เทสโก้ โลตัส บุกตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปั้นยี่ห้อ"นโปเลียน"น้ำเมาเฮาส์แบรนด์ทางเลือกใหม่ เจาะคอทองแดงระดับซี ปูพรมน้ำเข้า 2 กลุ่ม ส่งวิสกี้กินเค้กชิ้นใหญ่ตลาดไทย 3.7 ล้านลัง พร้อมลุยบรั่นดีตลาดเล็กแต่คู่แข่งน้อย ด้านคนวงการน้ำเมาไม่หวั่นกลยุทธ์ราคาถล่ม ชี้เป็นสินค้าที่ผู้ดื่มยังห่วงอิมเมจ
แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผยกับ"ผู้จัดการรายวัน"ว่า เทสโก้ โลตัส ได้นำเข้าเหล้าภายใต้แบรนด์"เทสโก้ โลตัส นโปเลียน" หรือเปรียบได้สินค้าเฮาส์แบรนด์อีกหนึ่งตัวเข้ามาทำตลาด โดยมีวางจำหน่ายเฉพาะเชนโมเดิร์นเทรดเทสโก้ โลตัสเท่านั้น ทั้งนี้การนำเข้าเทสโก้ โลตัส นโปเลียน มีกลุ่มเหล้าที่หลากหลาย อาทิ วิสกี้ โดยเฉพาะบรั่นดีวางราคาใกล้เคียงกับรีเจนซี่ บรั่นดีของผู้ประกอบการไทย โดยได้วางจำหน่ายในระยะหนึ่งแล้วในบางสาขา อาทิ ประชาชื่น ตลอดจนการวางจำหน่ายผ่านช่องทางเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส
ทั้งนี้การเข้ามาทำตลาดวิสกี้ของนโปเลียน เพราะวิสกี้เฉพาะนำเข้ามีมูลค่า 3.7 ล้านลัง ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่มากสำหรับประเทศไทย ส่วนการเข้ามาทำตลาดบรั่นดี หากเป็นบรั่นดีไทยถือว่าเป็นตลาดที่เล็กมาก แต่มีผู้ประกอบการเพียงรายเดียวเท่านั้น คือ รีเจนซี่ ที่เป็นผู้นำตลาดและมีความแข็งแกร่งในเรื่องของแบรนด์ โดยเฉพาะการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่กลุ่มเป้าหมายสามารถจดจำได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ทำให้คู่แข่งอย่างเชนโมเดิร์นเทรดสนใจเข้ามาทำตลาดนี้ ส่วนหนึ่งเพราะที่ผ่านมารีเจนซี่ผลิตไม่พอกับความต้องการของตลาด ขณะที่กลุ่มเป้าหมายของบรั่นดี ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก ส่วนคนเมืองมีน้อย
ด้านแหล่งข่าววงการเหล้า กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่โมเดิร์นเทรดโดดเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มแอกอฮอลล์ในระยะสั้นไม่น่ากังวลอะไรมากนัก เพราะเหล้าเป็นสินค้าที่กลุ่มผู้ดื่มค่อนข้างมีความภักดีต่อแบรนด์ ส่วนหนึ่งเพราะการดื่มเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ แต่ในระยะยาวหากมีการสร้างแบรนด์ ผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์น่าจะเป็นเรื่องน่ากลัวเช่นกัน
อย่างไรก็ตามสำหรับกลุ่มเป้าหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฮาส์แบรนด์ โดยมากเป็นกลุ่มระดับซีลงมา หรือกลุ่มเป้าหมายต่างจังหวัด ตลอดจนสถาบันเทิง ผับ บาร์ ระดับซี ที่เน้นจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาไม่สูงมากนัก
ปัจจุบันสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ของ เทสโก้ โลตัส มีทั้งหมดกว่า 2,500 รายการ ภายใต้ตรา "เทสโก้" "คุ้มค่า" "สกิน วิสดอม" (ผลิตภัณฑ์กลุ่มถนอมผิว) และ แบรนด์น้องใหม่ "ออล อะเบาท์ เฟซ" (ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสำอาง) และล่าสุดเหล้านโปเลียน
สำหรับแนวโน้มตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปีนี้ คาดว่าหดตัวลงเนื่องจากการรับผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ และการเมืองที่ไม่นิ่ง ประกอบกับเป็นช่วงโลว์ซีซันหรือฤดูฝน อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงไตรมาส 4 แนวโน้มตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะกลับมามีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นคนไทยออกมาเฉลิมฉลอง
นายชลเทพ เจริญสุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บาคาร์ดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าสก็อตซ์วิสกี้เดวาร์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสก็อตซ์วิสกี้นำเข้ามูลค่า 3.7 ล้านลังในปีนี้คาดว่าจะหดตัวลง 15% เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง ค่าครองชีพ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ทั้งนี้พบว่าเซกเมนต์สแตนดาร์ดสัดส่วน 75% หรือ 9.2 แสนลัง ตลาดหดตัวลงมาก โดยผู้ดื่มหันไปดื่มเบียร์แทน ส่งผลให้ตลาดเบียร์ปีนี้มีอัตราการเติบโต
แนวโน้มสก็อตซ์วิสกี้เซกเมนต์พรีเมียมสัดส่วน 10% หรือราว 3.7 แสนลัง ปีนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งทิศทางการแข่งขันคู่แข่งจะมุ่งเน้นสงครามราคากันมากขึ้น มีการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กลง เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังการซื้อของผู้บริโภค ขณะที่เซกเมนต์ดีลักซ์สัดส่วน 9% หรือ 3.3 แสนลัง และซูเปอร์ดีลักซ์ 1% หรือ 3.7 หมื่นลัง ก็มีการเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน ส่วนหนึ่งเพราะกลุ่มผู้ดื่มไม่ได้รับผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ
แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผยกับ"ผู้จัดการรายวัน"ว่า เทสโก้ โลตัส ได้นำเข้าเหล้าภายใต้แบรนด์"เทสโก้ โลตัส นโปเลียน" หรือเปรียบได้สินค้าเฮาส์แบรนด์อีกหนึ่งตัวเข้ามาทำตลาด โดยมีวางจำหน่ายเฉพาะเชนโมเดิร์นเทรดเทสโก้ โลตัสเท่านั้น ทั้งนี้การนำเข้าเทสโก้ โลตัส นโปเลียน มีกลุ่มเหล้าที่หลากหลาย อาทิ วิสกี้ โดยเฉพาะบรั่นดีวางราคาใกล้เคียงกับรีเจนซี่ บรั่นดีของผู้ประกอบการไทย โดยได้วางจำหน่ายในระยะหนึ่งแล้วในบางสาขา อาทิ ประชาชื่น ตลอดจนการวางจำหน่ายผ่านช่องทางเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส
ทั้งนี้การเข้ามาทำตลาดวิสกี้ของนโปเลียน เพราะวิสกี้เฉพาะนำเข้ามีมูลค่า 3.7 ล้านลัง ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่มากสำหรับประเทศไทย ส่วนการเข้ามาทำตลาดบรั่นดี หากเป็นบรั่นดีไทยถือว่าเป็นตลาดที่เล็กมาก แต่มีผู้ประกอบการเพียงรายเดียวเท่านั้น คือ รีเจนซี่ ที่เป็นผู้นำตลาดและมีความแข็งแกร่งในเรื่องของแบรนด์ โดยเฉพาะการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่กลุ่มเป้าหมายสามารถจดจำได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ทำให้คู่แข่งอย่างเชนโมเดิร์นเทรดสนใจเข้ามาทำตลาดนี้ ส่วนหนึ่งเพราะที่ผ่านมารีเจนซี่ผลิตไม่พอกับความต้องการของตลาด ขณะที่กลุ่มเป้าหมายของบรั่นดี ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก ส่วนคนเมืองมีน้อย
ด้านแหล่งข่าววงการเหล้า กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่โมเดิร์นเทรดโดดเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มแอกอฮอลล์ในระยะสั้นไม่น่ากังวลอะไรมากนัก เพราะเหล้าเป็นสินค้าที่กลุ่มผู้ดื่มค่อนข้างมีความภักดีต่อแบรนด์ ส่วนหนึ่งเพราะการดื่มเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ แต่ในระยะยาวหากมีการสร้างแบรนด์ ผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์น่าจะเป็นเรื่องน่ากลัวเช่นกัน
อย่างไรก็ตามสำหรับกลุ่มเป้าหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฮาส์แบรนด์ โดยมากเป็นกลุ่มระดับซีลงมา หรือกลุ่มเป้าหมายต่างจังหวัด ตลอดจนสถาบันเทิง ผับ บาร์ ระดับซี ที่เน้นจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาไม่สูงมากนัก
ปัจจุบันสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ของ เทสโก้ โลตัส มีทั้งหมดกว่า 2,500 รายการ ภายใต้ตรา "เทสโก้" "คุ้มค่า" "สกิน วิสดอม" (ผลิตภัณฑ์กลุ่มถนอมผิว) และ แบรนด์น้องใหม่ "ออล อะเบาท์ เฟซ" (ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสำอาง) และล่าสุดเหล้านโปเลียน
สำหรับแนวโน้มตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปีนี้ คาดว่าหดตัวลงเนื่องจากการรับผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ และการเมืองที่ไม่นิ่ง ประกอบกับเป็นช่วงโลว์ซีซันหรือฤดูฝน อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงไตรมาส 4 แนวโน้มตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะกลับมามีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นคนไทยออกมาเฉลิมฉลอง
นายชลเทพ เจริญสุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บาคาร์ดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าสก็อตซ์วิสกี้เดวาร์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสก็อตซ์วิสกี้นำเข้ามูลค่า 3.7 ล้านลังในปีนี้คาดว่าจะหดตัวลง 15% เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง ค่าครองชีพ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ทั้งนี้พบว่าเซกเมนต์สแตนดาร์ดสัดส่วน 75% หรือ 9.2 แสนลัง ตลาดหดตัวลงมาก โดยผู้ดื่มหันไปดื่มเบียร์แทน ส่งผลให้ตลาดเบียร์ปีนี้มีอัตราการเติบโต
แนวโน้มสก็อตซ์วิสกี้เซกเมนต์พรีเมียมสัดส่วน 10% หรือราว 3.7 แสนลัง ปีนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งทิศทางการแข่งขันคู่แข่งจะมุ่งเน้นสงครามราคากันมากขึ้น มีการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กลง เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังการซื้อของผู้บริโภค ขณะที่เซกเมนต์ดีลักซ์สัดส่วน 9% หรือ 3.3 แสนลัง และซูเปอร์ดีลักซ์ 1% หรือ 3.7 หมื่นลัง ก็มีการเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน ส่วนหนึ่งเพราะกลุ่มผู้ดื่มไม่ได้รับผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ