“เดี๋ยวเรากระทืบแม่งเลยดีมั้ย!”
เสียงคำข่มขู่ของนายตำรวจชั้นผู้น้อยลอยมากระทบโสตประสาทของผม ขณะที่ขบวนของพันธมิตรฯ ถูกขวางจนต้องปักหลักพักค้างอยู่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และแกนนำพันธมิตรบนเวทีเริ่มออกมาโจมตีการทำงานของตำรวจ และบอกข่าวร้ายแก่ประชาชนว่าพิธีกรบนเวทีอย่าง “พี่หมี” ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกปาด้วยก้อนคอนกรีตจนต้องถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีพี่น้องพันธมิตรฯ ถูกข่มขู่และทำร้ายร่างกายบริเวณระหว่างแยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกับสะพานผ่านฟ้าฯ รวมถึงบริเวณแยก จปร. โดยบริเวณแยก จปร.มีพันธมิตรฯ ที่เป็นหญิงชราวิ่งหนีกลุ่มม็อบต้านฯ ไม่ทันถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ จนบรรดาชายหนุ่มฉกรรจ์ของพันธมิตรฯ ต้องวิ่งเข้าไปช่วยและตอบโต้บรรดาอันธพาลจากกลุ่มต้านพันธมิตรฯ ให้ล่าถอยออกไป
สิ่งที่น่าเสียใจและเสียดายที่สุดก็คือ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตลอด โดยบางเหตุการณ์นั้นกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนอยู่ห่างจากเหตุการณ์ไม่ถึง 5 เมตร หรือจะกล่าวอย่างเห็นภาพชัดๆ ก็คือ อยู่ห่างเพียง 5 ก้าว ทว่ากลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” เหล่านั้นเลือกที่จะ “นิ่งเฉย” ยืนดูประชาชนถูกทำร้ายอย่าง “เลือดเย็น!”
ช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2551 จนถึงเช้าตรู่ของวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2551 เป็นช่วงเวลาที่น่าหดหู่ และน่าสะพรึงกลัวที่สุดสำหรับชีวิตของคนหลายคน
“พี่หน่อย” อาสาสมัครที่เต็มใจเข้ามารับหน้าที่ดูแลเรื่องการรวบรวมหนังสือลงลายมือชื่อถอดถอน ส.ส.-ส.ว. ที่ลงชื่อหนุนญัตติแก้รัฐธรรมนูญ 2550 เล่าให้ผมฟังว่า หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯ มีการเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาล จุดรับหนังสือลงลายมือชื่อถอดถอนฯ ที่อยู่บริเวณหน้าสภาทนายความ และอยู่ใกล้กับรถเครื่องเสียง-เวทีที่คุณยุทธิยงถูกทำร้ายก็ถูกบรรดากลุ่มอันธพาลที่กำลังไล่หลังขบวนของพันธมิตรฯ เข้ารุกราน โดยบรรดาอาสาสมัครทั้งหลายต่างต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน บ้างอาศัยตรอกซอกซอยเข้าไปหลบ บ้างได้พึ่งพาน้ำจิตน้ำใจของคนบริเวณนั้นเปิดประตูให้เข้าไปหลบซ่อนตัว ......
อย่างไรก็ตาม สำหรับชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตั้งใจออกมาร่วมแสดงพลังเพื่อคัดค้านการกระทำของบรรดาผู้กุมอำนาจรัฐที่ใช้อำนาจในทางมิชอบอย่างสงบ สันติ อหิงสา กลับต้องถูกกลุ่มอันธพาลคุกคาม ขู่เอาชีวิต โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แต่ “มอง” อยู่เฉยๆ ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
กรณีของพี่หน่อยยังถือว่าโชคดีที่ยังรอดตัวมาได้และไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะมีอาสาสมัครบางคนอย่างเช่น คุณสุภชัย ตระกูลรังสี อาสาสมัครผู้ช่วยรักษาความปลอดภัยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ใช้ไม้หน้าสามรุมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาข้างซ้ายหัก และศีรษะแตกเย็บ 20 กว่าเข็ม ไม่นับกับคุณยาย คุณป้า คุณลุง และพี่น้องอีกหลายคนที่ได้เลือดจากเหตุการณ์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2551
การที่เว็บไซต์อย่างพันทิพ และประชาไทของ อ.จอน อึ๊งภากรณ์ ตัดตอนนำภาพเหตุการณ์แต่เพียงบางส่วน เช่น อาสาสมัครของพันธมิตรฯ ถือไม้หน้าสาม ด้ามธง แล้วนำไปบิดเบือนว่า “ไหนบอกว่าพันธมิตรฯ ไม่ชอบความรุนแรง” หรือ ตัดตอนแต่เพียงการนำรูปที่กลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ถูกทำร้าย แล้วบอกว่า “พันธมิตรฯ ชอบใช้ความรุนแรง ไล่ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามแต่เพียงข้างเดียว” นั้นเป็นการกระทำที่น่าละอายและไร้สาระที่สุด
ทางกลุ่มพันธมิตรฯ พร้อมครับ พร้อมพิสูจน์ด้วยพยานและหลักฐานอย่างละเอียดว่า ใครเป็นผู้ยั่วยุ ใครเป็นผู้เริ่มทำร้ายก่อน ใครเป็นผู้ก่อเหตุ จนทำให้เราต้อง “ป้องกันตัวเอง” เพราะประชาชนและสื่อมวลชนที่อยู่ในเหตุการณ์ มีภาพเคลื่อนไหว และภาพนิ่งอีกนับไม่ถ้วนที่พร้อมจะนำมาเป็นหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ!
ในฐานะผู้ที่อยู่หลังเวที ภาพที่พี่น้องพันธมิตรฯ ต้องนำหมวกนิรภัย สนับแข้ง-สนับเข่า แว่นตากันเศษหิน รวมไปถึงโล่ประดิษฐ์จากไม้อัดมามอบให้กับบรรดาแกนนำฯ เพื่อส่งต่อให้กับอาสาสมัครหน่วยรักษาความปลอดภัยไปใช้ป้องกันตัวนั้น พูดไปก็น่าตื้นตันใจและบีบให้ต้องรู้สึกสลดหดหู่ในเวลาเดียวกัน
ตื้นตันใจ ก็เพราะตื้นตันในน้ำใจของพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ ที่สละเวลา สละกำลังกาย สละกำลังทรัพย์ เพื่อมาปกป้องคนร่วมอุดมการณ์เดียวกันอย่างไม่รู้จักเหน็ด ไม่รู้จักเหนื่อย ส่วนที่สลดหดหู่ใจก็เพราะหดหู่กับความไร้ประสิทธิภาพและความเลือดเย็นของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
เหตุการณ์ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 25 พฤษภาคม จนถึงเช้าตรู่วันที่ 26 พฤษภาคม ได้พิสูจน์ให้ประชาชนประจักษ์แล้วว่า กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” นอกจากจะประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนแล้ว พวกเขายังประพฤติตนเป็น “ทาส” รับใช้ “รัฐบาลกุ๊ย” ของนายสมัคร สุนทรเวช รวมถึงนายเฉลิม อยู่บำรุง อย่างไม่ลืมหูลืมตาอีกด้วย
หลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงหัวค่ำของวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ตัวผมเองยอมรับและเชื่อด้วยว่าทัศนคติของเพื่อนฝูง รวมไปถึงประชาชนจำนวนไม่น้อยต่อกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากความรู้สึกเดิมที่ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว มาถึงวันนี้ได้กลับกลายเป็น “ติดลบ”
นับจากวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม เป็นต้นมา ผลจากการล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ได้ผลักดันให้กลุ่มผู้ชุมนุมบนถนนราชดำเนินของกลุ่มพันธมิตรฯ เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน โดยสาเหตุที่พวกเขาต้องมาก็เพราะทางหนึ่งเพื่อร่วมแสดงพลังพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และต่อต้านการกระทำที่สั่นคลอนสถาบันหลักทั้งสาม ส่วน อีกทางหนึ่งก็เพื่อปกป้องพ่อ แม่ พี่ น้องร่วมอุดมการณ์ด้วยมือทั้งสองข้างของพวกเขาเอง.
เสียงคำข่มขู่ของนายตำรวจชั้นผู้น้อยลอยมากระทบโสตประสาทของผม ขณะที่ขบวนของพันธมิตรฯ ถูกขวางจนต้องปักหลักพักค้างอยู่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และแกนนำพันธมิตรบนเวทีเริ่มออกมาโจมตีการทำงานของตำรวจ และบอกข่าวร้ายแก่ประชาชนว่าพิธีกรบนเวทีอย่าง “พี่หมี” ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกปาด้วยก้อนคอนกรีตจนต้องถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีพี่น้องพันธมิตรฯ ถูกข่มขู่และทำร้ายร่างกายบริเวณระหว่างแยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกับสะพานผ่านฟ้าฯ รวมถึงบริเวณแยก จปร. โดยบริเวณแยก จปร.มีพันธมิตรฯ ที่เป็นหญิงชราวิ่งหนีกลุ่มม็อบต้านฯ ไม่ทันถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ จนบรรดาชายหนุ่มฉกรรจ์ของพันธมิตรฯ ต้องวิ่งเข้าไปช่วยและตอบโต้บรรดาอันธพาลจากกลุ่มต้านพันธมิตรฯ ให้ล่าถอยออกไป
สิ่งที่น่าเสียใจและเสียดายที่สุดก็คือ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตลอด โดยบางเหตุการณ์นั้นกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนอยู่ห่างจากเหตุการณ์ไม่ถึง 5 เมตร หรือจะกล่าวอย่างเห็นภาพชัดๆ ก็คือ อยู่ห่างเพียง 5 ก้าว ทว่ากลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” เหล่านั้นเลือกที่จะ “นิ่งเฉย” ยืนดูประชาชนถูกทำร้ายอย่าง “เลือดเย็น!”
ช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2551 จนถึงเช้าตรู่ของวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2551 เป็นช่วงเวลาที่น่าหดหู่ และน่าสะพรึงกลัวที่สุดสำหรับชีวิตของคนหลายคน
“พี่หน่อย” อาสาสมัครที่เต็มใจเข้ามารับหน้าที่ดูแลเรื่องการรวบรวมหนังสือลงลายมือชื่อถอดถอน ส.ส.-ส.ว. ที่ลงชื่อหนุนญัตติแก้รัฐธรรมนูญ 2550 เล่าให้ผมฟังว่า หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯ มีการเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาล จุดรับหนังสือลงลายมือชื่อถอดถอนฯ ที่อยู่บริเวณหน้าสภาทนายความ และอยู่ใกล้กับรถเครื่องเสียง-เวทีที่คุณยุทธิยงถูกทำร้ายก็ถูกบรรดากลุ่มอันธพาลที่กำลังไล่หลังขบวนของพันธมิตรฯ เข้ารุกราน โดยบรรดาอาสาสมัครทั้งหลายต่างต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน บ้างอาศัยตรอกซอกซอยเข้าไปหลบ บ้างได้พึ่งพาน้ำจิตน้ำใจของคนบริเวณนั้นเปิดประตูให้เข้าไปหลบซ่อนตัว ......
อย่างไรก็ตาม สำหรับชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตั้งใจออกมาร่วมแสดงพลังเพื่อคัดค้านการกระทำของบรรดาผู้กุมอำนาจรัฐที่ใช้อำนาจในทางมิชอบอย่างสงบ สันติ อหิงสา กลับต้องถูกกลุ่มอันธพาลคุกคาม ขู่เอาชีวิต โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แต่ “มอง” อยู่เฉยๆ ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
กรณีของพี่หน่อยยังถือว่าโชคดีที่ยังรอดตัวมาได้และไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะมีอาสาสมัครบางคนอย่างเช่น คุณสุภชัย ตระกูลรังสี อาสาสมัครผู้ช่วยรักษาความปลอดภัยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ใช้ไม้หน้าสามรุมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาข้างซ้ายหัก และศีรษะแตกเย็บ 20 กว่าเข็ม ไม่นับกับคุณยาย คุณป้า คุณลุง และพี่น้องอีกหลายคนที่ได้เลือดจากเหตุการณ์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2551
การที่เว็บไซต์อย่างพันทิพ และประชาไทของ อ.จอน อึ๊งภากรณ์ ตัดตอนนำภาพเหตุการณ์แต่เพียงบางส่วน เช่น อาสาสมัครของพันธมิตรฯ ถือไม้หน้าสาม ด้ามธง แล้วนำไปบิดเบือนว่า “ไหนบอกว่าพันธมิตรฯ ไม่ชอบความรุนแรง” หรือ ตัดตอนแต่เพียงการนำรูปที่กลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ถูกทำร้าย แล้วบอกว่า “พันธมิตรฯ ชอบใช้ความรุนแรง ไล่ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามแต่เพียงข้างเดียว” นั้นเป็นการกระทำที่น่าละอายและไร้สาระที่สุด
ทางกลุ่มพันธมิตรฯ พร้อมครับ พร้อมพิสูจน์ด้วยพยานและหลักฐานอย่างละเอียดว่า ใครเป็นผู้ยั่วยุ ใครเป็นผู้เริ่มทำร้ายก่อน ใครเป็นผู้ก่อเหตุ จนทำให้เราต้อง “ป้องกันตัวเอง” เพราะประชาชนและสื่อมวลชนที่อยู่ในเหตุการณ์ มีภาพเคลื่อนไหว และภาพนิ่งอีกนับไม่ถ้วนที่พร้อมจะนำมาเป็นหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ!
ในฐานะผู้ที่อยู่หลังเวที ภาพที่พี่น้องพันธมิตรฯ ต้องนำหมวกนิรภัย สนับแข้ง-สนับเข่า แว่นตากันเศษหิน รวมไปถึงโล่ประดิษฐ์จากไม้อัดมามอบให้กับบรรดาแกนนำฯ เพื่อส่งต่อให้กับอาสาสมัครหน่วยรักษาความปลอดภัยไปใช้ป้องกันตัวนั้น พูดไปก็น่าตื้นตันใจและบีบให้ต้องรู้สึกสลดหดหู่ในเวลาเดียวกัน
ตื้นตันใจ ก็เพราะตื้นตันในน้ำใจของพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ ที่สละเวลา สละกำลังกาย สละกำลังทรัพย์ เพื่อมาปกป้องคนร่วมอุดมการณ์เดียวกันอย่างไม่รู้จักเหน็ด ไม่รู้จักเหนื่อย ส่วนที่สลดหดหู่ใจก็เพราะหดหู่กับความไร้ประสิทธิภาพและความเลือดเย็นของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
เหตุการณ์ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 25 พฤษภาคม จนถึงเช้าตรู่วันที่ 26 พฤษภาคม ได้พิสูจน์ให้ประชาชนประจักษ์แล้วว่า กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” นอกจากจะประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนแล้ว พวกเขายังประพฤติตนเป็น “ทาส” รับใช้ “รัฐบาลกุ๊ย” ของนายสมัคร สุนทรเวช รวมถึงนายเฉลิม อยู่บำรุง อย่างไม่ลืมหูลืมตาอีกด้วย
หลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงหัวค่ำของวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ตัวผมเองยอมรับและเชื่อด้วยว่าทัศนคติของเพื่อนฝูง รวมไปถึงประชาชนจำนวนไม่น้อยต่อกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากความรู้สึกเดิมที่ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว มาถึงวันนี้ได้กลับกลายเป็น “ติดลบ”
นับจากวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม เป็นต้นมา ผลจากการล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ได้ผลักดันให้กลุ่มผู้ชุมนุมบนถนนราชดำเนินของกลุ่มพันธมิตรฯ เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน โดยสาเหตุที่พวกเขาต้องมาก็เพราะทางหนึ่งเพื่อร่วมแสดงพลังพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และต่อต้านการกระทำที่สั่นคลอนสถาบันหลักทั้งสาม ส่วน อีกทางหนึ่งก็เพื่อปกป้องพ่อ แม่ พี่ น้องร่วมอุดมการณ์ด้วยมือทั้งสองข้างของพวกเขาเอง.