ผู้จัดการรายวัน – “วีระศักดิ์” เร่งผลักดันโครงการริเวียร่า หวั่นสะดุดเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ผนึกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นโครงการที่มีพ.ร.บ.ฯรองรับ คาดต้องใช้งบ 31,000 ล้านบาทในการพัฒนา
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงฯมีแผนที่จะผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ใน 4 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ประกอบด้วย เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง หรือโครงการริเวียร่า ให้เป็นโครงการที่มีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) รองรับ โดยอยู่ในพรบ.นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ซึ่งจะร่วมงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กรมขนส่งทางน้ำ กรมการขนส่งทางอากาศ เป็นต้น เพื่อไม่ให้โครงการนี้ต้องล่าช้าหรือชะลอออกไปอีก เนื่องจากว่า เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลทีใดก็จะชะงักทุกที
ทั้งนี้วางแผนการดำเนินงานไว้ 2 ส่วนคือ 1.การผลักดันให้โครงการนี้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป เพื่อขอให้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ 2. จะต้องแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีก 3 ชุด ประกอบด้วย ภาครัฐ เอกชน องค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งได้สั่งการให้ นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไปดำเนินการ
“จริงๆแล้ว โครงการนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2549 แต่ก็สะดุดลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งต่อไปนี้หลังจากตั้งคณะกรรมการแล้ว จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ในการรวบรวบข้อมูลเพื่อจัดทำรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบางส่วนเพื่อความเหมาะสมกับเวลาที่เปลี่ยนไป”
อย่างไรก็ตาม การผลักดันให้มีกฎหมายรองรับโครงการนี้ คงอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน กว่าที่จะผ่านการพิจารณาและการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน
สำหรับสิ่งที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติมจากแผนงานเดิมนั้นในเบื้องต้นเช่น การพัฒนาระบบการขนส่งทางอากาศ เพราะว่ากระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างการพิจารณานำสนามบินภูมิภาค 26 แห่งมาพัฒนาใหม่ และมีการพัฒนาการขนส่งทางรถไฟด้วย ซึ่งเมื่อสำเร็จจะทำให้โครงการริเวียร่ามีการคมนาคมขนส่งที่ครบวงจรมากขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าวมีนักลงทุนจากต่างประเทศทั้งจากญี่ปุ่น เกาหลี ให้ความสนใจลงทุนสินค้าทางการท่องเที่ยวทางน้ำอย่างมาก ซึ่งเมื่อโครงการนี้สำเร็จจะทำให้การคมนาคมขนส่งเกิดความครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถเชื่อมโยงพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวภาคตะวันออกได้ดีขึ้นคือ ระยอง จันทบุรี ตราด ชลบุรี จะสามารถดึงนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์เข้ามามากขึ้นด้วย
ในเบื้องต้นคาดว่าโครงการนี้คงจะต้องใช้งบประมาณกว่า 31,000 ล้านบาท ซึ่งภาครัฐจะออกงบประมาณให้ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ส่วนที่เหลืออีกกว่า 21,000 ล้านบาทนั้น จะแบ่งการลงทุนออกเป็น 2 ส่วนคือ ภาครัฐภาคเอกชน
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงฯมีแผนที่จะผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ใน 4 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ประกอบด้วย เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง หรือโครงการริเวียร่า ให้เป็นโครงการที่มีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) รองรับ โดยอยู่ในพรบ.นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ซึ่งจะร่วมงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กรมขนส่งทางน้ำ กรมการขนส่งทางอากาศ เป็นต้น เพื่อไม่ให้โครงการนี้ต้องล่าช้าหรือชะลอออกไปอีก เนื่องจากว่า เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลทีใดก็จะชะงักทุกที
ทั้งนี้วางแผนการดำเนินงานไว้ 2 ส่วนคือ 1.การผลักดันให้โครงการนี้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป เพื่อขอให้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ 2. จะต้องแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีก 3 ชุด ประกอบด้วย ภาครัฐ เอกชน องค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งได้สั่งการให้ นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไปดำเนินการ
“จริงๆแล้ว โครงการนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2549 แต่ก็สะดุดลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งต่อไปนี้หลังจากตั้งคณะกรรมการแล้ว จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ในการรวบรวบข้อมูลเพื่อจัดทำรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบางส่วนเพื่อความเหมาะสมกับเวลาที่เปลี่ยนไป”
อย่างไรก็ตาม การผลักดันให้มีกฎหมายรองรับโครงการนี้ คงอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน กว่าที่จะผ่านการพิจารณาและการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน
สำหรับสิ่งที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติมจากแผนงานเดิมนั้นในเบื้องต้นเช่น การพัฒนาระบบการขนส่งทางอากาศ เพราะว่ากระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างการพิจารณานำสนามบินภูมิภาค 26 แห่งมาพัฒนาใหม่ และมีการพัฒนาการขนส่งทางรถไฟด้วย ซึ่งเมื่อสำเร็จจะทำให้โครงการริเวียร่ามีการคมนาคมขนส่งที่ครบวงจรมากขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าวมีนักลงทุนจากต่างประเทศทั้งจากญี่ปุ่น เกาหลี ให้ความสนใจลงทุนสินค้าทางการท่องเที่ยวทางน้ำอย่างมาก ซึ่งเมื่อโครงการนี้สำเร็จจะทำให้การคมนาคมขนส่งเกิดความครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถเชื่อมโยงพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวภาคตะวันออกได้ดีขึ้นคือ ระยอง จันทบุรี ตราด ชลบุรี จะสามารถดึงนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์เข้ามามากขึ้นด้วย
ในเบื้องต้นคาดว่าโครงการนี้คงจะต้องใช้งบประมาณกว่า 31,000 ล้านบาท ซึ่งภาครัฐจะออกงบประมาณให้ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ส่วนที่เหลืออีกกว่า 21,000 ล้านบาทนั้น จะแบ่งการลงทุนออกเป็น 2 ส่วนคือ ภาครัฐภาคเอกชน