ประชาชนมืดฟ้ามัวดิน ร่วมปฏิบัติการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลร่วมกับพันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบฯ ขับไล่รัฐบาลขายชาติ โดยไม่เสียเลือดเนื้อ นับเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ "สนธิ"ประกาศฟ้องครม.ทั้งคณะ พร้อมยื่นศาลปกครองขอไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อคุ้มครองกรณี "นพดล" ลงนามในแถลงการณ์ร่วมยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก "หมัก" ยังดื้อแพ่ง ไม่ยอมลาออก เตรียมย้ายไปนั่งทำงานที่กลาโหม ด้าน"เป็ดเหลิม" สติแตก บอกรอนั่งเก้าอี้ มท.1 มา 30 ปี ลั่น "กูไม่ออก" ขณะที่ตำรวจยอมรับเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชน ชี้หากการชุมนุมยืดเยื้อรัฐบาลต้องแก้ปัญหาเอง
วันที่ 20 มิถุนายน 2551 นับเป็นวันประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของชาติไทย เมื่อประชาชนจากทุกภูมิภาคของประเทศ หลั่งไหลเข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ประกาศเจตนารมย์ ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด ขายชาติ โดยยึดแนวทางสันติ อหิงสา เอาธรรมนำหน้า โดยไม่เสียเลือดเนื้อ หลังจากที่มีการปักหลักพักค้าง ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอกมาเป็นเวลา 27 วัน ซึ่งข่าวการชุมนุมขับไล่รัฐบาลครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ มีการเผยแพร่ข่าวไปทั่วโลก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าวานนี้ ก่อนการเคลื่อนขบวนบุกทำเนียบรัฐบาล ประชาชนที่ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เดินทางจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทะยอยเข้าสมทบกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการปิดการจราจรบนถนนหลายสายโดยรอบบริเวณทำเนียบรัฐบาล ซึ่งวิธีการปิดถนนของตำรวจนอกจากจะใช้แผงเหล็กกั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนรักษาการ แล้ว ยังได้นำรถบรรทุกผู้ต้องหา ไปจอดขวางถนนไว้ และบางจุดยังมีการเตรียมรถดับเพลิง และรถฉายสปอตไลต์ เตรียมไว้ด้วย
ส่วนตำรวจหลายพันนาย ก็มีการเตรียมอุปกรณ์รับมือครบเครื่อง ทั้งกระบอง สนับแขน-เข่า โล่ หมวกนิรภัย แก๊สน้ำตา แต่ไม่มีการพกอาวุธหนักแต่อย่างใด
"จำลอง"แจงกติกายึดทำเนียบฯ
สำหรับบนเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อเวลา 07.30 น.วานนี้ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นกล่าวกับผู้มาร่วมชุมนุมถึงขั้นตอนและการเตรียมพร้อมในการเคลื่นขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล ว่า ในการเดินไปนั้น ถ้าโดนตำรวจกั้น ให้ถ่ายรูป และจดชื้อ ยศ เอาไว้ เพราะเราสามารถดำเนินคดีกับเขาได้ และถ้าตำรวจกันไม่ให้เราเข้าไป เราก็ต้องพยายามหาทางเข้าไปให้ได้ อย่าได้ย่อท้อ
พล.ต.จำลอง ย้ำว่า การเคลื่อนทัพของพันธมิตรฯ จะเป็นไปอย่างอหิงสา และสงบสุข จะไม่ใช้คำพูดหยาบคายกับตำรวจ ไม่มีอาวุธ ไม่มีท่อนไม้ ท่อนเหล็ก หรือแม้กระทั่งหนังสติ๊ก ถ้าใครที่เข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วมีหนังสติ๊ก หรือไม้ ต้องถือว่าไม่ใช่พวกพันธมิตรฯ แต่เป็นพวกนรกป่วนกรุง
กองทัพธรรมนำทัพฝ่าตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากแกนนำพันธมิตรฯ ผลัดกันกล่าวบนเวทียืนยันถึงเจตนารมย์การเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด เพื่อธำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยลักษณะการพูดเป็นการปลุกจิตใจให้มีความมุ่งมั่น ฮึกเหิม โดยมีการมอบหมายให้สุภาพสตรีจากกองทัพธรรม ผูกผ้าสีส้มที่เอวเพื่อเป็นทัพหน้าในการเคลื่อนขบวน
ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นรถบรรทุกเครื่องขยายเสียง นำผู้ชุมนุมประมาณ 500 คน ที่มีกองทัพธรรมเป็นทัพหน้าเดินออกจากเวทีใหญ่แยกสะพานมัฆวานฯ มุ่งหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เส้นทางเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ด้านหน้าวัดโสมนัสฯ ฝ่าด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 100 นาย ซึ่งมีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเปิดทางให้ผ่านไปได้ แต่ก็ต้องหยุดขบวนที่บริเวณ สี่แยกนางเลิ้ง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งแนวปิดกั้น และนำรถบรรทุกผู้ต้องหามาปิดถนนอย่างแน่นหนา
ต่อมาก็มีกลุ่มของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ นำชุดผู้ชุมนุมอีกชุดเคลื่อนตามมาสมทบ กับชุดของ พล.ต.จำลอง จนทำให้มีผู้ชุมนุมที่บริเวณแยกยางเลิ้ง นับหมื่นคน ซึ่งแกนนำได้ผลัดกันขึ้นกล่าวบนรถบรรทุก 6 ล้อ ที่ใช้เป็นเวทีเคลื่อนที่ และเตรียมตั้งเวทีใหญ่ ที่บริเวณแยกนางเลิ้ง
โดยช่วงนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวชี้แจงกับผู้ชุมนุมว่า อย่าไปโกรธตำรวจ เพราะต้องทำหน้าที่ตามคำสั่งของนักการเมืองสถุล พร้อมให้คำมั่นกลุ่มผู้ชุมนุมว่า ไม่เกินเที่ยงคืน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ดร.กำมะลอ ต้องลี้ภัยแน่นอน และเชื่อว่าจะมีประชาชนมาร่วมขั้บไล่รัฐบาลหุ่นเชิดไม่ต่ำกว่า 5 แสนคนแน่นอน
บุกทำเนียบฯ ทุกทิศทาง
ขณะเดียวกันแกนนำพันธมิตรฯ ที่เหลือก็ได้แยกย้ายกันไปนำกลุ่มประชาชน รุกเข้าทำเนียบฯ ในหลายทิศทาง โดยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายพิภพ ธงไชย นำผู้ชุมนุมอีกกลุ่ม เคลื่อนขบวนออกมาทางวัดมกุฏกษัตริยาราม ฝ่าแนวกั้นของตำรวจ ออกมาถึงแยกสวนมิสกวันได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามแม้ในช่วงดังกล่าวจะไม่มีแกนนำพันธมิตรฯ อยู่ที่เวทีใหญ่ที่สะพานมัฆวานฯ แต่ก็ยังคงมีประชาชนกว่า 2 พันคน รักษาพื้นที่เอาไว้ท่ามกลางการตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ต่อมาเวลา 13.10 น. กลุ่มพันธมิตรฯภายใต้การนำของ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ก็นำประชาชน ฝ่าด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผ่านทางแยก วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ผ่านถนนนครปฐม มุ่งสู่ทำเนียบฯ และเป็นกลุ่มแรกที่บุกทะลวงเข้ามาจ่ออยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล แต่ก็ถูกสกัดอยู่ด้านหน้าสำนักงาน ป.ป.ช. เนื่องจากตำรวจมีรถห้องขังเคลื่อนที่ 3 คันจอดขวาง โดยมีตำรวจนครบาล- ตชด.ทั้งชายและหญิง ตรึงกำลังไม่ให้ผ่านเข้ามาที่ถนนพิษณุโลก
แต่ในที่สุด กำแพงตำรวจก็ไม่สามารถต้านคลื่นประชาชนที่มาหนุนเสริม ต่างก็ช่วยกันผลักดันแผงเหล็ก และฝ่าแนวกั้นของตำรวจ เข้ามายึดพื้นที่บนถนนพิษณุโลก ประชิดกำแพงทำเนียบรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จ
ช่วงนี้ คลื่นมหาชนหลายแสนคน ทั้งจากที่อยู๋ในกรุงเทพฯ และจากภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ก็ได้หลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสาย ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลไว้ทุกด้าน แต่ไม่ได้บุกเข้าไปภายใน โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโนง 20 นาทีเท่านั้น ในการเคลื่อนขบวนมาจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ กระทั่งปิดล้อมทำเนียบฯได้เบ็ดเสร็จ
พันธมิตรฯ ประกาศชัยชนะ
ต่อมาเวลา 17.30 น. นายสุริยะใส กะตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของพันธมิตรฯ และประชาชน จากการใช้ยุทธการสงคราม 9 ทัพ โดยสามารถนำแนวทางสันติวิธีมาใช้ ภายใต้ประชาชนนับแสน โดยไม่มีเหตุการณ์นองเลือดซ้ำรอยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เหมือนที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าปฏิบัติการครั้งนี้ จะเป็นชนวนในการนองเลือด
ส่วนความกังวลต่อการกระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น คิดว่าไม่น่าสงผลกระทบ เนื่องจากเราไม่ได้ปิดประตูทำเนียบทุกประตู ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังสามารถเข้าออกได้ตามปกติ
"การออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่มีเหตุการณ์ทุบตี เพราะเรายึกหลักในการเจรจา เดินเท้าเท่าที่เดินได้ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมเปิดทางให้ ต้องขอขอบคุณที่ให้พวกเราผ่าน ตรงนี้สื่อเป็นประจักษ์พยายานได้ว่าเป็นความสำเร็จของการต่อสู้แบบอหิงสา"นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ชัยชนะที่เรายึดทำเนียบรัฐบาลนั้นเป็นเป้าหมายที่ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลลาอออก โดยมีสาเหตุมาจากความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และพยายามเปิดทางให้ระบอบทักษิณกลับมา อีกทั้งยังมีเจตนาล้มล้างรัฐธรรมนูญ และมีพฤติกรรมเปิดทางให้คนในเครือข่าย คุกคาม จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และล่าสุดที่ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารให้กับกัมพูชา ซึ่งเรื่องดังกล่าวล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากออกมาร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวกับพันธมิตร
"จำลอง"เลี้ยงข้าวฉลองชัยชนะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.00 น. ณ จุดชุมนุมพันธมิตรฯ ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล ทีมงานได้ทำการเร่งสร้างเวทีชั่วคราว โดยระหว่างนั้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ถือโอกาสแนะนำร้านอาหารอร่อยๆ ย่านนางเลิ้งให้ผู้ชุมนุมไปหารับประทาน เพราะย่านนางเลิ้งถือเป็นตลาดเก่าแก่ ที่มีอาหารอร่อยๆหลายร้าน และมีบางร้านเปิดให้รับประทานฟรี นอกจากนี้ยังได้มีการช่วยกันปรบมือขอบคุณชาวนางเลิ้ง ที่เสียสละให้มาชุมนุม และสัญญาว่า รัฐบาลจากพรรคพลังประชาชนจะต้องออกไปทั้งหมด และนอกจากยังมีการเปิดเพลง"หน้าเหลี่ยม" ซึ่งสร้างความครึกครื้น ในการชุมนุมอย่างมาก
"สนธิ" ประกาศฟ้อง ครม.ทั้งคณะ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีที่หน้าสนามม้านางเลิ้ง ประกาศว่า ในวันอังคารที่ 24 มิ.ย.นี้ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ให้ไต่สวนฉุกเฉินไม่ให้ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ลงนามในแถลงการณ์ร่วม ยอมรับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และเชื่อว่าฟ้ามีตาแน่นอน
นายสนธิ ย้ำว่า กระบวนการทางกฎหมายที่รัฐบาลดำเนินการเอาไว้ ยังไม่เรียบร้อย เพราะยังต้องผ่านกระบวนการอีกหลายขั้นตอน ดังนั้นจึงยังไม่มีผล
"เวลานี้เรายึดอำนาจรัฐ ด้วยการเอาธรรมนำหน้า โดยไม่เสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว เวลานี้คนไทยจะไม่ให้นักการเมืองชั่วมาหลอกใช้คำพูดถ่อย ว่าผมมาจากการเลือกตั้งได้อีกต่อไป"
นายสนธิ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาเคยพูดว่าเมื่อเขมรยื่นจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ทำไมเราจึงไม่ยื่นควบคู่เข้าไปด้วย ไม่รู้ว่าจะตายกันหรือไง และวันนี้มีการพิสูจน์ชัดแล้วว่า มีการทำข้อตกลงลับบางอย่าง
"ที่ผ่านมาผมเคยพูดเรื่องการฮุบเกาะกูด แล้วมีนักวิชาการหลายคนหัวเราะหาว่าผมเล่านิทานโกหกให้ฟัง อยากถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเปลี่ยนนิสัยโกหกหรือไม่ ยังพูดอย่างทำอย่างเหมือนเดิม"
นายสนธิ ยังได้ขอประชามติพี่น้องประชาชนที่มาชุมนุม โดยเสนอให้ดำเนินคดีกับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ในข้อหาขายชาติ
"ไม่ใช่เฉพาะนายสมัคร กับนายนพดล ต้องติดคุกเท่านั้น ครม.ทั้ง 35 คน ต้องติดคุกด้วย ถ้าเห็นด้วยก็ให้โหวตยกมือ" นายสนธิ กล่าว พร้อมยกตัวอย่างแม้แต่ถ้าจะขายที่ดินสักแปลง ยังต้องถามพ่อแม่ แต่นี่เป็นผลประโยชน์ด้านอธิปไตยเป็นแผ่นของชาติ จะไม่ถามประชาชนสักคำได้อย่างไร
นายสนธิ ย้ำอีกว่า พรรคการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขายชาติในครั้งนี้ ให้จดจำพรรคการเมืองต่อไปนี้ นอกจากพรรคพลังประชาชนแล้ว ยังมีพรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน มัชฌิมาธิปไตย รวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคประชาราช
"ให้จำชื่อ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายเสนาะ เทียนทอง นายสุวิทย์ คุณกิตติ นายสมศักดิ์ และนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ให้จดจำชื่อหัวหน้าพรรค และพรรคเหล่านี้เอาไว้ อย่าให้คนพวกนี้ได้เกิดทางการเมืองอีกต่อไป" นายสนธิ กล่าว
นายกฯ-รมต.ไม่มีใครเข้าทำเนียบฯ
สำหรับบรรยากาศภายในทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่ช่วงเช้า บรรดาข้าราชการส่วนใหญ่ไม่ได้เดินทางมาทำงาน ส่วนนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไปเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซี่ยน ครั้งที่ 14 ที่กระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นเดินทางไปยังอยู่ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2551 ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อเยี่ยมชมอาคารสิ่งก่อสร้างสำนักงานต่างๆ โดยไม่ได้เดินทางเข้าทำเนียบฯ แต่อย่างใด
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกภารกิจไปร่วมพิธีเปิดโครงการโรงเรียนนักเรียนกินไข่ ของสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้ส่งออกไข่ไก่ ที่จ.ฉะเชิงเทราด้วย
"หมัก"ถกเครียด ผบ.ทบ.-ผบ.ทบ.
เมื่อเวลา 15.30 น. ที่สโมสรทหารบก นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ได้เรียกพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เดินทางมาร่วมประชุมหารือที่ห้องวีไอพี 3 โดยทั้งหมดได้ร่วมกันติดตามสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ทางสถานีโทรทัศน์ และได้มีการประเมินสถานการณ์ร่วมกันกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะหลบผู้สื่อข่าวเดินทางกลับไป
ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เดินออกจากห้องรับรองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวในทุกคำถาม โดยเฉพาะเรื่องการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ แสดงอาการหงุดหงิด ก่อนที่จะแหวกวงล้อมผู้สื่อข่าวขึ้นรถประจำตำแหน่ง เพื่อเดินทางกลับบ้านพักรับรองภายในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์
ส่วน พล.ท.ประยุทธ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวภายหลังการหารือเช่นกัน เพียงกล่าวสั้นๆว่า นายกฯได้เชิญมาช่วยประเมินสถานการณ์ของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ล้อมทำเนียบฯ ซึ่งยังไม่มีอะไร ขอให้สบายใจได้
เมื่อถามว่า สถานการณ์มีความตึงเครียดหรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้เครียดอะไร ให้ดูใบหน้าตนยังยิ้มได้อยู่ พร้อมกับโบกมือให้สื่อมวลชนก่อนจะขึ้นรถออกไปสมทบกับ พล.อ.อนุพงษ์ ที่บ้านพักรับรองภายในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ โดยไม่ให้ขบวนรถผู้สื่อข่าวติดตามไปทำข่าวแต่อย่างใด
"หมัก"ย้ายไปนั่งทำงานที่กลาโหม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการหารือ นายสมัคร ได้ออกจากห้องประชุม ขึ้นรถยี่ห้อง เชฟโรเลต ชพ-3399 โดยนั่งคู่ไปกับ ผบ.ทบ. เมื่อเห็นสื่อทำท่าจะติดตาม นายสมัครจึงได้สั่งคนขับรถวนบริเวณสโมสรกองทัพบก จากนั้นก็ได้ให้ทหารสกัดขบวนรถสื่อมวลชนไม่ให้ติดตาม แต่ก็ไม่สำเร็จ รถของนายสมัคร ได้ใช้ถนนเส้นวิภาวดีเดินทางไปยังกองทัพอากาศ ในเวลา 17.00 น.โดยสั่งสารวัตรทหารอากาศ กันรถผู้สื่อข่าวไม่ให้ตามเข้าไป กลุ่มผู้สื่อข่าวรอประมาณ 15 นาที ก็ยังไม่ออกมา จึงได้ไปดักรอที่บ้านพัก นวมินทร์ 81 แทน แต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวของนายสมัคร แต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.00 น. นายสมัคร ได้ไปรับประทานอาหารเย็น และหารือกับ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และพล.ท. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ หลังทำเนียบรัฐบาลถูกปิดล้อม ซึ่งนายสมัคร พยายามหลบเลี่ยงไม่ให้สื่อมวลชนตามไปทำข่าว ซึ่งภายหลังการหารือ นายสมัคร ได้กลับเข้าบ้านพักในเวลา 20.00 น.
รายงานข่าวจากกองทัพบกแจ้งว่า นายสมัคร สั่งไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มพันธมิตรฯ และจะปล่อยให้ผู้ชุมนุมล้อมทำเนียบฯ โดยจะไม่ใช้กำลังตำรวจหรือทหารสลายการชุมนุม เนื่องจากตำรวจน่าจะควบคุมได้ ยกเว้นแต่หากมีการปืนเข้าไปในทำเนียบฯ ก็จะจับเป็นรายบุคคลที่ปืนเข้าไปเท่านั้น
ทั้งนี้ ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากกลุ่มผู้ชุมนุมจะปักหลักชุมนุมยืดยาว ก็จะปล่อยให้ชุมนุมต่อไป เพียงแต่จะไม่อำนวยความสะดวกในเรื่องรถสุขาให้ หากทนได้ก็ทนไป ซึ่งหลังจากนี้นายสมัคร จะย้ายไปนั่งทำงานที่กระทรวงกลาโหม แทนทำเนียบรัฐบาล ส่วนการประชุม ครม.ก็จะใช้สถานที่ประชุมที่อื่นแทน
ผบ.ทบ.สั่งทหารอยู่ในที่ตั้ง
ก่อนหน้านั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.00 น. พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 เดินทางเข้ามาร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่กองบัญชาการกองทัพบก และเฝ้าประเมินและติดตามสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่ภายในกองบัญชาการกองทัพบก จนกระทั่ง 14.20 น.หลัง กลุ่มพันธมิตรฯ ได้บุกยึดทำเนียบรัฐบาลได้แล้ว นายสมัคร ได้เรียกให้ ผบ.ทบ. และ แม่ทัพภาคที่ 1 ไปพบที่สโมสร ทบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อนุพงษ์ ได้มีคำสั่งกำชับให้หน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก ผ่านทางวิทยุสื่อสารของทหาร และแจกจ่ายเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่า ขอให้ทหารวางตัวเป็นกลางไม่ยุ่งการเมือง และขอให้กำลังอยู่ในหน่วยที่ตั้งจนกว่าจะมีคำสั่งให้ทหารออกมาปฏิบัติภารกิจ แม้ว่าสถานการณ์ขณะนี้จะมีสิ่งรุมเร้ามากมาย แต่ยังเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
"เป็ดเหลิม"ลั่นรอมา 30 ปี "กูไม่ลาออก"
ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร(ไทย-ญี่ปุ่น) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการเป็นประธานเปิดงาน "รวมพลังชุมชน คนกรุงเทพฯ เอาชนะยาเสพติด" ถึงการบุกทำเนียบฯ ของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยนำเรื่องเขาพระวิหาร มาเป็นเงื่อนไข ว่า แผนที่ที่มีการพูดถึงขณะนี้ รัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำแผนที่ แต่มีนายทหารยศพลโท ของกรมแผนที่ทหารเป็นผู้จัดทำขึ้นมา ซึ่งไทยทำถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีอะไรอะไรเสียหายเลย และที่สำคัญรัฐบาลชุดนี้ยังไม่ได้เซ็นอนุมัติโครงการใดๆ เลย แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็เอามาโจมตีแล้ว และบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่จงรักภักดี
"หากถามถึงความจงรักภักดี นายสนธิ เคยได้รับระราชทานปริญญาบัตร จากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสักครั้งหรือไม่ ผมรับมาแล้ว 3 ครั้ง และได้สายสะพาย อยากถามว่าที่นายสนธิ บอกว่า ผมไม่จงรักภักดี แล้วนายสนธิจงรักภักดีกว่าผมตรงไหน และขอยืนยันว่า เรื่องที่จะให้ผมลาออกคงเป็นไปไม่ได้ เพราะผมรอมาตั้ง 30 ปี กว่าจะได้เป็น มท. 1 และเพิ่งจะได้เป็น ไอ้ห่า จะให้ลาออก กูไม่ไปหรอก" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว และว่า ถ้าตนรับผิดชอบทำเนียบรัฐบาล จะปล่อยให้พวกม็อบเข้ามา อยากบุกก็บุกเข้ามาดูสิว่า เข้ามาแล้วจะทำอะไร แต่ตนไม่ได้รับผิดชอบทำเนียบฯ แต่นายสมัคร เป็นคนรับผิดชอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวโจมตีพันธมิตรฯ อย่างดุเดือดนั้น ประชาชนที่เข้ารับฟัง ต่างทะยอยเดินออกจากห้องประชุมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่พอใจที่ ปราศรัยโจมตีกลุ่มพันธมิตรฯ และมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง และพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด
ยึดทำเนียบฯ ชัยชนะของประชาชน
เวลา 15.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. และรองโฆษกตร.แถลงสรุปการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ ไปยังทำเนียบรัฐบาลว่า กลุ่มผู้ชุมนุมเบื้องต้นที่ได้ประเมินในขณะนั้นมีประมาณ 25,000 คน สามารถฝ่าแนวสกัดกั้นของตำรวจผ่านไปได้ ขณะนี้เหลือเพียงจุดสกัดกั้นที่สะพานมัฆวานฯ เพียงจุดเดียว โดยตำรวจกำลังเจรจาให้กลุ่มผู้ชุมนุมใช้เส้นทางอื่นในการเดินทางไปสมทบ กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณถนนพิษณุโลก หน้าทำเนียบรัฐบาล
"พัชรวาท"พอใจการปฎิบัติงาน
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวต่อว่า จากการประมวลเหตุการณ์ จะเห็นได้ว่าทั้งตำรวจและผู้ชุมนุมไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง อย่างเช่นกลุ่มผู้ชุมนุมที่แยกนางเลิ้ง เมื่อมาถึงก็ได้นั่งลงรอดูเหตุการณ์ และเมื่อเห็นว่าตำรวจไม่ใช้ความรุนแรง กลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ใช้ความรุนแรงด้วย ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ลุกลามบานปลาย และผ่านไปด้วยดี ซึ่งพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ก็รู้สึกพอใจ เนื่องจากตำรวจได้ทำตามคำมั่นที่ให้ไว้ว่าจะไม่ทำร้ายประชาชน
"เรายืนยันว่า สามารถนำความคิดและนโยบาย ส่งผ่านถึงกำลังพลทุกระดับ และทำให้ตำรวจของเราเป็นตำรวจของประชาชนได้ โดยไม่เอาเหตุผลทางการเมืองมาเกี่ยวพันกับเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า การไม่เกิดเหตุรุนแรงขึ้นในบ้านเมือง ถือเป็นชัยชนะของสังคมที่จะสามารถสร้างความประนีประนอมระหว่างกันได้ ขณะที่คนเรือนหมื่นผ่านแนวสกัดกั้นมา แต่กลับไม่มีการปะทะกันอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน ตำรวจยืนหยัดทำตามหน้าที่ ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาในกรอบที่จะไม่ใช้กำลังที่จะปราบปรามและสลายการชุมนุม ซึ่งหากเราใช้ความรุนแรงตอบโต้กลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ แทนที่จะสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จด้วยดีในทางการเมือง กลับจะเป็นการสร้างปัญหาทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง ซึ่งอาจจะเปิดช่องให้มือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์ได้
ตำรวจบาดเจ็บเล็กน้อย 4 นาย
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 4 ราย จากการกระทบกระทั่งกันที่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ ประกอบด้วย สิบตำรวจตรีหญิง พรพิรุณ โตวังจร สิบตำรวจตรีหญิงพจนา แก้วเกตุศรี ซึ่งทั้ง 2 เป็น ตชด.ได้รับบาดเจ็บแขนหัก สิบตำรวจตรี คมสัน ศรีคำ ตำรวจ สน.บางนา ได้รับบาดเจ็บเล็บหลุดและ สิบตำรวจตรี ศราวุธ เลิศธร ตำรวจ สน.ลุมพินี ได้รับบาดเจ็บที่นิ้วมือ ซึ่งหลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.ได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นการฝ่าด่าน และใช้มือดัน ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่ตำรวจไม่ยอมให้กลุ่มผู้ชุมนุมผ่านจุดสกัดที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า เรื่องนี้ได้มีการตกลงตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่ให้มีการผ่านจุดดังกล่าว ซึ่งขณะที่เวลานี้จุดอื่นสามารถเดินทางไปยังทำเนียบฯได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางนี้
ยึดยืดเยื้อฝ่ายการเมืองต้องแก้ปัญหา
เมื่อถามว่า หากการชุมนุมยืดเยื้อ จะมีการปรับแผนดูแลอย่างไร พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า จากการดูท่าทีการชุมนุม ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้การเกิดความรุนแรงในสังคม ซึ่งหากจะมีการชุมนุมยืดเยื้อ ก็คงเป็นเรื่องของการอภิปรายกันไป ฝ่ายการเมืองก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา เชื่อว่าสังคมมีความแตกต่างเรื่องความคิดได้ แต่สังคมก็ไม่แตกแยกซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างชาติมองสังคมไทย ด้วยความมึนงง เหมือนกับที่เคยเป็นมา ซึ่งอาจเป็นรอยต่อสำคัญในการสมานฉันท์ของคนที่มีความคิดที่แตกต่างกันได้ เป็นการจุดประกายความหวังให้เกิดความสมานฉันท์ในสังคมไทย
ไม่ดำเนินคดีประชาชนที่ฝ่าแนวกั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ฝ่าแนวกั้นหรือไม่ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ส่วนกรณีที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องดูเป็นกรณีไปว่าเป็นเรื่องของเจตนา หรือเป็นแค่ผลักดัน และมีการล้ม ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้มีการบันทึกภาพไว้แล้ว หลังจากนี้ก็ต้องมาพิจารณาดูกันอีกครั้งว่า มีการกระทำที่เข้าข่ายความผิด หรือมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีมากน้อยแค่ไหน อย่างไร
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เป็นการชุมนุมทางการเมืองซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่หากมีการแจ้งความดำเนินคดี พนักงานสอบสวนก็จะต้องรอบรวมพยานหลักฐานและพิจารณาว่าเข้าองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายมากน้อยแค่ไหน
สำหรับมาตรการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณทำเนียบ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ตำรวจไม่ประมาท ขณะนี้กำลังเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งอยู่ในกองทัพภาคที่ 1 เตรียมพร้อมที่จะออกมาดูแลพื้นที่รอบนอกทั้งหมด รวมถึงป้องกันการบุกรุกเข้าไปในสถานที่ราชการและรับมือกับกลุ่มมือที่สาม ซึ่งขั้นตอนการปฏิบัติทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้
หวั่นมือที่สามสวมรอยก่อเหตุ
พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวระหว่างการตรวจการปฎิบัติหน้าที่ของกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในทำเนียบรัฐบาลว่า ขณะนี้สิ่งที่เป็นห่วงคือ เกรงว่าจะมีมือที่สามเข้ามาก่อสถานการณ์ความรุนแรง แต่เท่าที่รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองว่า สถานการณ์เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง
อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจจะมีการเจรจากับกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ เพื่อขอให้เปิดเส้นทางให้กับคณะรัฐมนตรีได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ภายในทำเนียบรัฐบาลในวันปกติ และขอยืนยันว่าจะไม่มีการสลายการชุมนุมอย่างแน่นอน
ขณะที่นางสมถวิล วงษ์สุวรรณ ภริยาพล.ต.อ.พัชวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.และนางวาสนา ขวัญเมือง ภริยาพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.ได้นำอาหารพร้อมเครื่องดื่มมาเลี้ยงกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 21.00 น.ได้มีการเรียกกองกำลังตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ประมาณ 150 นาย เตรียมความพร้อม ซึ่งกองกำลังดังกล่าวเป็นหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่ในการปราบจลาจล โดยกองกำลังเหล่านี้จะผูกผ้าพันคอสีม่วง อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า กองกำลังที่ผูกผ้าพันคอสีม่วง จะทำหน้าที่ในการใช้แก๊สน้ำตาในการสลายม็อบ
NBT บิดเบือนข่าวพันธมิตรฯ
วานนี้ (20 มิ.ย.) ข่าวภาคค่ำทางสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ได้มีการประมวลบรรยากาศ กลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวนไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวที่รายงานข่าวได้กล่าวย้ำว่า การรายงานข่าวของ เอ็นบีที จะทำไปอย่างเป็นกลาง โดยบรรยายตามภาพที่เห็นไปตามปกติ ไม่ได้มีการบิดเบือนข้อมูล
แต่หลังจากการรายงานบรรยากาศสด กลับมายังห้องส่งข่าว ข่าวที่ผู้ประกาศข่าวรายงานเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กลับเป็นการนำเสนอในด้านลบ และพยายามโน้มน้าวให้ผู้ชมเชื่อว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นเรื่องเสื่อมเสียต่อประเทศชาติ โดยเริ่มสกู๊ปข่าวที่ระบุว่า จากการที่ เอ็นบีที ได้ไปทำการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของประชาชน ที่อยู่บริเวณโดยรอบ การชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ โดยคำให้สัมภาษณ์ที่นำมาออกอากาศ ต่างระบุว่า ต้องการให้การชุมนุมยุติโดยเร็ว เพราะทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ประชาชนได้รับผลกระทบในวงกว้าง ไม่ต้องการให้พันธมิตรฯ เคลื่อนย้ายมาชุมนุมที่หน้าทำเนียบฯ เพราะแค่อยู่ที่สะพานมัฆวาน ประชาชนก็ได้รับความเดือดร้อนมากพอแล้ว
นอกจากนั้น ยังรายงานต่อไปว่า การบุกไปทำเนียบรัฐบาล ในครั้งนี้ นอกจากสื่อทำข่าวนำเสนอภายในประเทศแล้ว สื่อต่างชาติทั่วโลกยังนำออกไปเผยแพร่ไปทั่วโลกโดยพาดหัวข่าวใกล้เคียงกันว่า กลุ่มผู้ชุมนุมบุกทำเนียบรัฐบาล กดดันในให้รัฐบาลลาออก แต่โชคดีไม่เกิดเหตุความรุนแรงขึ้น เนื่องจากตำรวจถูกสั่งไว้ว่า ไม่ให้ใช้ความรุนแรง
ตามด้วยรายงานข่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก เริ่มตั้งแต่นำคำให้สัมภาษณ์ของ นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย ที่วิงวอนกลุ่มพันธมิตรฯว่า ไม่อยากให้ชุมนุม เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจของชาติแย่ลงไปอีก ซึ่งโดยส่วนตัว นายสันติ พอใจกับการทำงานของรัฐบาลในเรื่องเศรษฐกิจ และชี้แจงว่า การที่เศรษฐกิจในประเทศไทยตกต่ำนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทั่วโลกก็เผชิญกับสภาวะเดียวกับประเทศไทยเช่นกัน
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ในด้านการท่องเที่ยว ก็พบว่า นักท่องเที่ยวลดลงมาก ตั้งแต่พันธมิตรฯชุมนุม อีกทั้งด้านของตลาดหลักทรัพย์นั้น นักลงทุนต่างประเทศ ต่างชะลอการลงทุนเนื่องจากกลัวสภาวะการเมืองที่ไม่ชัดเจน และอ้างนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ที่ระบุว่า ตั้งแต่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ทำให้ดัชนีปรับลงกว่า 140 จุดแล้ว ซึ่งถือว่าปรับตัวลงต่ำกว่าทุกประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติต่างพากันย้ายไปลงทุนที่ประเทศอื่นเป็นจำนวนมาก ถึงแม้วันนี้หุ้นจะปิดบวกที่ 20.05 จุด แต่ก็เป็นเพราะโบรกเกอร์ในตลาดหุ้น ทำงานเป็นอย่างดี สนับสนุนให้มีการซื้อขายในราคาถูก จึงทำให้สภาวการณ์ตลาดหุ้นในวันนี้ปิดบวกเป็นที่น่าพอใจ
ปิดท้ายด้วยการนำเสนอ รายงานพิเศษ "ย้อนรอยพันธมิตรฯ ก่อนการแตกหัก" ซึ่งรายงานดังกล่าวระบุว่า เหตุการชุมนุมของพันธมิตรฯ เริ่มก่อตัวขึ้นจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาถึงประเทศไทย แล้วก็เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆโดยใช้ข้ออ้างว่าไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลประกาศจะแก้ไข รธน. และ นายจักรภพ เพ็ญแข รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพติดตัว แต่เมื่อรัฐบาลประกาศเลิกแก้ไข รธน. และ นายจักรภพ ลาออก พันธมิตรฯ ก็ไม่หยุดยั้ง และพยายามสร้างเงื่อนไขมากขึ้นจนถึงขั้นขับไล่รัฐบาล
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งอ้างตัวว่าจะเป็นสื่อสาธารณะ เสนอข่าวอย่างเป็นกลาง เคยประกาศตัวแข่งขันการเป็นทีวีเพื่อประชาชนกับ ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ แต่การรายงานข่าวของเอ็นบีที เมื่อวานนี้ กลับมีแต่เพียงด้านลบเท่านั้น ไม่มีการนำเสนอในด้านของแบบอย่างที่ดีในเรื่องของการเมืองภาคประชาชนที่ชุมนุมโดยสงบไม่ก่อเหตุการณ์รุนแรง หรือแม้แต่เรื่องดัชนีหุ้นเมื่อวานนี้ ที่ปรับขึ้นกว่า 20.05 จุด น่าจะเป็นการคาดได้ว่า คาดนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลปัญหาการเมือง หลังผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวนมายังทำเนียบรัฐบาลอย่างสงบ และไม่มีเหตุปะทะรุนแรง แต่เอ็นบีที กลับวิเคราะห์ว่า การที่หุ้นปิดบวกในวันนี้เป็นเพราะฝีมือของโบรกเกอร์
ยึดทำเนียบชัยชนะของประชาชน
เวลา 15.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. และรองโฆษกตร.แถลงสรุปการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ ไปยังทำเนียบรัฐบาลว่า กลุ่มผู้ชุมนุมเบื้องต้นที่ได้ประเมินในขณะนั้นมีประมาณ 25,000 คน สามารถฝ่าแนวสกัดกั้นของตำรวจผ่านไปได้ ขณะนี้เหลือเพียงจุดสกัดกั้นที่สะพานมัฆวานฯ เพียงจุดเดียว โดยตำรวจกำลังเจรจาให้กลุ่มผู้ชุมนุมใช้เส้นทางอื่นในการเดินทางไปสมทบ กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณถนนพิษณุโลก หน้าทำเนียบรัฐบาล
วันที่ 20 มิถุนายน 2551 นับเป็นวันประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของชาติไทย เมื่อประชาชนจากทุกภูมิภาคของประเทศ หลั่งไหลเข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ประกาศเจตนารมย์ ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด ขายชาติ โดยยึดแนวทางสันติ อหิงสา เอาธรรมนำหน้า โดยไม่เสียเลือดเนื้อ หลังจากที่มีการปักหลักพักค้าง ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอกมาเป็นเวลา 27 วัน ซึ่งข่าวการชุมนุมขับไล่รัฐบาลครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ มีการเผยแพร่ข่าวไปทั่วโลก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าวานนี้ ก่อนการเคลื่อนขบวนบุกทำเนียบรัฐบาล ประชาชนที่ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เดินทางจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทะยอยเข้าสมทบกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการปิดการจราจรบนถนนหลายสายโดยรอบบริเวณทำเนียบรัฐบาล ซึ่งวิธีการปิดถนนของตำรวจนอกจากจะใช้แผงเหล็กกั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนรักษาการ แล้ว ยังได้นำรถบรรทุกผู้ต้องหา ไปจอดขวางถนนไว้ และบางจุดยังมีการเตรียมรถดับเพลิง และรถฉายสปอตไลต์ เตรียมไว้ด้วย
ส่วนตำรวจหลายพันนาย ก็มีการเตรียมอุปกรณ์รับมือครบเครื่อง ทั้งกระบอง สนับแขน-เข่า โล่ หมวกนิรภัย แก๊สน้ำตา แต่ไม่มีการพกอาวุธหนักแต่อย่างใด
"จำลอง"แจงกติกายึดทำเนียบฯ
สำหรับบนเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อเวลา 07.30 น.วานนี้ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นกล่าวกับผู้มาร่วมชุมนุมถึงขั้นตอนและการเตรียมพร้อมในการเคลื่นขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล ว่า ในการเดินไปนั้น ถ้าโดนตำรวจกั้น ให้ถ่ายรูป และจดชื้อ ยศ เอาไว้ เพราะเราสามารถดำเนินคดีกับเขาได้ และถ้าตำรวจกันไม่ให้เราเข้าไป เราก็ต้องพยายามหาทางเข้าไปให้ได้ อย่าได้ย่อท้อ
พล.ต.จำลอง ย้ำว่า การเคลื่อนทัพของพันธมิตรฯ จะเป็นไปอย่างอหิงสา และสงบสุข จะไม่ใช้คำพูดหยาบคายกับตำรวจ ไม่มีอาวุธ ไม่มีท่อนไม้ ท่อนเหล็ก หรือแม้กระทั่งหนังสติ๊ก ถ้าใครที่เข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วมีหนังสติ๊ก หรือไม้ ต้องถือว่าไม่ใช่พวกพันธมิตรฯ แต่เป็นพวกนรกป่วนกรุง
กองทัพธรรมนำทัพฝ่าตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากแกนนำพันธมิตรฯ ผลัดกันกล่าวบนเวทียืนยันถึงเจตนารมย์การเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด เพื่อธำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยลักษณะการพูดเป็นการปลุกจิตใจให้มีความมุ่งมั่น ฮึกเหิม โดยมีการมอบหมายให้สุภาพสตรีจากกองทัพธรรม ผูกผ้าสีส้มที่เอวเพื่อเป็นทัพหน้าในการเคลื่อนขบวน
ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นรถบรรทุกเครื่องขยายเสียง นำผู้ชุมนุมประมาณ 500 คน ที่มีกองทัพธรรมเป็นทัพหน้าเดินออกจากเวทีใหญ่แยกสะพานมัฆวานฯ มุ่งหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เส้นทางเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ด้านหน้าวัดโสมนัสฯ ฝ่าด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 100 นาย ซึ่งมีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเปิดทางให้ผ่านไปได้ แต่ก็ต้องหยุดขบวนที่บริเวณ สี่แยกนางเลิ้ง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งแนวปิดกั้น และนำรถบรรทุกผู้ต้องหามาปิดถนนอย่างแน่นหนา
ต่อมาก็มีกลุ่มของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ นำชุดผู้ชุมนุมอีกชุดเคลื่อนตามมาสมทบ กับชุดของ พล.ต.จำลอง จนทำให้มีผู้ชุมนุมที่บริเวณแยกยางเลิ้ง นับหมื่นคน ซึ่งแกนนำได้ผลัดกันขึ้นกล่าวบนรถบรรทุก 6 ล้อ ที่ใช้เป็นเวทีเคลื่อนที่ และเตรียมตั้งเวทีใหญ่ ที่บริเวณแยกนางเลิ้ง
โดยช่วงนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวชี้แจงกับผู้ชุมนุมว่า อย่าไปโกรธตำรวจ เพราะต้องทำหน้าที่ตามคำสั่งของนักการเมืองสถุล พร้อมให้คำมั่นกลุ่มผู้ชุมนุมว่า ไม่เกินเที่ยงคืน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ดร.กำมะลอ ต้องลี้ภัยแน่นอน และเชื่อว่าจะมีประชาชนมาร่วมขั้บไล่รัฐบาลหุ่นเชิดไม่ต่ำกว่า 5 แสนคนแน่นอน
บุกทำเนียบฯ ทุกทิศทาง
ขณะเดียวกันแกนนำพันธมิตรฯ ที่เหลือก็ได้แยกย้ายกันไปนำกลุ่มประชาชน รุกเข้าทำเนียบฯ ในหลายทิศทาง โดยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายพิภพ ธงไชย นำผู้ชุมนุมอีกกลุ่ม เคลื่อนขบวนออกมาทางวัดมกุฏกษัตริยาราม ฝ่าแนวกั้นของตำรวจ ออกมาถึงแยกสวนมิสกวันได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามแม้ในช่วงดังกล่าวจะไม่มีแกนนำพันธมิตรฯ อยู่ที่เวทีใหญ่ที่สะพานมัฆวานฯ แต่ก็ยังคงมีประชาชนกว่า 2 พันคน รักษาพื้นที่เอาไว้ท่ามกลางการตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ต่อมาเวลา 13.10 น. กลุ่มพันธมิตรฯภายใต้การนำของ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ก็นำประชาชน ฝ่าด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผ่านทางแยก วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ผ่านถนนนครปฐม มุ่งสู่ทำเนียบฯ และเป็นกลุ่มแรกที่บุกทะลวงเข้ามาจ่ออยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล แต่ก็ถูกสกัดอยู่ด้านหน้าสำนักงาน ป.ป.ช. เนื่องจากตำรวจมีรถห้องขังเคลื่อนที่ 3 คันจอดขวาง โดยมีตำรวจนครบาล- ตชด.ทั้งชายและหญิง ตรึงกำลังไม่ให้ผ่านเข้ามาที่ถนนพิษณุโลก
แต่ในที่สุด กำแพงตำรวจก็ไม่สามารถต้านคลื่นประชาชนที่มาหนุนเสริม ต่างก็ช่วยกันผลักดันแผงเหล็ก และฝ่าแนวกั้นของตำรวจ เข้ามายึดพื้นที่บนถนนพิษณุโลก ประชิดกำแพงทำเนียบรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จ
ช่วงนี้ คลื่นมหาชนหลายแสนคน ทั้งจากที่อยู๋ในกรุงเทพฯ และจากภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ก็ได้หลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสาย ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลไว้ทุกด้าน แต่ไม่ได้บุกเข้าไปภายใน โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโนง 20 นาทีเท่านั้น ในการเคลื่อนขบวนมาจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ กระทั่งปิดล้อมทำเนียบฯได้เบ็ดเสร็จ
พันธมิตรฯ ประกาศชัยชนะ
ต่อมาเวลา 17.30 น. นายสุริยะใส กะตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของพันธมิตรฯ และประชาชน จากการใช้ยุทธการสงคราม 9 ทัพ โดยสามารถนำแนวทางสันติวิธีมาใช้ ภายใต้ประชาชนนับแสน โดยไม่มีเหตุการณ์นองเลือดซ้ำรอยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เหมือนที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าปฏิบัติการครั้งนี้ จะเป็นชนวนในการนองเลือด
ส่วนความกังวลต่อการกระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น คิดว่าไม่น่าสงผลกระทบ เนื่องจากเราไม่ได้ปิดประตูทำเนียบทุกประตู ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังสามารถเข้าออกได้ตามปกติ
"การออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่มีเหตุการณ์ทุบตี เพราะเรายึกหลักในการเจรจา เดินเท้าเท่าที่เดินได้ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมเปิดทางให้ ต้องขอขอบคุณที่ให้พวกเราผ่าน ตรงนี้สื่อเป็นประจักษ์พยายานได้ว่าเป็นความสำเร็จของการต่อสู้แบบอหิงสา"นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ชัยชนะที่เรายึดทำเนียบรัฐบาลนั้นเป็นเป้าหมายที่ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลลาอออก โดยมีสาเหตุมาจากความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และพยายามเปิดทางให้ระบอบทักษิณกลับมา อีกทั้งยังมีเจตนาล้มล้างรัฐธรรมนูญ และมีพฤติกรรมเปิดทางให้คนในเครือข่าย คุกคาม จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และล่าสุดที่ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารให้กับกัมพูชา ซึ่งเรื่องดังกล่าวล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากออกมาร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวกับพันธมิตร
"จำลอง"เลี้ยงข้าวฉลองชัยชนะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.00 น. ณ จุดชุมนุมพันธมิตรฯ ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล ทีมงานได้ทำการเร่งสร้างเวทีชั่วคราว โดยระหว่างนั้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ถือโอกาสแนะนำร้านอาหารอร่อยๆ ย่านนางเลิ้งให้ผู้ชุมนุมไปหารับประทาน เพราะย่านนางเลิ้งถือเป็นตลาดเก่าแก่ ที่มีอาหารอร่อยๆหลายร้าน และมีบางร้านเปิดให้รับประทานฟรี นอกจากนี้ยังได้มีการช่วยกันปรบมือขอบคุณชาวนางเลิ้ง ที่เสียสละให้มาชุมนุม และสัญญาว่า รัฐบาลจากพรรคพลังประชาชนจะต้องออกไปทั้งหมด และนอกจากยังมีการเปิดเพลง"หน้าเหลี่ยม" ซึ่งสร้างความครึกครื้น ในการชุมนุมอย่างมาก
"สนธิ" ประกาศฟ้อง ครม.ทั้งคณะ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีที่หน้าสนามม้านางเลิ้ง ประกาศว่า ในวันอังคารที่ 24 มิ.ย.นี้ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ให้ไต่สวนฉุกเฉินไม่ให้ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ลงนามในแถลงการณ์ร่วม ยอมรับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และเชื่อว่าฟ้ามีตาแน่นอน
นายสนธิ ย้ำว่า กระบวนการทางกฎหมายที่รัฐบาลดำเนินการเอาไว้ ยังไม่เรียบร้อย เพราะยังต้องผ่านกระบวนการอีกหลายขั้นตอน ดังนั้นจึงยังไม่มีผล
"เวลานี้เรายึดอำนาจรัฐ ด้วยการเอาธรรมนำหน้า โดยไม่เสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว เวลานี้คนไทยจะไม่ให้นักการเมืองชั่วมาหลอกใช้คำพูดถ่อย ว่าผมมาจากการเลือกตั้งได้อีกต่อไป"
นายสนธิ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาเคยพูดว่าเมื่อเขมรยื่นจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ทำไมเราจึงไม่ยื่นควบคู่เข้าไปด้วย ไม่รู้ว่าจะตายกันหรือไง และวันนี้มีการพิสูจน์ชัดแล้วว่า มีการทำข้อตกลงลับบางอย่าง
"ที่ผ่านมาผมเคยพูดเรื่องการฮุบเกาะกูด แล้วมีนักวิชาการหลายคนหัวเราะหาว่าผมเล่านิทานโกหกให้ฟัง อยากถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเปลี่ยนนิสัยโกหกหรือไม่ ยังพูดอย่างทำอย่างเหมือนเดิม"
นายสนธิ ยังได้ขอประชามติพี่น้องประชาชนที่มาชุมนุม โดยเสนอให้ดำเนินคดีกับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ในข้อหาขายชาติ
"ไม่ใช่เฉพาะนายสมัคร กับนายนพดล ต้องติดคุกเท่านั้น ครม.ทั้ง 35 คน ต้องติดคุกด้วย ถ้าเห็นด้วยก็ให้โหวตยกมือ" นายสนธิ กล่าว พร้อมยกตัวอย่างแม้แต่ถ้าจะขายที่ดินสักแปลง ยังต้องถามพ่อแม่ แต่นี่เป็นผลประโยชน์ด้านอธิปไตยเป็นแผ่นของชาติ จะไม่ถามประชาชนสักคำได้อย่างไร
นายสนธิ ย้ำอีกว่า พรรคการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขายชาติในครั้งนี้ ให้จดจำพรรคการเมืองต่อไปนี้ นอกจากพรรคพลังประชาชนแล้ว ยังมีพรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน มัชฌิมาธิปไตย รวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคประชาราช
"ให้จำชื่อ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายเสนาะ เทียนทอง นายสุวิทย์ คุณกิตติ นายสมศักดิ์ และนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ให้จดจำชื่อหัวหน้าพรรค และพรรคเหล่านี้เอาไว้ อย่าให้คนพวกนี้ได้เกิดทางการเมืองอีกต่อไป" นายสนธิ กล่าว
นายกฯ-รมต.ไม่มีใครเข้าทำเนียบฯ
สำหรับบรรยากาศภายในทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่ช่วงเช้า บรรดาข้าราชการส่วนใหญ่ไม่ได้เดินทางมาทำงาน ส่วนนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไปเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซี่ยน ครั้งที่ 14 ที่กระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นเดินทางไปยังอยู่ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2551 ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อเยี่ยมชมอาคารสิ่งก่อสร้างสำนักงานต่างๆ โดยไม่ได้เดินทางเข้าทำเนียบฯ แต่อย่างใด
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกภารกิจไปร่วมพิธีเปิดโครงการโรงเรียนนักเรียนกินไข่ ของสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้ส่งออกไข่ไก่ ที่จ.ฉะเชิงเทราด้วย
"หมัก"ถกเครียด ผบ.ทบ.-ผบ.ทบ.
เมื่อเวลา 15.30 น. ที่สโมสรทหารบก นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ได้เรียกพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เดินทางมาร่วมประชุมหารือที่ห้องวีไอพี 3 โดยทั้งหมดได้ร่วมกันติดตามสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ทางสถานีโทรทัศน์ และได้มีการประเมินสถานการณ์ร่วมกันกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะหลบผู้สื่อข่าวเดินทางกลับไป
ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เดินออกจากห้องรับรองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวในทุกคำถาม โดยเฉพาะเรื่องการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ แสดงอาการหงุดหงิด ก่อนที่จะแหวกวงล้อมผู้สื่อข่าวขึ้นรถประจำตำแหน่ง เพื่อเดินทางกลับบ้านพักรับรองภายในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์
ส่วน พล.ท.ประยุทธ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวภายหลังการหารือเช่นกัน เพียงกล่าวสั้นๆว่า นายกฯได้เชิญมาช่วยประเมินสถานการณ์ของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ล้อมทำเนียบฯ ซึ่งยังไม่มีอะไร ขอให้สบายใจได้
เมื่อถามว่า สถานการณ์มีความตึงเครียดหรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้เครียดอะไร ให้ดูใบหน้าตนยังยิ้มได้อยู่ พร้อมกับโบกมือให้สื่อมวลชนก่อนจะขึ้นรถออกไปสมทบกับ พล.อ.อนุพงษ์ ที่บ้านพักรับรองภายในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ โดยไม่ให้ขบวนรถผู้สื่อข่าวติดตามไปทำข่าวแต่อย่างใด
"หมัก"ย้ายไปนั่งทำงานที่กลาโหม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการหารือ นายสมัคร ได้ออกจากห้องประชุม ขึ้นรถยี่ห้อง เชฟโรเลต ชพ-3399 โดยนั่งคู่ไปกับ ผบ.ทบ. เมื่อเห็นสื่อทำท่าจะติดตาม นายสมัครจึงได้สั่งคนขับรถวนบริเวณสโมสรกองทัพบก จากนั้นก็ได้ให้ทหารสกัดขบวนรถสื่อมวลชนไม่ให้ติดตาม แต่ก็ไม่สำเร็จ รถของนายสมัคร ได้ใช้ถนนเส้นวิภาวดีเดินทางไปยังกองทัพอากาศ ในเวลา 17.00 น.โดยสั่งสารวัตรทหารอากาศ กันรถผู้สื่อข่าวไม่ให้ตามเข้าไป กลุ่มผู้สื่อข่าวรอประมาณ 15 นาที ก็ยังไม่ออกมา จึงได้ไปดักรอที่บ้านพัก นวมินทร์ 81 แทน แต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวของนายสมัคร แต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.00 น. นายสมัคร ได้ไปรับประทานอาหารเย็น และหารือกับ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และพล.ท. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ หลังทำเนียบรัฐบาลถูกปิดล้อม ซึ่งนายสมัคร พยายามหลบเลี่ยงไม่ให้สื่อมวลชนตามไปทำข่าว ซึ่งภายหลังการหารือ นายสมัคร ได้กลับเข้าบ้านพักในเวลา 20.00 น.
รายงานข่าวจากกองทัพบกแจ้งว่า นายสมัคร สั่งไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มพันธมิตรฯ และจะปล่อยให้ผู้ชุมนุมล้อมทำเนียบฯ โดยจะไม่ใช้กำลังตำรวจหรือทหารสลายการชุมนุม เนื่องจากตำรวจน่าจะควบคุมได้ ยกเว้นแต่หากมีการปืนเข้าไปในทำเนียบฯ ก็จะจับเป็นรายบุคคลที่ปืนเข้าไปเท่านั้น
ทั้งนี้ ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากกลุ่มผู้ชุมนุมจะปักหลักชุมนุมยืดยาว ก็จะปล่อยให้ชุมนุมต่อไป เพียงแต่จะไม่อำนวยความสะดวกในเรื่องรถสุขาให้ หากทนได้ก็ทนไป ซึ่งหลังจากนี้นายสมัคร จะย้ายไปนั่งทำงานที่กระทรวงกลาโหม แทนทำเนียบรัฐบาล ส่วนการประชุม ครม.ก็จะใช้สถานที่ประชุมที่อื่นแทน
ผบ.ทบ.สั่งทหารอยู่ในที่ตั้ง
ก่อนหน้านั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.00 น. พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 เดินทางเข้ามาร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่กองบัญชาการกองทัพบก และเฝ้าประเมินและติดตามสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่ภายในกองบัญชาการกองทัพบก จนกระทั่ง 14.20 น.หลัง กลุ่มพันธมิตรฯ ได้บุกยึดทำเนียบรัฐบาลได้แล้ว นายสมัคร ได้เรียกให้ ผบ.ทบ. และ แม่ทัพภาคที่ 1 ไปพบที่สโมสร ทบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อนุพงษ์ ได้มีคำสั่งกำชับให้หน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก ผ่านทางวิทยุสื่อสารของทหาร และแจกจ่ายเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่า ขอให้ทหารวางตัวเป็นกลางไม่ยุ่งการเมือง และขอให้กำลังอยู่ในหน่วยที่ตั้งจนกว่าจะมีคำสั่งให้ทหารออกมาปฏิบัติภารกิจ แม้ว่าสถานการณ์ขณะนี้จะมีสิ่งรุมเร้ามากมาย แต่ยังเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
"เป็ดเหลิม"ลั่นรอมา 30 ปี "กูไม่ลาออก"
ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร(ไทย-ญี่ปุ่น) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการเป็นประธานเปิดงาน "รวมพลังชุมชน คนกรุงเทพฯ เอาชนะยาเสพติด" ถึงการบุกทำเนียบฯ ของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยนำเรื่องเขาพระวิหาร มาเป็นเงื่อนไข ว่า แผนที่ที่มีการพูดถึงขณะนี้ รัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำแผนที่ แต่มีนายทหารยศพลโท ของกรมแผนที่ทหารเป็นผู้จัดทำขึ้นมา ซึ่งไทยทำถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีอะไรอะไรเสียหายเลย และที่สำคัญรัฐบาลชุดนี้ยังไม่ได้เซ็นอนุมัติโครงการใดๆ เลย แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็เอามาโจมตีแล้ว และบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่จงรักภักดี
"หากถามถึงความจงรักภักดี นายสนธิ เคยได้รับระราชทานปริญญาบัตร จากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสักครั้งหรือไม่ ผมรับมาแล้ว 3 ครั้ง และได้สายสะพาย อยากถามว่าที่นายสนธิ บอกว่า ผมไม่จงรักภักดี แล้วนายสนธิจงรักภักดีกว่าผมตรงไหน และขอยืนยันว่า เรื่องที่จะให้ผมลาออกคงเป็นไปไม่ได้ เพราะผมรอมาตั้ง 30 ปี กว่าจะได้เป็น มท. 1 และเพิ่งจะได้เป็น ไอ้ห่า จะให้ลาออก กูไม่ไปหรอก" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว และว่า ถ้าตนรับผิดชอบทำเนียบรัฐบาล จะปล่อยให้พวกม็อบเข้ามา อยากบุกก็บุกเข้ามาดูสิว่า เข้ามาแล้วจะทำอะไร แต่ตนไม่ได้รับผิดชอบทำเนียบฯ แต่นายสมัคร เป็นคนรับผิดชอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวโจมตีพันธมิตรฯ อย่างดุเดือดนั้น ประชาชนที่เข้ารับฟัง ต่างทะยอยเดินออกจากห้องประชุมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่พอใจที่ ปราศรัยโจมตีกลุ่มพันธมิตรฯ และมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง และพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด
ยึดทำเนียบฯ ชัยชนะของประชาชน
เวลา 15.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. และรองโฆษกตร.แถลงสรุปการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ ไปยังทำเนียบรัฐบาลว่า กลุ่มผู้ชุมนุมเบื้องต้นที่ได้ประเมินในขณะนั้นมีประมาณ 25,000 คน สามารถฝ่าแนวสกัดกั้นของตำรวจผ่านไปได้ ขณะนี้เหลือเพียงจุดสกัดกั้นที่สะพานมัฆวานฯ เพียงจุดเดียว โดยตำรวจกำลังเจรจาให้กลุ่มผู้ชุมนุมใช้เส้นทางอื่นในการเดินทางไปสมทบ กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณถนนพิษณุโลก หน้าทำเนียบรัฐบาล
"พัชรวาท"พอใจการปฎิบัติงาน
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวต่อว่า จากการประมวลเหตุการณ์ จะเห็นได้ว่าทั้งตำรวจและผู้ชุมนุมไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง อย่างเช่นกลุ่มผู้ชุมนุมที่แยกนางเลิ้ง เมื่อมาถึงก็ได้นั่งลงรอดูเหตุการณ์ และเมื่อเห็นว่าตำรวจไม่ใช้ความรุนแรง กลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ใช้ความรุนแรงด้วย ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ลุกลามบานปลาย และผ่านไปด้วยดี ซึ่งพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ก็รู้สึกพอใจ เนื่องจากตำรวจได้ทำตามคำมั่นที่ให้ไว้ว่าจะไม่ทำร้ายประชาชน
"เรายืนยันว่า สามารถนำความคิดและนโยบาย ส่งผ่านถึงกำลังพลทุกระดับ และทำให้ตำรวจของเราเป็นตำรวจของประชาชนได้ โดยไม่เอาเหตุผลทางการเมืองมาเกี่ยวพันกับเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า การไม่เกิดเหตุรุนแรงขึ้นในบ้านเมือง ถือเป็นชัยชนะของสังคมที่จะสามารถสร้างความประนีประนอมระหว่างกันได้ ขณะที่คนเรือนหมื่นผ่านแนวสกัดกั้นมา แต่กลับไม่มีการปะทะกันอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน ตำรวจยืนหยัดทำตามหน้าที่ ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาในกรอบที่จะไม่ใช้กำลังที่จะปราบปรามและสลายการชุมนุม ซึ่งหากเราใช้ความรุนแรงตอบโต้กลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ แทนที่จะสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จด้วยดีในทางการเมือง กลับจะเป็นการสร้างปัญหาทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง ซึ่งอาจจะเปิดช่องให้มือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์ได้
ตำรวจบาดเจ็บเล็กน้อย 4 นาย
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 4 ราย จากการกระทบกระทั่งกันที่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ ประกอบด้วย สิบตำรวจตรีหญิง พรพิรุณ โตวังจร สิบตำรวจตรีหญิงพจนา แก้วเกตุศรี ซึ่งทั้ง 2 เป็น ตชด.ได้รับบาดเจ็บแขนหัก สิบตำรวจตรี คมสัน ศรีคำ ตำรวจ สน.บางนา ได้รับบาดเจ็บเล็บหลุดและ สิบตำรวจตรี ศราวุธ เลิศธร ตำรวจ สน.ลุมพินี ได้รับบาดเจ็บที่นิ้วมือ ซึ่งหลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.ได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นการฝ่าด่าน และใช้มือดัน ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่ตำรวจไม่ยอมให้กลุ่มผู้ชุมนุมผ่านจุดสกัดที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า เรื่องนี้ได้มีการตกลงตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่ให้มีการผ่านจุดดังกล่าว ซึ่งขณะที่เวลานี้จุดอื่นสามารถเดินทางไปยังทำเนียบฯได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางนี้
ยึดยืดเยื้อฝ่ายการเมืองต้องแก้ปัญหา
เมื่อถามว่า หากการชุมนุมยืดเยื้อ จะมีการปรับแผนดูแลอย่างไร พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า จากการดูท่าทีการชุมนุม ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้การเกิดความรุนแรงในสังคม ซึ่งหากจะมีการชุมนุมยืดเยื้อ ก็คงเป็นเรื่องของการอภิปรายกันไป ฝ่ายการเมืองก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา เชื่อว่าสังคมมีความแตกต่างเรื่องความคิดได้ แต่สังคมก็ไม่แตกแยกซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างชาติมองสังคมไทย ด้วยความมึนงง เหมือนกับที่เคยเป็นมา ซึ่งอาจเป็นรอยต่อสำคัญในการสมานฉันท์ของคนที่มีความคิดที่แตกต่างกันได้ เป็นการจุดประกายความหวังให้เกิดความสมานฉันท์ในสังคมไทย
ไม่ดำเนินคดีประชาชนที่ฝ่าแนวกั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ฝ่าแนวกั้นหรือไม่ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ส่วนกรณีที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องดูเป็นกรณีไปว่าเป็นเรื่องของเจตนา หรือเป็นแค่ผลักดัน และมีการล้ม ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้มีการบันทึกภาพไว้แล้ว หลังจากนี้ก็ต้องมาพิจารณาดูกันอีกครั้งว่า มีการกระทำที่เข้าข่ายความผิด หรือมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีมากน้อยแค่ไหน อย่างไร
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เป็นการชุมนุมทางการเมืองซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่หากมีการแจ้งความดำเนินคดี พนักงานสอบสวนก็จะต้องรอบรวมพยานหลักฐานและพิจารณาว่าเข้าองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายมากน้อยแค่ไหน
สำหรับมาตรการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณทำเนียบ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ตำรวจไม่ประมาท ขณะนี้กำลังเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งอยู่ในกองทัพภาคที่ 1 เตรียมพร้อมที่จะออกมาดูแลพื้นที่รอบนอกทั้งหมด รวมถึงป้องกันการบุกรุกเข้าไปในสถานที่ราชการและรับมือกับกลุ่มมือที่สาม ซึ่งขั้นตอนการปฏิบัติทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้
หวั่นมือที่สามสวมรอยก่อเหตุ
พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวระหว่างการตรวจการปฎิบัติหน้าที่ของกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในทำเนียบรัฐบาลว่า ขณะนี้สิ่งที่เป็นห่วงคือ เกรงว่าจะมีมือที่สามเข้ามาก่อสถานการณ์ความรุนแรง แต่เท่าที่รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองว่า สถานการณ์เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง
อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจจะมีการเจรจากับกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ เพื่อขอให้เปิดเส้นทางให้กับคณะรัฐมนตรีได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ภายในทำเนียบรัฐบาลในวันปกติ และขอยืนยันว่าจะไม่มีการสลายการชุมนุมอย่างแน่นอน
ขณะที่นางสมถวิล วงษ์สุวรรณ ภริยาพล.ต.อ.พัชวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.และนางวาสนา ขวัญเมือง ภริยาพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.ได้นำอาหารพร้อมเครื่องดื่มมาเลี้ยงกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 21.00 น.ได้มีการเรียกกองกำลังตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ประมาณ 150 นาย เตรียมความพร้อม ซึ่งกองกำลังดังกล่าวเป็นหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่ในการปราบจลาจล โดยกองกำลังเหล่านี้จะผูกผ้าพันคอสีม่วง อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า กองกำลังที่ผูกผ้าพันคอสีม่วง จะทำหน้าที่ในการใช้แก๊สน้ำตาในการสลายม็อบ
NBT บิดเบือนข่าวพันธมิตรฯ
วานนี้ (20 มิ.ย.) ข่าวภาคค่ำทางสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ได้มีการประมวลบรรยากาศ กลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวนไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวที่รายงานข่าวได้กล่าวย้ำว่า การรายงานข่าวของ เอ็นบีที จะทำไปอย่างเป็นกลาง โดยบรรยายตามภาพที่เห็นไปตามปกติ ไม่ได้มีการบิดเบือนข้อมูล
แต่หลังจากการรายงานบรรยากาศสด กลับมายังห้องส่งข่าว ข่าวที่ผู้ประกาศข่าวรายงานเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กลับเป็นการนำเสนอในด้านลบ และพยายามโน้มน้าวให้ผู้ชมเชื่อว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นเรื่องเสื่อมเสียต่อประเทศชาติ โดยเริ่มสกู๊ปข่าวที่ระบุว่า จากการที่ เอ็นบีที ได้ไปทำการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของประชาชน ที่อยู่บริเวณโดยรอบ การชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ โดยคำให้สัมภาษณ์ที่นำมาออกอากาศ ต่างระบุว่า ต้องการให้การชุมนุมยุติโดยเร็ว เพราะทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ประชาชนได้รับผลกระทบในวงกว้าง ไม่ต้องการให้พันธมิตรฯ เคลื่อนย้ายมาชุมนุมที่หน้าทำเนียบฯ เพราะแค่อยู่ที่สะพานมัฆวาน ประชาชนก็ได้รับความเดือดร้อนมากพอแล้ว
นอกจากนั้น ยังรายงานต่อไปว่า การบุกไปทำเนียบรัฐบาล ในครั้งนี้ นอกจากสื่อทำข่าวนำเสนอภายในประเทศแล้ว สื่อต่างชาติทั่วโลกยังนำออกไปเผยแพร่ไปทั่วโลกโดยพาดหัวข่าวใกล้เคียงกันว่า กลุ่มผู้ชุมนุมบุกทำเนียบรัฐบาล กดดันในให้รัฐบาลลาออก แต่โชคดีไม่เกิดเหตุความรุนแรงขึ้น เนื่องจากตำรวจถูกสั่งไว้ว่า ไม่ให้ใช้ความรุนแรง
ตามด้วยรายงานข่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก เริ่มตั้งแต่นำคำให้สัมภาษณ์ของ นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย ที่วิงวอนกลุ่มพันธมิตรฯว่า ไม่อยากให้ชุมนุม เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจของชาติแย่ลงไปอีก ซึ่งโดยส่วนตัว นายสันติ พอใจกับการทำงานของรัฐบาลในเรื่องเศรษฐกิจ และชี้แจงว่า การที่เศรษฐกิจในประเทศไทยตกต่ำนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทั่วโลกก็เผชิญกับสภาวะเดียวกับประเทศไทยเช่นกัน
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ในด้านการท่องเที่ยว ก็พบว่า นักท่องเที่ยวลดลงมาก ตั้งแต่พันธมิตรฯชุมนุม อีกทั้งด้านของตลาดหลักทรัพย์นั้น นักลงทุนต่างประเทศ ต่างชะลอการลงทุนเนื่องจากกลัวสภาวะการเมืองที่ไม่ชัดเจน และอ้างนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ที่ระบุว่า ตั้งแต่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ทำให้ดัชนีปรับลงกว่า 140 จุดแล้ว ซึ่งถือว่าปรับตัวลงต่ำกว่าทุกประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติต่างพากันย้ายไปลงทุนที่ประเทศอื่นเป็นจำนวนมาก ถึงแม้วันนี้หุ้นจะปิดบวกที่ 20.05 จุด แต่ก็เป็นเพราะโบรกเกอร์ในตลาดหุ้น ทำงานเป็นอย่างดี สนับสนุนให้มีการซื้อขายในราคาถูก จึงทำให้สภาวการณ์ตลาดหุ้นในวันนี้ปิดบวกเป็นที่น่าพอใจ
ปิดท้ายด้วยการนำเสนอ รายงานพิเศษ "ย้อนรอยพันธมิตรฯ ก่อนการแตกหัก" ซึ่งรายงานดังกล่าวระบุว่า เหตุการชุมนุมของพันธมิตรฯ เริ่มก่อตัวขึ้นจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาถึงประเทศไทย แล้วก็เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆโดยใช้ข้ออ้างว่าไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลประกาศจะแก้ไข รธน. และ นายจักรภพ เพ็ญแข รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพติดตัว แต่เมื่อรัฐบาลประกาศเลิกแก้ไข รธน. และ นายจักรภพ ลาออก พันธมิตรฯ ก็ไม่หยุดยั้ง และพยายามสร้างเงื่อนไขมากขึ้นจนถึงขั้นขับไล่รัฐบาล
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งอ้างตัวว่าจะเป็นสื่อสาธารณะ เสนอข่าวอย่างเป็นกลาง เคยประกาศตัวแข่งขันการเป็นทีวีเพื่อประชาชนกับ ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ แต่การรายงานข่าวของเอ็นบีที เมื่อวานนี้ กลับมีแต่เพียงด้านลบเท่านั้น ไม่มีการนำเสนอในด้านของแบบอย่างที่ดีในเรื่องของการเมืองภาคประชาชนที่ชุมนุมโดยสงบไม่ก่อเหตุการณ์รุนแรง หรือแม้แต่เรื่องดัชนีหุ้นเมื่อวานนี้ ที่ปรับขึ้นกว่า 20.05 จุด น่าจะเป็นการคาดได้ว่า คาดนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลปัญหาการเมือง หลังผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวนมายังทำเนียบรัฐบาลอย่างสงบ และไม่มีเหตุปะทะรุนแรง แต่เอ็นบีที กลับวิเคราะห์ว่า การที่หุ้นปิดบวกในวันนี้เป็นเพราะฝีมือของโบรกเกอร์
ยึดทำเนียบชัยชนะของประชาชน
เวลา 15.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. และรองโฆษกตร.แถลงสรุปการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ ไปยังทำเนียบรัฐบาลว่า กลุ่มผู้ชุมนุมเบื้องต้นที่ได้ประเมินในขณะนั้นมีประมาณ 25,000 คน สามารถฝ่าแนวสกัดกั้นของตำรวจผ่านไปได้ ขณะนี้เหลือเพียงจุดสกัดกั้นที่สะพานมัฆวานฯ เพียงจุดเดียว โดยตำรวจกำลังเจรจาให้กลุ่มผู้ชุมนุมใช้เส้นทางอื่นในการเดินทางไปสมทบ กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณถนนพิษณุโลก หน้าทำเนียบรัฐบาล