เมื่อเวลา 11.00 น. วานนี้ (2 มิ.ย.) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ. สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หลายคนบอกว่า ส่งผลกระทบเดือดร้อนต่อประชาชน อยากจะบอกว่าความเดือดร้อนของชาติบ้านเมืองสำคัญกว่าความเดือดร้อนของชีวิตประจำวัน
พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ตนไม่มีหน้าที่ไปพูดขอร้องไกล่เกลี่ย เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และพันธมิตรต้องแสวงหาช่องทางส่งคนไปพบปะกัน โดยในทางที่ไม่มีวาระซ่อนเร้น เจตนาที่ต้องการให้คลี่คลายอย่างไรก็พูดกันชัดเจน และส่งคนที่สองฝ่ายรับกันได้ ตนคงไม่ยิ่งใหญ่จนพูดไปแล้วสองฝ่ายรับฟัง
"ถ้าทุกฝ่ายยืนหยัดในเจตนารมณ์ และเป้าหมายของตนเองไม่ยอมกับฝ่ายตรงข้าม คิดว่าสถานการณ์คงจะเผชิญหน้ากันไปเรื่อย ผมไม่อยากทำนาย หรือยุยง และจิตสำนึกคนไทยทุกคนรวมทั้งผม คืออยากเห็นบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ส่วนที่บอกว่าจะมีความรุนแรงเป็นหน้าที่ของผู้รักษากฎหมายทุกองค์กร ต้องไม่เป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่ถูกต้อง เพราะคนไทยส่วนใหญ่มีหลักยึดจิตใจของตนเอง คือความสันติสุข ดังนั้น ต้องอยู่ในฝ่ายธรรมะ และธรรมะจะชนะอธรรมได้ต่อเมื่อธรรมะมีกำลัง ถ้าไม่มีกำลังก็แพ้ และวิญญูชนพิจารณาได้ว่า ความถูกต้องอยู่ตรงไหน แล้วตัดสินใจสนับสนุนความถูกต้อง ทุกอย่างจะเรียบร้อย" พล.อ.สพรั่งกล่าว
**ขอยืนข้างฝ่ายธรรมะ
พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เมื่อก่อนทุกคนที่ขัดแย้งกันตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 ตนอยู่ในช่วงนั้น เป็นทหารเด็กๆ ซึ่งทุกคนต่างมีความขัดแย้งกัน แต่ทุกคนมีศูนย์รวมจิตใจของชาติบ้านเมืองคือ บุคคลที่เคารพสูงสุดเป็นบุคคลเดียวกัน ดังนั้น เมื่อมีความขัดแย้งหรือเผชิญหน้ากัน เลือดตกยางออก ทุกคนยุติทันที ด้วยความจงรักภักดี ด้วยความเคารพ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านมา เราตั้งคำถามว่าเหตุการณ์จะยุติได้หรือไม่ ก็ต้องถามว่า ทุกฝ่ายจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านจริงหรือไม่
"หากจงรักภักดีจริง ต้องทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย อย่าให้ความชั่วร้ายและอันธพาล ต้องไม่ยอมให้คนพวกนี้เสียงดังในสังคม ไม่ต้องบอกชื่อ ไม่ต้องบอกกลุ่มทุกคนทราบดี เพราะตนไม่เคยเจาะจงว่าใครเป็นอันธพาล หรือบัณฑิต อยากให้นึกถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง และเลือกข้างแน่นอน ผมเลือกข้างฝ่ายธรรมะ ฝ่ายที่ถูก และยืนข้างประชาชน ไม่ใช่เลือกข้างฝ่ายชนะ บ้านเมืองเราเสียหาย เพราะเลือกข้างฝ่ายชนะ" พล.อ.สพรั่ง กล่าว
**ทำตามคำสั่งที่ไม่ขัดอุดมการณ์
เมื่อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ที่สองฝ่ายพยายามนำสถาบันฯ มาอ้างโจมตีกัน พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า การแอบอ้างกับการปกป้อง คนละเรื่อง ใครที่แอบอ้างอยากให้สื่อมวลชนช่วยจับตา แต่คนที่ปกป้อง อย่าบอกว่าเขาแอบอ้าง และคนที่บอกว่าจงรักภักดีแล้วทำลาย อยากให้สื่อดูด้วย ซึ่งสื่อตัดสินใจได้ ไม่ต้องถามตนว่าเขาแอบอ้าง ปกป้อง หรือจ้องทำลาย มีกลุ่มใดบ้างเขาข่ายแต่ละประเภท
เมื่อถามว่า สถานการณ์สุกงอมถึงขั้นไล่นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่งหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า พวกเราได้ฟังการแถลงกลุ่มต่างๆไปแล้ว ในฐานะที่วันนี้ยังแต่งเครื่องแบบทหาร ตนต้องรักษาความเป็นผู้มีวินัย และเคารพจงรักภักดีผู้บังคับบัญชา ทุกท่านที่เหนือตน ตั้งแต่ปลัดกระทรวงกลาโหมขึ้นไป ตราบใดที่ตนไม่มีความรู้สึกว่าอึดอัด การปฏิบัติตามคำสั่ง หรือระเบียบวินัยที่เกี่ยวข้องกับตนโดยตรง ก็พร้อมทำตาม แต่หากเรื่องใดรู้สึกขัดต่ออุดมการณ์ของตนเอง ก็ต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์มากกว่าการอยู่ในหน้าที่ แล้วทำให้อุดมการณ์ของเราต้องหม่นหมองไป
**เตือนใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะเป็นโทษ
เมื่อถามว่า อาจต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาสลายการชุมนุมหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า คิดว่าการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อคลี่คลายสถานการณ์นั้น ขึ้นอยู่กับเหตุผลในการตัดสินใจ หากตัดสินใจบนเหตุผลที่ไม่หนักแน่นพอ ตนเกรงว่าสิ่งที่เป็นคุณ ก็จะเป็นโทษ ทั้งนี้ ตนคงไม่ไปก้าวก่าย เพราะเป็นการตัดสินใจของฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายผู้บังคับบัญชา แต่ไม่ต้องห่วงใครทำกรรมอะไรต้องได้รับอย่างนั้น หากฉลาดไม่พอก็ต้องเป็นแพะ
เมื่อถามว่า รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์การเมืองขณะนี้หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า รู้สึกอึดอัดมาก ตรงที่เป็นการต่อสู้ที่คนในประเทศสับสน ตนไม่อยากให้การแพ้ชนะครั้งนี้เป็นความล่มสลายของประเทศชาติ เพราะสังคมไทยขาดความรักชาติ แบ่งฝ่ายกันโดยหวังผลประโยชน์เฉพาะหน้า ซึ่งเป็นอันตรายของสังคมไทย และมีผู้ที่ทำบาปกรรมด้วย และผลของกรรมที่ทำกับชาติบ้านเมือง จะตกไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ดังนั้น การแบ่งฝ่ายไม่ดี อยากให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ยึดมั่นใจศูนย์ร่วมจิตใจ คือ ความรักชาติ ความเป็นชาติไม่มีการแบ่งแยก รวมถึงการแบ่งแยกดินแดน
เมื่อถามว่า สถานการณ์ขณะนี้ดูเหมือนคนไทยจะกลับมาเป็นเนื้อเดียวกันไม่ได้อีกแล้ว พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ได้ หากได้ผู้นำที่ดี คนไทยไม่ได้ไปสุดโต่งกู่ไม่กลับ คนดีคนเลวก็มีอายุขัยของตัวเอง
เมื่อถามว่า ผู้นำขณะนี้สามารถทำให้คนไทยเป็นเนื้อเดียวกันได้หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ทุกคนก็ตอบในใจดูแล้วกัน เพราะแต่ละท่านก็มีฮีโร่ในใจแต่ละคน ส่วนตนมีฮีโร่ทางทหาร คือ คนที่ตนเคารพ บูชา และจงรักภักดีเหมือนทุกคน
**หากจงรักภักดีจะไม่มีขัดแย้ง
เมื่อถามว่า ฮีโร่ของท่านจะเป็นผู้เชื่อมให้กับคนไทยได้หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เรา ต้องถามท่าน ตอบแทนไม่ได้ เมื่อถามว่า ฮีโร่หมายถึง พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ตอบแทนไม่ได้ และยังไม่ได้บอกว่าฮีโร่ของตนเป็นใคร แต่เป็นบุคคลที่คนไทยทั้งชาติให้การยอมรับ และให้ความเคารพ
"หากประชาชนไทย และบุคคลที่มีความเข้มแข้งทางสังคม คือ นักการเมือง ข้าราชการ และผู้ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ คือ นักธุรกิจ ไม่ลืมสิ่งที่ทำให้คนไทยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คือ เคารพ และจงรักภักดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถาบันกษัตริย์อย่างฝังแน่น ความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นเลย เราทะเลาะกันต้องไม่ให้กระทบสถาบันหลัก เหมือนกับทะเลาะกันจนเผาบ้านเผาเมืองตนเอง ผมมองเป็นเรื่องเลวร้ายและต้องไม่ยอมให้เกิดขึ้น เชื่อว่าสื่อทราบดีว่า เหตุเกิดที่ไหน ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง" พล.อ.สพรั่ง กล่าว
เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรกับคนที่อยู่เบื้องหลัง พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่าหากตนมีอำนาจไม่ต้องรอให้สื่อมวลชนถาม ให้ไปถามผู้ที่มีอำนาจ และหากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังก็ขอร้องให้เขายุติบทบาทตรงนี้ให้ได้ ทั้งนี้ ตนไม่หงุดหงิดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่สงสารประเทศชาติ หากเราไม่เป็นคนดีที่เป็นใบ้ หากเราเจอคนดีที่ขาดความเสียสละและกล้าหาญ น่าเศร้ามาก
เมื่อถามว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองขณะนี้ไม่มีความจริงใจต่อชาติบ้านเมือง พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า รอให้สถานการณ์จบก่อนแล้วท่านจะตอบเองได้เลย หากตอบจะเป็นการท้าทาย เหมือนกับไม่เคารพ เมื่อเหตุการณ์สงบ บทเรียนจากสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ หากไม่รุนแรงตนก็จะดีใจ แต่ถ้ารุนแรงท่านไม่ต้องถาม ทุกคนเขียนคำตอบในกระดาษไว้ แล้ววันหนึ่งเอามาให้ดูเชื่อว่าทุกคนตรงกัน
เมื่อถามว่า ทุกฝ่ายควรลดทิฐิ หันหน้าเข้ามาหากันเพื่อความสมานฉันท์ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ไม่ใช่ ต้องหยุดการโจมตี อย่าหน้าไหว้หลังหลอก หากไม่อยากมีสถาบันกษัตริย์ในความรู้สึกของตนเอง ก็พยายามลี้ภัยไปอยู่ประเทศที่ตัวเองอยากให้เป็น และดูซิว่าจะดิ้นรนกับมาประเทศไทยหรือไม่ บ้าตำราอยู่หรือไม่ หรือมีอคติซ่อนเร้น ตนไม่เคยใช้คำว่าหันหน้าเข้าหากัน ระหว่างคำว่าดี และชั่ว
**แม้วต้องเข้าสู่กระบวนยุติธรรม
เมื่อถามว่า หลายคนมองว่าปัญหาแท้จริง คือพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ขณะนี้ตนยังไม่ขอก้าวล่วง เมื่อเรายอมรับว่าสิ่งเดียวที่ทำให้สังคมไทยอยู่ได้ คือ กติกา เมื่อเข้ากระบวนการยุติธรรม ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนยุติธรรมดีกว่า ตนไม่เคยซ้ำเติมใคร แต่ไม่ยอมสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ความถูกต้องมีหลายระดับ เหมือนกับอำนาจหน้าที่ที่มีความเป็นอิสระต่อกัน แต่ทุกอย่างมีข้อยุติ เมื่อมีความขัดแย้ง ก็ต้องมีผู้ไกล่เกลี่ย เมื่อทำผิดกติกาต้องเข้าสู่กระบวนยุติธรรม
เมื่อถามว่า สถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้อยากเข้ามาทำให้บ้านเมืองดีขึ้นหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เมื่อไรก็ตามที่คนดีรู้สึกว่าการเล่นการเมืองเปลืองตัว วันนั้นให้รู้ว่าบรรยากาศไม่น่าเล่น เมื่อไรรู้สึกว่าประชาชนฐานพรรคการเมือง และศึกษาประวัติข้อมูลบุคคลสำคัญๆ และเชิญเข้ามาเป็นสมาชิกพรรควันนั้นน่าเล่น ทั้งนี้ การเมืองขณะนี้ไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยเป็นประชาธิปไตยแบบเปลือก มีบางขั้นตอนที่ดำเนินไปตามวิถีประชาธิปไตย หลายขั้นตอนไม่เข้มแข็ง กติกาทำให้การกลั่นกรองคนที่เข้ามาสู่ระบบเชื่อถือได้ ไว้ใจได้และมีคุณภาพ ไม่ใช่อยู่ที่การจดทะเบียน หรือการสมัคร และสำนึกการเมืองแก้ไขด้วยการขอร้องไม่ได้ แต่ต้องเกิดจากการปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ เริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว
เมื่อถามว่า อีก 5 เดือน อาจจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า บ้านเมืองเราทำสงครามจิตวิทยาเก่งมาก เรียกว่า ปล่อยข่าวเก่งมาก จนทำให้คนไทยเชื่อ ข่าวซุบซิบ ตราบใดที่เหตุ และเงื่อนไขยังมีอยู่ ความวุ่นวายมีแน่ แต่วิธีการแก้ไขหรือระงับความวุ่นวายนั้น ขึ้นอยู่กับการจะใช้ยาแรง หรือยาที่เหมาะกับคนไข้ อย่าไปคิดว่าการปฏิวัติเป็นพวกเผด็จการ แทนที่จะช่วยการแก้ไข แต่กลับยุให้เกิด เหมือนเกลียดตัวกินไข่ ทั้งนี้ไม่อยากฝากอะไรถึงรัฐบาล และพันธมิตรฯ เพราะตนทำหน้าที่อยู่ 2 บทบาท คือ 1.รักษาอุดมการณ์ 2.ทำหน้าที่ของข้าราชการประจำ ซึ่งเป็นทหารที่ต้องมีผู้บังคับบัญชา จึงไม่มีหน้าที่ไปฝากคนที่เป็นผู้บังคับบัญชา
**"หมัก"สั่งตั้งกก.สอบ"สมเจตน์"
รายงานข่าวจากกระทรวงกลาโหมแจ้งว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา นาย สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ลงนามคำสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการให้สัมภาษณ์ของพล.อ. สมเจตน์ บุญถนอม ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ที่มีการพูดชี้นำให้เกิดการปฏิวัติ โดยตั้ง พล.อ. สุรพันธ์ พุ่มแก้ว จเรทหารทั่วไป เป็นประธานกรรมการตรวจสอบ ส่วนกรณีของพล.อ. สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เนื่องจากเห็นว่า คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สพรั่ง ยังไม่มีความชัดเจนว่า เป็นการชี้นำให้เกิดการปฏิวัติหรือไม่
พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ตนไม่มีหน้าที่ไปพูดขอร้องไกล่เกลี่ย เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และพันธมิตรต้องแสวงหาช่องทางส่งคนไปพบปะกัน โดยในทางที่ไม่มีวาระซ่อนเร้น เจตนาที่ต้องการให้คลี่คลายอย่างไรก็พูดกันชัดเจน และส่งคนที่สองฝ่ายรับกันได้ ตนคงไม่ยิ่งใหญ่จนพูดไปแล้วสองฝ่ายรับฟัง
"ถ้าทุกฝ่ายยืนหยัดในเจตนารมณ์ และเป้าหมายของตนเองไม่ยอมกับฝ่ายตรงข้าม คิดว่าสถานการณ์คงจะเผชิญหน้ากันไปเรื่อย ผมไม่อยากทำนาย หรือยุยง และจิตสำนึกคนไทยทุกคนรวมทั้งผม คืออยากเห็นบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ส่วนที่บอกว่าจะมีความรุนแรงเป็นหน้าที่ของผู้รักษากฎหมายทุกองค์กร ต้องไม่เป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่ถูกต้อง เพราะคนไทยส่วนใหญ่มีหลักยึดจิตใจของตนเอง คือความสันติสุข ดังนั้น ต้องอยู่ในฝ่ายธรรมะ และธรรมะจะชนะอธรรมได้ต่อเมื่อธรรมะมีกำลัง ถ้าไม่มีกำลังก็แพ้ และวิญญูชนพิจารณาได้ว่า ความถูกต้องอยู่ตรงไหน แล้วตัดสินใจสนับสนุนความถูกต้อง ทุกอย่างจะเรียบร้อย" พล.อ.สพรั่งกล่าว
**ขอยืนข้างฝ่ายธรรมะ
พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เมื่อก่อนทุกคนที่ขัดแย้งกันตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 ตนอยู่ในช่วงนั้น เป็นทหารเด็กๆ ซึ่งทุกคนต่างมีความขัดแย้งกัน แต่ทุกคนมีศูนย์รวมจิตใจของชาติบ้านเมืองคือ บุคคลที่เคารพสูงสุดเป็นบุคคลเดียวกัน ดังนั้น เมื่อมีความขัดแย้งหรือเผชิญหน้ากัน เลือดตกยางออก ทุกคนยุติทันที ด้วยความจงรักภักดี ด้วยความเคารพ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านมา เราตั้งคำถามว่าเหตุการณ์จะยุติได้หรือไม่ ก็ต้องถามว่า ทุกฝ่ายจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านจริงหรือไม่
"หากจงรักภักดีจริง ต้องทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย อย่าให้ความชั่วร้ายและอันธพาล ต้องไม่ยอมให้คนพวกนี้เสียงดังในสังคม ไม่ต้องบอกชื่อ ไม่ต้องบอกกลุ่มทุกคนทราบดี เพราะตนไม่เคยเจาะจงว่าใครเป็นอันธพาล หรือบัณฑิต อยากให้นึกถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง และเลือกข้างแน่นอน ผมเลือกข้างฝ่ายธรรมะ ฝ่ายที่ถูก และยืนข้างประชาชน ไม่ใช่เลือกข้างฝ่ายชนะ บ้านเมืองเราเสียหาย เพราะเลือกข้างฝ่ายชนะ" พล.อ.สพรั่ง กล่าว
**ทำตามคำสั่งที่ไม่ขัดอุดมการณ์
เมื่อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ที่สองฝ่ายพยายามนำสถาบันฯ มาอ้างโจมตีกัน พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า การแอบอ้างกับการปกป้อง คนละเรื่อง ใครที่แอบอ้างอยากให้สื่อมวลชนช่วยจับตา แต่คนที่ปกป้อง อย่าบอกว่าเขาแอบอ้าง และคนที่บอกว่าจงรักภักดีแล้วทำลาย อยากให้สื่อดูด้วย ซึ่งสื่อตัดสินใจได้ ไม่ต้องถามตนว่าเขาแอบอ้าง ปกป้อง หรือจ้องทำลาย มีกลุ่มใดบ้างเขาข่ายแต่ละประเภท
เมื่อถามว่า สถานการณ์สุกงอมถึงขั้นไล่นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่งหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า พวกเราได้ฟังการแถลงกลุ่มต่างๆไปแล้ว ในฐานะที่วันนี้ยังแต่งเครื่องแบบทหาร ตนต้องรักษาความเป็นผู้มีวินัย และเคารพจงรักภักดีผู้บังคับบัญชา ทุกท่านที่เหนือตน ตั้งแต่ปลัดกระทรวงกลาโหมขึ้นไป ตราบใดที่ตนไม่มีความรู้สึกว่าอึดอัด การปฏิบัติตามคำสั่ง หรือระเบียบวินัยที่เกี่ยวข้องกับตนโดยตรง ก็พร้อมทำตาม แต่หากเรื่องใดรู้สึกขัดต่ออุดมการณ์ของตนเอง ก็ต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์มากกว่าการอยู่ในหน้าที่ แล้วทำให้อุดมการณ์ของเราต้องหม่นหมองไป
**เตือนใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะเป็นโทษ
เมื่อถามว่า อาจต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาสลายการชุมนุมหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า คิดว่าการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อคลี่คลายสถานการณ์นั้น ขึ้นอยู่กับเหตุผลในการตัดสินใจ หากตัดสินใจบนเหตุผลที่ไม่หนักแน่นพอ ตนเกรงว่าสิ่งที่เป็นคุณ ก็จะเป็นโทษ ทั้งนี้ ตนคงไม่ไปก้าวก่าย เพราะเป็นการตัดสินใจของฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายผู้บังคับบัญชา แต่ไม่ต้องห่วงใครทำกรรมอะไรต้องได้รับอย่างนั้น หากฉลาดไม่พอก็ต้องเป็นแพะ
เมื่อถามว่า รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์การเมืองขณะนี้หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า รู้สึกอึดอัดมาก ตรงที่เป็นการต่อสู้ที่คนในประเทศสับสน ตนไม่อยากให้การแพ้ชนะครั้งนี้เป็นความล่มสลายของประเทศชาติ เพราะสังคมไทยขาดความรักชาติ แบ่งฝ่ายกันโดยหวังผลประโยชน์เฉพาะหน้า ซึ่งเป็นอันตรายของสังคมไทย และมีผู้ที่ทำบาปกรรมด้วย และผลของกรรมที่ทำกับชาติบ้านเมือง จะตกไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ดังนั้น การแบ่งฝ่ายไม่ดี อยากให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ยึดมั่นใจศูนย์ร่วมจิตใจ คือ ความรักชาติ ความเป็นชาติไม่มีการแบ่งแยก รวมถึงการแบ่งแยกดินแดน
เมื่อถามว่า สถานการณ์ขณะนี้ดูเหมือนคนไทยจะกลับมาเป็นเนื้อเดียวกันไม่ได้อีกแล้ว พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ได้ หากได้ผู้นำที่ดี คนไทยไม่ได้ไปสุดโต่งกู่ไม่กลับ คนดีคนเลวก็มีอายุขัยของตัวเอง
เมื่อถามว่า ผู้นำขณะนี้สามารถทำให้คนไทยเป็นเนื้อเดียวกันได้หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ทุกคนก็ตอบในใจดูแล้วกัน เพราะแต่ละท่านก็มีฮีโร่ในใจแต่ละคน ส่วนตนมีฮีโร่ทางทหาร คือ คนที่ตนเคารพ บูชา และจงรักภักดีเหมือนทุกคน
**หากจงรักภักดีจะไม่มีขัดแย้ง
เมื่อถามว่า ฮีโร่ของท่านจะเป็นผู้เชื่อมให้กับคนไทยได้หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เรา ต้องถามท่าน ตอบแทนไม่ได้ เมื่อถามว่า ฮีโร่หมายถึง พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ตอบแทนไม่ได้ และยังไม่ได้บอกว่าฮีโร่ของตนเป็นใคร แต่เป็นบุคคลที่คนไทยทั้งชาติให้การยอมรับ และให้ความเคารพ
"หากประชาชนไทย และบุคคลที่มีความเข้มแข้งทางสังคม คือ นักการเมือง ข้าราชการ และผู้ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ คือ นักธุรกิจ ไม่ลืมสิ่งที่ทำให้คนไทยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คือ เคารพ และจงรักภักดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถาบันกษัตริย์อย่างฝังแน่น ความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นเลย เราทะเลาะกันต้องไม่ให้กระทบสถาบันหลัก เหมือนกับทะเลาะกันจนเผาบ้านเผาเมืองตนเอง ผมมองเป็นเรื่องเลวร้ายและต้องไม่ยอมให้เกิดขึ้น เชื่อว่าสื่อทราบดีว่า เหตุเกิดที่ไหน ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง" พล.อ.สพรั่ง กล่าว
เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรกับคนที่อยู่เบื้องหลัง พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่าหากตนมีอำนาจไม่ต้องรอให้สื่อมวลชนถาม ให้ไปถามผู้ที่มีอำนาจ และหากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังก็ขอร้องให้เขายุติบทบาทตรงนี้ให้ได้ ทั้งนี้ ตนไม่หงุดหงิดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่สงสารประเทศชาติ หากเราไม่เป็นคนดีที่เป็นใบ้ หากเราเจอคนดีที่ขาดความเสียสละและกล้าหาญ น่าเศร้ามาก
เมื่อถามว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองขณะนี้ไม่มีความจริงใจต่อชาติบ้านเมือง พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า รอให้สถานการณ์จบก่อนแล้วท่านจะตอบเองได้เลย หากตอบจะเป็นการท้าทาย เหมือนกับไม่เคารพ เมื่อเหตุการณ์สงบ บทเรียนจากสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ หากไม่รุนแรงตนก็จะดีใจ แต่ถ้ารุนแรงท่านไม่ต้องถาม ทุกคนเขียนคำตอบในกระดาษไว้ แล้ววันหนึ่งเอามาให้ดูเชื่อว่าทุกคนตรงกัน
เมื่อถามว่า ทุกฝ่ายควรลดทิฐิ หันหน้าเข้ามาหากันเพื่อความสมานฉันท์ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ไม่ใช่ ต้องหยุดการโจมตี อย่าหน้าไหว้หลังหลอก หากไม่อยากมีสถาบันกษัตริย์ในความรู้สึกของตนเอง ก็พยายามลี้ภัยไปอยู่ประเทศที่ตัวเองอยากให้เป็น และดูซิว่าจะดิ้นรนกับมาประเทศไทยหรือไม่ บ้าตำราอยู่หรือไม่ หรือมีอคติซ่อนเร้น ตนไม่เคยใช้คำว่าหันหน้าเข้าหากัน ระหว่างคำว่าดี และชั่ว
**แม้วต้องเข้าสู่กระบวนยุติธรรม
เมื่อถามว่า หลายคนมองว่าปัญหาแท้จริง คือพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ขณะนี้ตนยังไม่ขอก้าวล่วง เมื่อเรายอมรับว่าสิ่งเดียวที่ทำให้สังคมไทยอยู่ได้ คือ กติกา เมื่อเข้ากระบวนการยุติธรรม ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนยุติธรรมดีกว่า ตนไม่เคยซ้ำเติมใคร แต่ไม่ยอมสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ความถูกต้องมีหลายระดับ เหมือนกับอำนาจหน้าที่ที่มีความเป็นอิสระต่อกัน แต่ทุกอย่างมีข้อยุติ เมื่อมีความขัดแย้ง ก็ต้องมีผู้ไกล่เกลี่ย เมื่อทำผิดกติกาต้องเข้าสู่กระบวนยุติธรรม
เมื่อถามว่า สถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้อยากเข้ามาทำให้บ้านเมืองดีขึ้นหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เมื่อไรก็ตามที่คนดีรู้สึกว่าการเล่นการเมืองเปลืองตัว วันนั้นให้รู้ว่าบรรยากาศไม่น่าเล่น เมื่อไรรู้สึกว่าประชาชนฐานพรรคการเมือง และศึกษาประวัติข้อมูลบุคคลสำคัญๆ และเชิญเข้ามาเป็นสมาชิกพรรควันนั้นน่าเล่น ทั้งนี้ การเมืองขณะนี้ไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยเป็นประชาธิปไตยแบบเปลือก มีบางขั้นตอนที่ดำเนินไปตามวิถีประชาธิปไตย หลายขั้นตอนไม่เข้มแข็ง กติกาทำให้การกลั่นกรองคนที่เข้ามาสู่ระบบเชื่อถือได้ ไว้ใจได้และมีคุณภาพ ไม่ใช่อยู่ที่การจดทะเบียน หรือการสมัคร และสำนึกการเมืองแก้ไขด้วยการขอร้องไม่ได้ แต่ต้องเกิดจากการปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ เริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว
เมื่อถามว่า อีก 5 เดือน อาจจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า บ้านเมืองเราทำสงครามจิตวิทยาเก่งมาก เรียกว่า ปล่อยข่าวเก่งมาก จนทำให้คนไทยเชื่อ ข่าวซุบซิบ ตราบใดที่เหตุ และเงื่อนไขยังมีอยู่ ความวุ่นวายมีแน่ แต่วิธีการแก้ไขหรือระงับความวุ่นวายนั้น ขึ้นอยู่กับการจะใช้ยาแรง หรือยาที่เหมาะกับคนไข้ อย่าไปคิดว่าการปฏิวัติเป็นพวกเผด็จการ แทนที่จะช่วยการแก้ไข แต่กลับยุให้เกิด เหมือนเกลียดตัวกินไข่ ทั้งนี้ไม่อยากฝากอะไรถึงรัฐบาล และพันธมิตรฯ เพราะตนทำหน้าที่อยู่ 2 บทบาท คือ 1.รักษาอุดมการณ์ 2.ทำหน้าที่ของข้าราชการประจำ ซึ่งเป็นทหารที่ต้องมีผู้บังคับบัญชา จึงไม่มีหน้าที่ไปฝากคนที่เป็นผู้บังคับบัญชา
**"หมัก"สั่งตั้งกก.สอบ"สมเจตน์"
รายงานข่าวจากกระทรวงกลาโหมแจ้งว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา นาย สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ลงนามคำสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการให้สัมภาษณ์ของพล.อ. สมเจตน์ บุญถนอม ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ที่มีการพูดชี้นำให้เกิดการปฏิวัติ โดยตั้ง พล.อ. สุรพันธ์ พุ่มแก้ว จเรทหารทั่วไป เป็นประธานกรรมการตรวจสอบ ส่วนกรณีของพล.อ. สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เนื่องจากเห็นว่า คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สพรั่ง ยังไม่มีความชัดเจนว่า เป็นการชี้นำให้เกิดการปฏิวัติหรือไม่