เอเอฟพี – ชาวอเมริกันถึงราวสามในสี่เชื่อว่าปาฏิหาริย์มีจริง แล้วคนที่เชื่อว่ามีสวรรค์ก็มีจำนวนมากกว่าพวกที่เชื่อว่ามีนรก ขณะที่ราวหกในสิบคนสวดมนตร์เป็นประจำทุกวัน ทั้งนี้ตามผลสำรวจความเห็นชาวอเมริกันจำนวน 35,000 คน ซึ่งจัดทำขึ้นโดย พิวฟอรั่มว่าด้วยศาสนาและชีวิตสาธารณะ (Pew Forum on Religion and Public Life) และนำออกเผยแพร่เมือวันจันทร์(23)
รายงานดังกล่าวระบุด้วยว่า ในกลุ่มคนที่สวดมนตร์เป็นประจำนั้น ราวหนึ่งในสามหรือ 31 เปอร์เซ็นต์ อ้างว่าพระเจ้าทรงขานรับการสวดมนตร์ของตนอย่างน้อยเดือนละครั้ง และราวหนึ่งในห้าคนกล่าวว่าพระเจ้าประทานคำตอบต่อคำวิงวอนที่เฉพาะเจาะจงของตนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งด้วย
ทั้งนี้ 74 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เข้าร่วมในการสำรวจความคิดเห็นเพื่อจัดทำรายงานสภาพภูมิทัศน์ทางศาสนาของสหรัฐฯครั้งนี้ บอกว่าพวกเขาเชื่อว่าสวรรค์เป็นดินแดนที่ผู้ซึ่งดำเนินชีวิตด้วยความดีจะได้รับรางวัลตอบแทน ในขณะที่มีเพียง 6 ใน 10 คนเท่านั้นที่เชื่อว่านรกเป็นสถานที่สำหรับลงโทษผู้ที่ทำบาปโดยไม่สำนึกผิด
รายงานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า สภาพภูมิทัศน์ทางศาสนาของสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รวมทั้งมีความหลากหลายทางความเชื่อในหมู่ชาวอเมริกันมากขึ้น
“แต่ก่อนนี้ ความเชื่อเรื่องสวรรค์และนรกนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด และหลายต่อหลายคนคิดว่ามันเป็นเรื่องสองด้านของเหรียญเดียวกัน” จอห์น กรีน นักวิจัยอาวุโสของพิว บอก
“แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว คนที่เชื่อว่าสวรรค์มีจริงมีจำนวนมากกว่าคนที่เชื่อว่ามีนรก” เขากล่าว และยังคาดการณ์ด้วยว่า คนอเมริกันในปัจจุบันมองว่าพระเจ้าเป็น “ผู้ที่มีเมตตา ใจดี และพร้อมจะให้อภัย” มากกว่าจะเป็น “ผู้พิพากษาที่คอยลงโทษมนุษย์”
นอกจากนั้น ผลสำรวจซึ่งจัดทำขึ้นในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคมเมื่อปีที่แล้ว ยังระบุอีกว่า ชาวอเมริกันเกือบแปดในสิบคน (79 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่ามีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริง
ทว่า ประเด็นโดดเด่นที่สุดอาจจะเป็นกรณีที่ชาวอเมริกันมากกว่า 9 ใน 10 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เกือบจะถือได้ว่าเห็นพ้องกันหมดอย่างเป็นเอกฉันท์นั้น เชื่อว่ามีพระเจ้าจริง แต่ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็จะแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิทัศน์ทางศาสนาด้วย
“ในขณะที่การสำรวจนี้พบว่าคนอเมริกันมากกว่า 9 ใน 10 เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่จริง หรือมีจิตวิญญาณอันเป็นสากลอยู่จริง แต่ผลสำรวจก็พบด้วยเช่นกันว่าลักษณะของความเชื่อดังกล่าวนี้แตกต่างกันอย่างมากทีเดียว” เกร็ก สมิธ นักวิจัยอีกผู้หนึ่งบอก และเสริมว่า
“ผู้ใหญ่หกในสิบคนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นบุคคลที่คนทั่วไปสามารถเชื่อมโยงเกี่ยวพันถึงได้ แต่ราวหนึ่งในสี่ซึ่งในจำนวนนี้รวมทั้งประมาณครึ่งหนึ่งของชาวยิวและฮินดู มองว่าพระเจ้าเป็นพลังที่ไม่มีลักษณะเป็นตัวบุคคล”
รายงานดังกล่าวระบุด้วยว่า ในกลุ่มคนที่สวดมนตร์เป็นประจำนั้น ราวหนึ่งในสามหรือ 31 เปอร์เซ็นต์ อ้างว่าพระเจ้าทรงขานรับการสวดมนตร์ของตนอย่างน้อยเดือนละครั้ง และราวหนึ่งในห้าคนกล่าวว่าพระเจ้าประทานคำตอบต่อคำวิงวอนที่เฉพาะเจาะจงของตนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งด้วย
ทั้งนี้ 74 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เข้าร่วมในการสำรวจความคิดเห็นเพื่อจัดทำรายงานสภาพภูมิทัศน์ทางศาสนาของสหรัฐฯครั้งนี้ บอกว่าพวกเขาเชื่อว่าสวรรค์เป็นดินแดนที่ผู้ซึ่งดำเนินชีวิตด้วยความดีจะได้รับรางวัลตอบแทน ในขณะที่มีเพียง 6 ใน 10 คนเท่านั้นที่เชื่อว่านรกเป็นสถานที่สำหรับลงโทษผู้ที่ทำบาปโดยไม่สำนึกผิด
รายงานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า สภาพภูมิทัศน์ทางศาสนาของสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รวมทั้งมีความหลากหลายทางความเชื่อในหมู่ชาวอเมริกันมากขึ้น
“แต่ก่อนนี้ ความเชื่อเรื่องสวรรค์และนรกนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด และหลายต่อหลายคนคิดว่ามันเป็นเรื่องสองด้านของเหรียญเดียวกัน” จอห์น กรีน นักวิจัยอาวุโสของพิว บอก
“แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว คนที่เชื่อว่าสวรรค์มีจริงมีจำนวนมากกว่าคนที่เชื่อว่ามีนรก” เขากล่าว และยังคาดการณ์ด้วยว่า คนอเมริกันในปัจจุบันมองว่าพระเจ้าเป็น “ผู้ที่มีเมตตา ใจดี และพร้อมจะให้อภัย” มากกว่าจะเป็น “ผู้พิพากษาที่คอยลงโทษมนุษย์”
นอกจากนั้น ผลสำรวจซึ่งจัดทำขึ้นในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคมเมื่อปีที่แล้ว ยังระบุอีกว่า ชาวอเมริกันเกือบแปดในสิบคน (79 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่ามีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริง
ทว่า ประเด็นโดดเด่นที่สุดอาจจะเป็นกรณีที่ชาวอเมริกันมากกว่า 9 ใน 10 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เกือบจะถือได้ว่าเห็นพ้องกันหมดอย่างเป็นเอกฉันท์นั้น เชื่อว่ามีพระเจ้าจริง แต่ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็จะแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิทัศน์ทางศาสนาด้วย
“ในขณะที่การสำรวจนี้พบว่าคนอเมริกันมากกว่า 9 ใน 10 เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่จริง หรือมีจิตวิญญาณอันเป็นสากลอยู่จริง แต่ผลสำรวจก็พบด้วยเช่นกันว่าลักษณะของความเชื่อดังกล่าวนี้แตกต่างกันอย่างมากทีเดียว” เกร็ก สมิธ นักวิจัยอีกผู้หนึ่งบอก และเสริมว่า
“ผู้ใหญ่หกในสิบคนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นบุคคลที่คนทั่วไปสามารถเชื่อมโยงเกี่ยวพันถึงได้ แต่ราวหนึ่งในสี่ซึ่งในจำนวนนี้รวมทั้งประมาณครึ่งหนึ่งของชาวยิวและฮินดู มองว่าพระเจ้าเป็นพลังที่ไม่มีลักษณะเป็นตัวบุคคล”
