว่างที่เจ้าหน้า และผู้สื่อข่าวที่อยู่ระแวกนั้น กำลังวุ่นวาย กลุ่มต่อต้านพันธมิตร ได้โยนหินและถุงพลาสติกซึ่งภายในบรรจุน้ำสีเหลือง ซึ่งคาดว่าจะเป็นน้ำปัสสาวะ เข้ามาบริเวณนั้น ซึ่งทำให้เจ้าหน้าบริเวณนั้นต่างวิ่งหลบกันไปคนละทิศละทาง จากนั้นถุงได้ตกลงพื้นแตกกระจาย และส่งกลิ่นฉุนคล้ายกลิ่นปัสสาวะ
ใช้รองเท้าตบหน้านักข่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้พยายามเข้าไปสอบถามกลุ่มต่อต้านพันธมิตร ที่หน้ารั้วศาลว่าจะมีการเคลื่อนไหวไปที่ไหนต่ออีกหรือไม่ ขณะที่นายวรัญชัย แกนนำต่อต้านพันธมิตร กำลังจะเดินมาตอบคำถามผู้สื่อข่าวสยามรัฐ ระหว่างนั้นได้มีกลุ่มผู้ชุมนายหนึ่งเดินมาทางด้านขวาของกระจิบข่าว แล้วถอดรองเท้าตบบริเวณหน้าผู้สื่อข่าวสยามรัฐ แต่ไม่โดนเนื่องจากติดประตูรั้วเหล็ก จากนั้นกลุ่มต่อต้านพันธมิตร ก็พยายามขว้างขวดน้ำพลาสติกเข้าใส่ผู้สื่อข่าวอย่างสะใจ ทำให้ผู้สื่อข่าวชายต้องผงะ แล้วถอยหลังออกไป นอกจากนี้ได้มีช่างภาพที่พยายามถ่ายภาพกลุ่มต่อต้านพันธมิตร แต่ผู้หญิงสูงวัยได้เอาร่มพยายามแทงช่างภาพผ่านช่องประตูรั้วเหล็กเข้ามา ทำให้ช่างภาพถอยหลังออกมา และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาห้ามปราม พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ ศาลได้พยายามถ่ายรูปกลุ่มที่มาสร้างความวุ่นวาย และทำการหมิ่นศาล เพื่อเป็นหลักฐาน ทั้งนี้กลุ่มม๊อบได้สลายไปในเวลา 18.30 น.
กกต.ตั้งกรรมการยุบพรรค
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.ยังกล่าวถึงคำพิพากษา ของศาลฎีกาคดีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ ว่า นายยงยุทธ ต้องพ้นสภาพความเป็น ส.ส.และจะมีการเลื่อนลำดับผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วน ในส่วนบัญชีของพรรคพลังประชาชนขึ้นมาแทนนายยงยุทธ ส่วนเรื่องการยุบพรรคพลังประชาชน ทางกกต.ก็จะตั้งคณะกรรมการสอบสวน การยุบพรรคขึ้นมาเหมือนกับที่เคยทำในกรณีเสนอยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ส่วนกรณีของนางสาวละออง ติยะไพรัช ก็จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยนางสาวละออง ยังคงมีสิทธิที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเช่นเดิม
"นายยงยุทธ ถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง กกต.ก็ต้องตั้งกรรมการสอบสวน ยุบพรรคว่าเข้าตาม มาตรา 95 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 หรือไม่ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่สอบ 2 พรรคก่อนหน้านี้ อีกทั้งกฎหมายในมาตรา 95 ก็ได้เขียนไว้ชัดว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาเพื่อส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ภายหลังนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบแล้ว ทำให้ต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบ ไม่สามารถใช้อำนาจนายทะเบียนส่งศาลรัฐธรรมได้เองก่อนที่จะมีการตรวจสอบได้ เพราะฉะนั้นขอยืนยันว่ากกต.จะไม่มีการเลือกปฏิบัติกับพรรคการเมืองอย่างแน่นอน"
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากจะมีการชิงยุบสภาเพื่อเลี่ยงการยุบพรรคทำได้หรือไม่ นายสุทธิพล กล่าวว่าขอไม่มีความเห็นขอให้ศาลฎีกามีการพิจารณาออกมาก่อน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า สมาชิกพรรคพลังประชาชนแอบมาจดทะเบียนพรรคใหม่นั้น นายสุทธิพล กล่าวว่า ยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว
พปช.ไม่หวั่นใบแดง เดินหน้าสู้ต่อ
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน เปิดเผยก่อนการแถลงข่าวว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช สส.สัดส่วน ได้แจ้งให้ทราบว่า ที่ไม่มาแถลงข่าวเพราะต้องขอดูเอกสารที่มีเป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมออกแถลงการณ์ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กลัวละเมิดต่อศาล
ร.ท.กุเทพ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ใบแดงนายยงยุทธ สมาชิกได้หารือกันอย่างกว้างขวางและยอมรับการตัดสินดังกล่าวโดยดุษฎี ซึ่งทุกคนก็รับฟัง แต่รู้สึกเสียใจกับนายยงยุทธ ที่ถูกคำพิพากษาตัดสิทธิทางการเมือง แต่ก็ต้องต่อสู้กันต่อไปด้วยเหตุผลและหลักฐานที่เรามีอยู่ ส่วนคำพิพากษานั้นเราก็เคารพ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันไม่มั่นคง บริหารงานเป็นไปโดยลำบาก เพราะมีกติกาเขียนขึ้นมาตีกรอบให้พลังประชาชนเกิดปัญหา ซึ่งขอยืนยันว่าสมาชิกพรรคทุกคนได้หล่อหลอมความสามัคคีและมีเจตจำนง ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเหนียวแน่น โดยจะใช้เวลาที่ยังมีอยู่ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากนี้ไปทิศทางทางการเมืองจะเป็นอย่างไรต่อ ร.ท.กุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลมาจากอำนาจการเลือกตั้งของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และมีวิธีการที่จะแก้ปัญหาได้อย่างชัดเจนแน่นอน ส่วนวิบากกรรมที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันที่กระบวนการยังอยู่ในชั้นศาลก็ต้องใช้พยานหลักฐานและเหตุผลไปต่อสู้หักล้างกัน แต่เรื่องที่เกิดเพราะการเมืองนั้นยืนยันว่ารัฐบาลมีความชอบธรรมที่จะบริหารงานต่อไป โดยยึดถืออำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง
เมื่อถามว่ารัฐบาลควรจะพิจารณาคืนอำนาจให้กับประชาชนหรือไม่ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการทำงาน ร.ท.กุเทพ กล่าวว่า เราวิเคราะห์กันว่า นายกฯ และรัฐมนตรีคนอื่น อาจจะมีคดีที่ถูกดำเนินการอื่นๆ ตามมาอีก ซึ่งปัญหาในแง่กฎหมายมีมาทุกยุคทุกสมัย แต่เมื่อศาลชี้กรณีขัดมาตรา 190 ก็ต้องทำตาม ถือเป็นขั้นตอนปกติ ตราบใดที่ยังใช้อำนาจที่มาจากประชาชน รัฐบาลก็ยังสามารถทำงานตามกฎหมายต่อไปได้
สำหรับขั้นตอนต่อไปศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งจะส่งเรื่องกลับให้กกต. เพื่อให้ทำสำนวนส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 95 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ถ้าพรรคพลังประชาชนถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรคในคดีใบแดงของนายยงยุทธ จะทำให้คณะกรรมการพรรค 33 คนต้องถูกเว้นพรรค 5 ปี อาทิ นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯและรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าพรรค นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและรมว.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกฯและรมว.ศึกษาธิการ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม รองหัวหน้าพรรค นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ รมว.วัฒนธรรม นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะรองเลขาธิการพรรค นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม นายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตร นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รมช.ศึกษา
"ป๋าเหนาะ"มึนขอตั้งสติ
นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ในรายการข่าวสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย หลังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสินยืนใบแดงและเพิกถอนสิทธิ เลือกตั้งนายยงยุทธ และนางสาวละออง ว่า เรื่องนี้มีผลกับการอยู่หรือไปของพรรคประชาราชในการร่วมรัฐบาลหรือไม่ ว่าเร็วเกินไปที่จะให้ตัดสินใจในช่วงนี้ เพราะตั้งแต่ร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่การเลือกตั้งก็ดี เรามีระบบของเรา มีรัฐธรรมนูญที่เถียงกันมานานไม่รู้กี่ฉบับ ตนให้สัมภาษณ์ตั้งแต่แรกแล้วว่า เมื่อประกาศให้มีการเลือกตั้งก็ต้องยึดหลักการ คือให้ประชาชนตัดสินใจ โดยประชาธิปไตยที่แท้จริง อย่างไรก็แล้วแต่ มันต้องมีรัฐบาล
เมื่อถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเรื่อง เขาพระวิหาร มันจะมีผลกับการตัดสินใจหรือไม่ นายเสนาะกล่าวว่า คนละเรื่องกัน เรื่องของนายยงยุทธ เป็นเรื่องการเมืองโดยเฉพาะ เพราะมันมีการร้องเรียนทั่วไป เมื่อมีแพ้และชนะ ก็ต้องมีการร้องเรียน เมื่อถามว่าต่อไปรัฐบาลต้องทำอย่างไร นายเสนาะกล่าวว่า คดียุบพรรคก็ต้องต่อสู้ต่อไป และมีการเลือกตั้งใหม่ ไม่มีผลกระทบกับรัฐบาล มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล เราต้องมองโครงสร้างใหญ่ คือประเทศไทย เรามีกติกา มีรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมาก ฉะนั้นจะให้ชอบใจหรือถูกใจใครมันคงไม่ได้ เราต้องดูว่าประชาชนส่วนใหญ่เลือกใครมา ส่วนจะมาแบบใดเราไม่รู้ หากมาโดยมิชอบ ก็โดนลงโทษ
เมื่อถามว่า จากนี้ไปพรรคร่วมรัฐบาลจะหารือกันหรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่าคงไม่พ้นต้องมีการปรึกษาหารือกัน ตนขอพูดในนามนายเสนาะ เทียนทอง ไม่ใช่ในนามพรรคประชาราช
"ผมอยู่ในหน้าที่นี้กว่า 30 ปี เพิ่งได้เห็นการยุบพรรคในช่วงบั้นปลายชีวิตไม่เคยเห็นมาก่อนก็คงต้องขอตั้งสติก่อน"
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า อาจมีการยุบสภา นายเสนาะกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับอำนาจของนายกฯที่เขียนไว้ในกติกา หากพูดแบบภาพรวม 60 กว่าล้านคนอยู่ในเรือลำเดียวกันกำลังอยู่ในคลื่นที่มีพายุฝนยังมีปัญหาอีกมากมายที่ต้องร่วมกันแก้ไข ปัญหาอยู่ที่ว่าจะประคองเรือลำนี้ต่อไปดีกว่า