ระบบการศึกษาเกาหลีใต้เสื่อมหนัก ส่งผลให้พ่อแม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเรียนพิเศษให้ลูกปีละหลายตังค์ ยังไม่รวมการส่งลูกไปเรียนเมืองนอก รวมถึงทำให้แดนอารีดังไม่สามารถขึ้นชั้นเวิลด์ลีกด้านการศึกษา แม้เป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 4 ของเอเชีย
กระทรวงศึกษาธิการเกาหลีใต้รับรู้ว่า จุดอ่อนด้านภาษาอังกฤษเป็นปัจจัยหนึ่งที่ฉุดขีดความสามารถแข่งขันของประเทศ โดยหลังจากพรรคอนุรักษนิยมคว้าชัยได้จัดตั้งรัฐบาลในเดือนธันวาคม ได้มีการริเริ่มด้วยการเสนอให้สอนวิชาประวัติศาสตร์เกาหลีเป็นภาษาอังกฤษ
นอกจากนั้น ขณะนี้ มีบริษัทแดนกิมจิอย่างน้อยหนึ่งแห่งที่บังคับให้พนักงานสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ
แต่ละปี พ่อแม่ชาวเกาหลีใต้ที่กังวลเกี่ยวกับการศึกษาของลูก ยอมจ่ายเงินราว 5,000 ล้านดอลลาร์เพื่อส่งลูกไปเรียนเมืองนอก หรือเกือบ 20% ของค่าเทอมตลอดปีการศึกษาของโรงเรียนรัฐบาลทั้งหมด
ในสหรัฐฯ มีนักศึกษาเกาหลีใต้อยู่กว่า 100,000 มากกว่านักศึกษาต่างชาติจากทุกประเทศ
เช่นเดียวกัน ในเกาหลีใต้ เด็กเรียนพิเศษกันหามรุ่งหามค่ำมากกว่าประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ จนเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเด็กนักเรียนบนท้องถนนและระบบขนส่งมวลชนในยามค่ำคืน
กระทรวงศึกษาฯ ประเมินว่าชาวเกาหลีใต้ใช้เงินเป็นค่าเรียนพิเศษสำหรับลูกมากกว่าประเทศเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ถึง 4 เท่า หากวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
กระทรวงศึกษาฯ ยอมรับว่าความเชื่อมั่นที่เสื่อมลงทำให้ประชาชนหันไปพึ่งสถาบันการศึกษาเอกชน ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความแตกต่างมากขึ้นกับระบบการศึกษาของรัฐ
“ปัญหาพื้นฐานคือ ข้อเท็จจริงที่ว่าคนส่วนใหญ่เชื่อว่าความสำเร็จทางการศึกษาเป็นตัวชี้ขาดทุกสิ่งในชีวิต รวมทั้งมุมมองทางวัฒนธรรมว่าระดับการศึกษาอาจทำให้ชีวิตแต่งงานและอาชีพรอดหรือล้มเหลว”
ความหมกมุ่นในเรื่องคุณสมบัติในเกาหลีใต้มีผลถึงขนาดทำให้ในวันสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ตารางลงจอดของเครื่องบินทางทหารและสำนักงานหลายแห่งยอมเลื่อนเวลาการทำงานออกไป เพื่อให้นักเรียนเข้าสอบได้ทันเวลา ไม่ต้องติดอยู่กับชั่วโมงรีบเร่งบนท้องถนนเหมือนทุกวัน
กระนั้น จากการศึกษาของสถาบันการจัดการการพัฒนาระหว่างประเทศในสวิสเซอร์แลนด์ กลับพบว่ามหาวิทยาลัยอารีดังอยู่อันดับเกือบท้ายสุดในตารางการจัดอันดับระบบการศึกษาที่จำเป็นต่อขีดแข่งขันทางเศรษฐกิจทั่วโลก
ด้านรัฐบาลชุดใหม่เตรียมแก้ไขปัญหานี้ด้วยการนำระบบการจัดอันดับโรงเรียน การแข่งขันในหมู่ครูมาใช้ รวมถึงอนุญาตให้มหาวิทยาลัยคัดเลือกนักศึกษาเอง
ทว่า สมาคมครูกลับมองว่ามาตรการเหล่านั้นจะทำให้ปัญหาเลวร้ายลง
เจียงจินวา ประธานสหภาพครูและเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาแห่งเกาหลี เสนอว่า “แทนที่จะให้เด็กเลือกจากตัวเลือก 5 ข้อ เด็กควรได้รับการประเมินจากการเล่น การนำเสนอและวิธีอื่นๆ เราคิดว่าห้องเรียนควรมีแนวทางที่สร้างสรรค์มากกว่าจะมุ่งเน้นปริมาณอย่างเดียว”
อย่างไรก็ดี นักการศึกษาเห็นว่าครูก็ต้องเปลี่ยนตัวเองด้วย
มุนยองลิน จากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยโซล และอดีตรัฐมนตรีศึกษาฯ ช่วงสั้นๆ ชี้ว่าครูเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหา โดยครูควรยอมรับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ปัจจุบัน พ่อแม่โหวตด้วยเงินในบัญชี ทุ่มเทเงินทองมากขึ้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกจะมีโอกาสไต่เต้าบันไดการศึกษาและมีที่ทางในสังคม
คังจีฮุนยอมเสียเงินเดือนละ 800 ดอลลาร์ ส่งลูกสาววัย 5 ขวบเข้าโรงเรียนอนุบาลที่พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งถือว่าแพงมากสำหรับการศึกษาก่อนวัยเรียน
“ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ทำงานที่นี่ คนที่ภาษาอังกฤษดีมักมีโอกาสที่ดีในสังคม”
กระทรวงศึกษาธิการเกาหลีใต้รับรู้ว่า จุดอ่อนด้านภาษาอังกฤษเป็นปัจจัยหนึ่งที่ฉุดขีดความสามารถแข่งขันของประเทศ โดยหลังจากพรรคอนุรักษนิยมคว้าชัยได้จัดตั้งรัฐบาลในเดือนธันวาคม ได้มีการริเริ่มด้วยการเสนอให้สอนวิชาประวัติศาสตร์เกาหลีเป็นภาษาอังกฤษ
นอกจากนั้น ขณะนี้ มีบริษัทแดนกิมจิอย่างน้อยหนึ่งแห่งที่บังคับให้พนักงานสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ
แต่ละปี พ่อแม่ชาวเกาหลีใต้ที่กังวลเกี่ยวกับการศึกษาของลูก ยอมจ่ายเงินราว 5,000 ล้านดอลลาร์เพื่อส่งลูกไปเรียนเมืองนอก หรือเกือบ 20% ของค่าเทอมตลอดปีการศึกษาของโรงเรียนรัฐบาลทั้งหมด
ในสหรัฐฯ มีนักศึกษาเกาหลีใต้อยู่กว่า 100,000 มากกว่านักศึกษาต่างชาติจากทุกประเทศ
เช่นเดียวกัน ในเกาหลีใต้ เด็กเรียนพิเศษกันหามรุ่งหามค่ำมากกว่าประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ จนเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเด็กนักเรียนบนท้องถนนและระบบขนส่งมวลชนในยามค่ำคืน
กระทรวงศึกษาฯ ประเมินว่าชาวเกาหลีใต้ใช้เงินเป็นค่าเรียนพิเศษสำหรับลูกมากกว่าประเทศเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ถึง 4 เท่า หากวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
กระทรวงศึกษาฯ ยอมรับว่าความเชื่อมั่นที่เสื่อมลงทำให้ประชาชนหันไปพึ่งสถาบันการศึกษาเอกชน ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความแตกต่างมากขึ้นกับระบบการศึกษาของรัฐ
“ปัญหาพื้นฐานคือ ข้อเท็จจริงที่ว่าคนส่วนใหญ่เชื่อว่าความสำเร็จทางการศึกษาเป็นตัวชี้ขาดทุกสิ่งในชีวิต รวมทั้งมุมมองทางวัฒนธรรมว่าระดับการศึกษาอาจทำให้ชีวิตแต่งงานและอาชีพรอดหรือล้มเหลว”
ความหมกมุ่นในเรื่องคุณสมบัติในเกาหลีใต้มีผลถึงขนาดทำให้ในวันสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ตารางลงจอดของเครื่องบินทางทหารและสำนักงานหลายแห่งยอมเลื่อนเวลาการทำงานออกไป เพื่อให้นักเรียนเข้าสอบได้ทันเวลา ไม่ต้องติดอยู่กับชั่วโมงรีบเร่งบนท้องถนนเหมือนทุกวัน
กระนั้น จากการศึกษาของสถาบันการจัดการการพัฒนาระหว่างประเทศในสวิสเซอร์แลนด์ กลับพบว่ามหาวิทยาลัยอารีดังอยู่อันดับเกือบท้ายสุดในตารางการจัดอันดับระบบการศึกษาที่จำเป็นต่อขีดแข่งขันทางเศรษฐกิจทั่วโลก
ด้านรัฐบาลชุดใหม่เตรียมแก้ไขปัญหานี้ด้วยการนำระบบการจัดอันดับโรงเรียน การแข่งขันในหมู่ครูมาใช้ รวมถึงอนุญาตให้มหาวิทยาลัยคัดเลือกนักศึกษาเอง
ทว่า สมาคมครูกลับมองว่ามาตรการเหล่านั้นจะทำให้ปัญหาเลวร้ายลง
เจียงจินวา ประธานสหภาพครูและเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาแห่งเกาหลี เสนอว่า “แทนที่จะให้เด็กเลือกจากตัวเลือก 5 ข้อ เด็กควรได้รับการประเมินจากการเล่น การนำเสนอและวิธีอื่นๆ เราคิดว่าห้องเรียนควรมีแนวทางที่สร้างสรรค์มากกว่าจะมุ่งเน้นปริมาณอย่างเดียว”
อย่างไรก็ดี นักการศึกษาเห็นว่าครูก็ต้องเปลี่ยนตัวเองด้วย
มุนยองลิน จากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยโซล และอดีตรัฐมนตรีศึกษาฯ ช่วงสั้นๆ ชี้ว่าครูเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหา โดยครูควรยอมรับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ปัจจุบัน พ่อแม่โหวตด้วยเงินในบัญชี ทุ่มเทเงินทองมากขึ้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกจะมีโอกาสไต่เต้าบันไดการศึกษาและมีที่ทางในสังคม
คังจีฮุนยอมเสียเงินเดือนละ 800 ดอลลาร์ ส่งลูกสาววัย 5 ขวบเข้าโรงเรียนอนุบาลที่พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งถือว่าแพงมากสำหรับการศึกษาก่อนวัยเรียน
“ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ทำงานที่นี่ คนที่ภาษาอังกฤษดีมักมีโอกาสที่ดีในสังคม”