แอนเซลล์ ทุ่มงบปีนี้ 30 ล้านบาท เดินหน้าสร้างแบรนด์ถุงยางอนามัยไลฟ์สไตล์เต็มตัว หลังปลดแบรนด์เพลย์เชอร์เรียบร้อยแล้ว พร้อมลุยเพิ่มช่องทางจำหน่ายครอบคลุมจำนวนสาขาของรีเทลมากขึ้น หวังขยับเป็นที่สองแบบชัดเจน
นายประยุทธ บุญมาสุวราญ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท แอนเซลล์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัย "ไลฟ์สไตล์" เปิดเผยว่า ปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทฯจะเริ่มทำการสร้างแบรนด์ ไลฟ์สไตล์เป็นปีแรกอย่างจริงจัง หลังจากที่ได้เปิดตัวแบรนด์นี้มาประมาณ 2-3 ปีแต่ยังไม่ได้ทำตลาดเชิงรุกเท่าใด หลังจากที่ได้เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของชัวร์เท็กซ์และโรงงานของแบรนด์เพลย์เชอร์ซึ่งเป็นของคนไทยเมื่อช่วงเกือบ 8-9 ปีที่ผ่านมา ส่วนแบรนด์เพลย์เชอร์เดิมนั้น ได้ทยอยหยุดการทำตลาดและเลิกไปเมื่อปีที่แล้ว
โดยปีนี้วางงบตลาดไว้ประมาณ 30 ล้านบาท เน้นการทำตลาดเพื่อสร้างแบรนด์โดยเฉพาะ ทั้ง บีโลว์เดอะไลน์ อะโบฟเดอะไลน์ ด้วยแนวทางการสื่อสารการตลาดภายใต้แนวคิด"BEYOND EXPRESSION" เน้นการให้ความรู้ทางด้านสุขอนามัยของผลิตภัณฑ์และประโยชน์การใช้ถุงยางอนามัย เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอายุ 18-25 ปีเป็นหลัก
ส่วนด้านช่องทางกาจำหน่าย ปัจจุบันมีกระจายครอบคลุมทุกช่องทางแล้วทั้งโมเดิร์นเทรด เทรดดิชันนัลเทรด ร้านขายยา คอนวีเนียนสโตร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น ซึ่งช่องทางหลักคือ คอนวีเนียนสโตร์ สัดส่วนมากกว่า 50% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทฯวางครอบคลุมทุกแบรนด์เนมค้าปลีก รายใหญ่และทุกช่องทางแล้ว ก็จะพยายามที่จะกระจายเข้าไปในเครือข่ายของแต่ละโมเดิร์นเทรดให้ครอบคลุมจำนวนสาขามากยิ่งขึ้น โดยมีบริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ เป็นผู้จัดจำหน่าย
ปัจจุบัน ถุงยางอนามัยไลฟ์สไตล์ มีส่วนแบ่งในตลาดเป็นอันดับที่ 2 ซึ่งใกล้เคียงกับอีกแบรนด์ เพราะยังไม่มีการทิ้งห่างกันชัดเจน โดยมีส่วนแบ่งประมาณ 20% ขณะที่ผู้นำตลาดคือ ดูเร็กซ์มีส่วนแบ่งมากกว่า 50% จากตลาดรวมที่คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาท แต่การเติบโตของตลาดรวมแต่ละปีมีไม่มากนัก ซึ่งบริษัทฯพยายามที่จะเพิ่มส่วนแบ่งให้มากขึ้น อาจจะเป็น 25% เพื่อให้เป็นอันดับที่สองอย่างชัดเจน ซึ่งมีความเป็นไปได้เนื่องจาก ตลาดถุงยางอนามัยในไทยยังเล็กมีโอกาสเติบโตอีกมากเพราะอัตราการใช้ถุงยางอนามัยของคนไทยอยู่ที่ 1.5-2 ชิ้นต่อคนต่อปีเท่านั้นเอง ขณะที่บริษัทแม่ที่ออสเตรเลียเองก็เล็งเห็นถึงโอกาสในตลาดไทยและมองเป็นตลาดดาวรุ่งด้วย
นอกจากนั้นในปีนี้ยังจะเตรียมออกสินค้ารุ่นใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการตลาด ซึ่งปัจจุบันไลฟ์สไตล์มีครบครอบคลุมทุกกลุ่มหลักๆคือ กลุ่มมาตรฐาน กลุ่มผิวไม่เรียบ กลุ่มรสและกลิ่น กลุ่มขนาดพิเศษ โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้น 30 บาทต่อกล่องต่อ 3 ชิ้น จนถึง 45 บาทต่อกล่องต่อ 3ชิ้น แต่ยังยืนยันที่จะยังไม่ปรับราคาขึ้น แม้ว่าต้นทุนการผลิตที่สำคัญคือ ยางกับน้ำมันจะปรับราคาขึ้นแล้วก็ตาม
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทฯมีโรงงานการผลิตของตัวเองที่สุราษฎ์ฐานีซึ่งถือเป็นฐานผลิตใหญ่ที่สุดและสำคัญแห่งหนึ่งของโลก และเป็นฐานส่งออกที่สำคัญของไลฟ์สไตล์ไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วย ซึ่งมีกำลังผลิตมากกว่า 1,000 ล้านชิ้นต่อปี และมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตอีกด้วยในอนาคต
นายประยุทธ กล่าวต่อถึง สภาพตลาดถุงยางอนามัยด้วยว่า การแข่งขันไม่ค่อยรุนแรงมากนัก เนื่องจากมีผู้ประกอบการไม่กี่รายเท่านั้น และมูลค่าตลาดรวมก็ยังน้อยมาก อยู่ที่ใครจะสร้างแบรนด์ได้แข็งแกร่งและพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่ๆให้ถูกต้องและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีที่สุด ซึ่งบริษัทแม่ที่ออสเตรเลียก็มองเห็นถึงศักยภาพของตลาดเมืองไทยที่เป็นตลาดดาวรุ่งด้วย
นายประยุทธ บุญมาสุวราญ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท แอนเซลล์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัย "ไลฟ์สไตล์" เปิดเผยว่า ปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทฯจะเริ่มทำการสร้างแบรนด์ ไลฟ์สไตล์เป็นปีแรกอย่างจริงจัง หลังจากที่ได้เปิดตัวแบรนด์นี้มาประมาณ 2-3 ปีแต่ยังไม่ได้ทำตลาดเชิงรุกเท่าใด หลังจากที่ได้เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของชัวร์เท็กซ์และโรงงานของแบรนด์เพลย์เชอร์ซึ่งเป็นของคนไทยเมื่อช่วงเกือบ 8-9 ปีที่ผ่านมา ส่วนแบรนด์เพลย์เชอร์เดิมนั้น ได้ทยอยหยุดการทำตลาดและเลิกไปเมื่อปีที่แล้ว
โดยปีนี้วางงบตลาดไว้ประมาณ 30 ล้านบาท เน้นการทำตลาดเพื่อสร้างแบรนด์โดยเฉพาะ ทั้ง บีโลว์เดอะไลน์ อะโบฟเดอะไลน์ ด้วยแนวทางการสื่อสารการตลาดภายใต้แนวคิด"BEYOND EXPRESSION" เน้นการให้ความรู้ทางด้านสุขอนามัยของผลิตภัณฑ์และประโยชน์การใช้ถุงยางอนามัย เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอายุ 18-25 ปีเป็นหลัก
ส่วนด้านช่องทางกาจำหน่าย ปัจจุบันมีกระจายครอบคลุมทุกช่องทางแล้วทั้งโมเดิร์นเทรด เทรดดิชันนัลเทรด ร้านขายยา คอนวีเนียนสโตร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น ซึ่งช่องทางหลักคือ คอนวีเนียนสโตร์ สัดส่วนมากกว่า 50% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทฯวางครอบคลุมทุกแบรนด์เนมค้าปลีก รายใหญ่และทุกช่องทางแล้ว ก็จะพยายามที่จะกระจายเข้าไปในเครือข่ายของแต่ละโมเดิร์นเทรดให้ครอบคลุมจำนวนสาขามากยิ่งขึ้น โดยมีบริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ เป็นผู้จัดจำหน่าย
ปัจจุบัน ถุงยางอนามัยไลฟ์สไตล์ มีส่วนแบ่งในตลาดเป็นอันดับที่ 2 ซึ่งใกล้เคียงกับอีกแบรนด์ เพราะยังไม่มีการทิ้งห่างกันชัดเจน โดยมีส่วนแบ่งประมาณ 20% ขณะที่ผู้นำตลาดคือ ดูเร็กซ์มีส่วนแบ่งมากกว่า 50% จากตลาดรวมที่คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาท แต่การเติบโตของตลาดรวมแต่ละปีมีไม่มากนัก ซึ่งบริษัทฯพยายามที่จะเพิ่มส่วนแบ่งให้มากขึ้น อาจจะเป็น 25% เพื่อให้เป็นอันดับที่สองอย่างชัดเจน ซึ่งมีความเป็นไปได้เนื่องจาก ตลาดถุงยางอนามัยในไทยยังเล็กมีโอกาสเติบโตอีกมากเพราะอัตราการใช้ถุงยางอนามัยของคนไทยอยู่ที่ 1.5-2 ชิ้นต่อคนต่อปีเท่านั้นเอง ขณะที่บริษัทแม่ที่ออสเตรเลียเองก็เล็งเห็นถึงโอกาสในตลาดไทยและมองเป็นตลาดดาวรุ่งด้วย
นอกจากนั้นในปีนี้ยังจะเตรียมออกสินค้ารุ่นใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการตลาด ซึ่งปัจจุบันไลฟ์สไตล์มีครบครอบคลุมทุกกลุ่มหลักๆคือ กลุ่มมาตรฐาน กลุ่มผิวไม่เรียบ กลุ่มรสและกลิ่น กลุ่มขนาดพิเศษ โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้น 30 บาทต่อกล่องต่อ 3 ชิ้น จนถึง 45 บาทต่อกล่องต่อ 3ชิ้น แต่ยังยืนยันที่จะยังไม่ปรับราคาขึ้น แม้ว่าต้นทุนการผลิตที่สำคัญคือ ยางกับน้ำมันจะปรับราคาขึ้นแล้วก็ตาม
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทฯมีโรงงานการผลิตของตัวเองที่สุราษฎ์ฐานีซึ่งถือเป็นฐานผลิตใหญ่ที่สุดและสำคัญแห่งหนึ่งของโลก และเป็นฐานส่งออกที่สำคัญของไลฟ์สไตล์ไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วย ซึ่งมีกำลังผลิตมากกว่า 1,000 ล้านชิ้นต่อปี และมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตอีกด้วยในอนาคต
นายประยุทธ กล่าวต่อถึง สภาพตลาดถุงยางอนามัยด้วยว่า การแข่งขันไม่ค่อยรุนแรงมากนัก เนื่องจากมีผู้ประกอบการไม่กี่รายเท่านั้น และมูลค่าตลาดรวมก็ยังน้อยมาก อยู่ที่ใครจะสร้างแบรนด์ได้แข็งแกร่งและพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่ๆให้ถูกต้องและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีที่สุด ซึ่งบริษัทแม่ที่ออสเตรเลียก็มองเห็นถึงศักยภาพของตลาดเมืองไทยที่เป็นตลาดดาวรุ่งด้วย