ผู้จัดการรายวัน - บอร์ดเอสเอ็มอีแบงก์รับทราบผลคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงสรุปผลสอบสวนพบเจ้าหน้าที่ 4 ราย “อาทิตย์-อวิลาส-จิรพร-จงเจตน์” ทำแบงก์เสียหาย 3 พันล้าน "ผิดวินัยร้ายแรง" เจอทั้งวินัยและอาญา ชี้มีความผิดตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการคัดเลือก SCBT ไม่เป็นไปตามข้อบังคับและมติบอร์ด รวมทั้งการทำ IRS ส่อไปในทางทุจริตและเอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลเพียงรายเดียว
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายจากการตกลงทำสัญญาในโครงการออกตราสารบัตรเงินฝากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (FRCD) เมื่อเดือนเมษายนและกรกฎาคม 2548 จำนวน 190 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีธนาคารบาร์คเลย์เป็นผู้ดำเนินการ และในครั้งที่สองจำนวน 300 ล้านเหรียญโดยมีธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) SCBT เป็นผู้ดำเนินการ
ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้สรุปผลการสอบสวนพบว่ามีเจ้าหน้าที่และผู้บริหารระดับสูงของธนาคารมีความผิดสมควรพิจารณาให้มีการกล่าวโทษทางวินัยและทางอาญากับเจ้าหน้าที่ธนาคารจำนวน 4 ราย เนื่องจากมีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ประกอบไปด้วย 1.นายอาทิตย์ ดั่นธนสาร 2.นายอวิลาส ชุณหกสิการ 3.นางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์ และ 4.นายจงเจตน์ บุญเกิด
โดยความผิดที่คณะกรรมการสอบสวนรายงานมานั้น ประเด็นแรกคือเรื่องจ้าง SCBT ออกตราสารในครั้งนี้ ถูกต้องตามระเบียบของธนาคารหรือไม่ ปรากฎว่ากระบวนการดำเนินการคัดเลือกผู้ออกตราสารดังกล่าวไม่เป็นไปตามข้อบังคับและไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการบริหาร ธพว. จึงมีความผิดตามข้อบังคับของธนาคารว่าด้วยการบริหารงานบุคคล เงินตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นของธนาคาร
ซึ่งในกรณีนี้พบผู้กระทำความผิด 2 รายคือนางจิรพรและนายอวิลาส คณะกรรมการสอบสวนจึงเห็นสมควรให้รับการลงโทษขั้นสูงในความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ให้ลดเงินเดือน 10% เป็นระยะเวลา 1 ปี เฉพาะกรณีนี้ แต่นายอวิลาสได้พ้นจากการเป็นพนักงานของธนาคารแล้วจึงให้บันทึกไว้ในประวัติแทน ขณะที่นายจงเจตน์ ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดมิได้เป็นผู้ก่อเหตุโดยตรงแต่ในฐานะผู้บังคับบัญชาสมควรให้ตักเตือนด้วยวาจาแต่ขณะนี้พ้นสภาพการเป็นพนักงานแล้วจึงให้บันทึกความผิดไว้ในประวัติ
ส่วนประเด็นการทำ Interest Rate Swap (IRS) โดยกำหนด Range Accrual และเบี้ยปรับนั้น คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานกรณีนี้ว่า จากการสอบสวนอย่างละเอียดแล้วพบว่าการที่นางจิรพรดำเนินการเรื่องดังกล่าวมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่อย่างชัดเจน ถือว่านางจิรพรและนายอาทิตย์ ไม่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นไปตามข้อบังคับของธพว.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง
การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบซึ่งเป็นความผิดทางอาญาด้วย และเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงของธนาคาร จึงเห็นสมควรลงโทษนางจิรพรให้ออกจากการเป็นพนักงานของธนาคาร นายอาทิตย์ปัจจุบันพ้นจากการเป็นพนักงานแล้วเห็นสมควรให้บันทึกไว้ในประวัติแทน
ขณะที่นายอวิลาส ทั้งที่รับทราบว่าจะเกิดความเสียหายจากการทำธุรกรรมดังกล่าวแต่กลับนิ่งเฉยถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นความผิดทางวินัยตามข้อบังคับของธนาคาร สมความให้มีการลงโทษภาคทัณฑ์เป็นเวลา 1 ปี แต่ในปัจจุบันได้พ้นสภาพการเป็นพนักงานของ ธพว.แล้วจึงสมควรให้บันทึกไว้ในประวัติแทน
ทั้งนี้ ในการทำ IRS ของธนาคารกับ SCBT แต่เพียงรายเดียวในครั้งนี้โดยไม่มีการพิจารณาเงื่อนไขเพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานของสถาบันการเงินแห่งอื่นและไม่มีรายงานให้คณะกรรมการธนาคารทราบแต่อย่างใด ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวส่อไปในทางทุจริต เป็นฯการมุ่งหวังที่จะให้ประโยชน์กับกุคคลหนึ่งบุคคลใด ซึ่งพฤติการนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการดำเนินการทำ IRS ไม่ชอบตามข้อบังคับของธนาคาร และในการดำเนินธุรกรรม IRS นั้นในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากเงื่อนไขทำให้ธนาคารต้องมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 8.5% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าปกติ คิดเป็นเงินค่าเสียหายวันละ 2.5 ล้านบาท และหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปจะทำให้ธนาคารต้องเสียเงินค่าปรับเพิ่มทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท
“การกระทำของกลุ่มบุคคลทั้ง 4 ที่คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานมานั้นเป็นเหตุทำให้ธนาคารเกิดความเสียหายตามข้อมูลหลักฐานที่ปรากฎจริงมีผลกระทบต่อการทำกิจกรรมของธพว.อย่างร้ายแรง การกระทำของผู้ที่เกี่ยวข้องคือ นายอาทิตย์ นายอวิลาสและนางจิรพร ในฐานะผู้ดำเนินการโดยตรงและนายจงเจตน์ ในฐานะซีเอฟโอที่เป็นผู้กำกับดูแลจึงควรรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวตามฐานความผิดที่ได้กระทำไว้” แหล่งข่าวจากคณะกรรมการ ธพว.ระบุ.
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายจากการตกลงทำสัญญาในโครงการออกตราสารบัตรเงินฝากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (FRCD) เมื่อเดือนเมษายนและกรกฎาคม 2548 จำนวน 190 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีธนาคารบาร์คเลย์เป็นผู้ดำเนินการ และในครั้งที่สองจำนวน 300 ล้านเหรียญโดยมีธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) SCBT เป็นผู้ดำเนินการ
ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้สรุปผลการสอบสวนพบว่ามีเจ้าหน้าที่และผู้บริหารระดับสูงของธนาคารมีความผิดสมควรพิจารณาให้มีการกล่าวโทษทางวินัยและทางอาญากับเจ้าหน้าที่ธนาคารจำนวน 4 ราย เนื่องจากมีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ประกอบไปด้วย 1.นายอาทิตย์ ดั่นธนสาร 2.นายอวิลาส ชุณหกสิการ 3.นางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์ และ 4.นายจงเจตน์ บุญเกิด
โดยความผิดที่คณะกรรมการสอบสวนรายงานมานั้น ประเด็นแรกคือเรื่องจ้าง SCBT ออกตราสารในครั้งนี้ ถูกต้องตามระเบียบของธนาคารหรือไม่ ปรากฎว่ากระบวนการดำเนินการคัดเลือกผู้ออกตราสารดังกล่าวไม่เป็นไปตามข้อบังคับและไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการบริหาร ธพว. จึงมีความผิดตามข้อบังคับของธนาคารว่าด้วยการบริหารงานบุคคล เงินตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นของธนาคาร
ซึ่งในกรณีนี้พบผู้กระทำความผิด 2 รายคือนางจิรพรและนายอวิลาส คณะกรรมการสอบสวนจึงเห็นสมควรให้รับการลงโทษขั้นสูงในความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ให้ลดเงินเดือน 10% เป็นระยะเวลา 1 ปี เฉพาะกรณีนี้ แต่นายอวิลาสได้พ้นจากการเป็นพนักงานของธนาคารแล้วจึงให้บันทึกไว้ในประวัติแทน ขณะที่นายจงเจตน์ ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดมิได้เป็นผู้ก่อเหตุโดยตรงแต่ในฐานะผู้บังคับบัญชาสมควรให้ตักเตือนด้วยวาจาแต่ขณะนี้พ้นสภาพการเป็นพนักงานแล้วจึงให้บันทึกความผิดไว้ในประวัติ
ส่วนประเด็นการทำ Interest Rate Swap (IRS) โดยกำหนด Range Accrual และเบี้ยปรับนั้น คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานกรณีนี้ว่า จากการสอบสวนอย่างละเอียดแล้วพบว่าการที่นางจิรพรดำเนินการเรื่องดังกล่าวมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่อย่างชัดเจน ถือว่านางจิรพรและนายอาทิตย์ ไม่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นไปตามข้อบังคับของธพว.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง
การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบซึ่งเป็นความผิดทางอาญาด้วย และเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงของธนาคาร จึงเห็นสมควรลงโทษนางจิรพรให้ออกจากการเป็นพนักงานของธนาคาร นายอาทิตย์ปัจจุบันพ้นจากการเป็นพนักงานแล้วเห็นสมควรให้บันทึกไว้ในประวัติแทน
ขณะที่นายอวิลาส ทั้งที่รับทราบว่าจะเกิดความเสียหายจากการทำธุรกรรมดังกล่าวแต่กลับนิ่งเฉยถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นความผิดทางวินัยตามข้อบังคับของธนาคาร สมความให้มีการลงโทษภาคทัณฑ์เป็นเวลา 1 ปี แต่ในปัจจุบันได้พ้นสภาพการเป็นพนักงานของ ธพว.แล้วจึงสมควรให้บันทึกไว้ในประวัติแทน
ทั้งนี้ ในการทำ IRS ของธนาคารกับ SCBT แต่เพียงรายเดียวในครั้งนี้โดยไม่มีการพิจารณาเงื่อนไขเพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานของสถาบันการเงินแห่งอื่นและไม่มีรายงานให้คณะกรรมการธนาคารทราบแต่อย่างใด ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวส่อไปในทางทุจริต เป็นฯการมุ่งหวังที่จะให้ประโยชน์กับกุคคลหนึ่งบุคคลใด ซึ่งพฤติการนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการดำเนินการทำ IRS ไม่ชอบตามข้อบังคับของธนาคาร และในการดำเนินธุรกรรม IRS นั้นในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากเงื่อนไขทำให้ธนาคารต้องมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 8.5% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าปกติ คิดเป็นเงินค่าเสียหายวันละ 2.5 ล้านบาท และหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปจะทำให้ธนาคารต้องเสียเงินค่าปรับเพิ่มทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท
“การกระทำของกลุ่มบุคคลทั้ง 4 ที่คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานมานั้นเป็นเหตุทำให้ธนาคารเกิดความเสียหายตามข้อมูลหลักฐานที่ปรากฎจริงมีผลกระทบต่อการทำกิจกรรมของธพว.อย่างร้ายแรง การกระทำของผู้ที่เกี่ยวข้องคือ นายอาทิตย์ นายอวิลาสและนางจิรพร ในฐานะผู้ดำเนินการโดยตรงและนายจงเจตน์ ในฐานะซีเอฟโอที่เป็นผู้กำกับดูแลจึงควรรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวตามฐานความผิดที่ได้กระทำไว้” แหล่งข่าวจากคณะกรรมการ ธพว.ระบุ.