xs
xsm
sm
md
lg

บังเอิญเหลือเชื่อทุบ“พนมรุ้ง”ครบ 3 ปี ครม.สัญจรบนปราสาทหิน “หมัก”ส่อตายน้ำตื้น “ชิมไปฯ”ทำพัง- “จักรภพ”ร่อแร่เอ็นบีที-สปีชฉาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ชี้เหตุสุดบังเอิญ คนร้ายบุกทุบสิ่งศักดิ์บนเขาพนมรุ้ง ตรงกับวันครบรอบ 3 ปี รัฐบาลทักษิณประชุมครม.สัญจรครั้งอื้อฉาวกลางปราสาทหิน และต่อเนื่องจากพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเอิกเกริกที่ จ.นครศรีธรรมราชของน้อยเขยทักษิณ เชื่อ “สมัคร” ส่อตายน้ำตื้นจากการจัด “ชิมไปบ่นไป” ด้าน “จักรภพ” ร่อแร่ไม่แพ้กัน หลังโดนสอบทำผิด กม.ฮั้วในเอ็นบีที–สปีชภาษาอังกฤษหมิ่นสถาบัน

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 20 พฤษภาคม นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ระบบสรรหา และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ โดยในช่วงแรก ได้กล่าวถึงกรณีคนร้ายไม่ทราบจำนวนบุกขึ้นไปทุบทำลายเศียรพญานาคบริเวณสะพานนาคราช ทางขึ้นบันไดปราสาทพนมรุ้ง จำนวน 11 เศียร ทำลายใบหน้าสิงห์ รูปปั้นโคนนทิ และย้ายศิวลึงค์ออกจากฐานว่า ตามข่าวที่ปรากฏนั้น กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องของวัยรุ่มมือบ่อน หรือหัวขโมยธรรมดา แน่นอน เพราะมีการทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียหายย่อยยับหลายชิ้น

ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ พบว่าบริเวณลานดอกบัว 8 กลีบ ของสะพานนาคราชชั้นที่ 1 มีแก้วน้ำ และบุหรี่คล้ายเครื่องเซ่นไหว้วางอยู่ ซึ่งคาดว่าคนร้ายจะทำพิธีขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนลงมือทุบทำลาย โดยใช้ของแข็งทุบข้อมือทวารบาล ซึ่งเป็นเป็นเทพบริวารที่ยืนอยู่หน้าประตูปราสาททางทิศใต้ แล้วนำเอามือทั้งสองข้างของทวารบาล ไปทุบทำลายใบหน้าสิงห์ ที่อยู่บันไดทางขึ้นด้านทิศตะวันตกของปราสาท 2 ตัว และเศียรนาคบนปราสาท จากนั้นได้ทุบ ปาก หู เขาโคนนทิ ที่อยู่ในปรางค์ปราสาทแตกกระจุยกระจาย โดยเป็นการทุบทำลายจากด้านบนลงมาด้านล่าง

จากการสังเกตร่องรอยวิธีการทุบจะเป็นการทุบจากด้านซ้ายตามเข็มนาฬิกาแทบทุกตัว โดยกรของทวารบาล พบตกอยู่บริเวณเศียรนาคหน้าปราสาท 1 ข้าง และอยู่บันไดหน้าปราสาทด้านทิศตะวันออกชั้นแรกอีก 1 ข้าง พฤติกรรมเยี่ยงนี้ คนธรรมดาคงไม่กล้าทำแน่ ต้องเป็นที่มีความกล้า และรู้เรื่องไสยศาสตร์เป็นอย่างดีถึงกล้าเข้าไปทุบทำลายในช่วงเวลากลางคืน

ขณะเดียวกันมันก็ช่างมีความบังเอิญ ที่การทุบทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ มีช่วงวันเวลาที่ใกล้เคียงกับวันที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้จัดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ที่ปราสาทพนมรุ้ง เมื่อวันที่ 17 -18 พ.ค.2548 การประชุมในครั้งนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมเป็นอย่างมาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ก็เคยนำไปท้วงติงในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ครั้งที่ยังจัดอยู่ที่ช่อง 9 มาแล้ว แต่ก็ไม่รับความสนใจจากรัฐบาล

นอกจากนี้ยังมีความบังเอิญตรงที่ทั้งสองเหตุการณ์จะเกิดขึ้นหลัง 1 เดือน ของเหตุการณ์วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 หรือเมื่อวันที่ 19 เม.ย.51 ที่ผ่านมา ซึ่งดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกับช่องประตูทั้งหมดของปราสาทพนมรุ้ง ทั้งสองเหตุการณ์จึงเป็นการกระทำที่จงใจ มีการเตรียมการ แต่ปัญหาอยู่ที่ ใครคือคนทำ และทำเพื่ออะไร คงไม่ใช่คนไหน นึกอยากจะทำก็ทำได้ การกระทำต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนทำจะต้องมีขวัญและจิตใจที่กล้าหาญมาก ต้องมีความเชื่อมั่น หรือไม่ก็ต้องเป็นจ้าวพิธีกรรม

กังขา‘สมชาย-เจ๊แดง’บวงสรวงใหญ่ที่เมืองคอนเพื่อใคร

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการเดินสายทำบุญสักการะบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายจุดที่ จ.นครศรีธรรมราช ของนายสมชาย วงสวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยนางเยาวภา วงสวัสดิ์ ภรรยา และครอบครัวตระกูลชินวัตร ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์มาก พฤติกรรมของนายสมชาย ถูกตั้งคำถามว่ามาในฐานะใด มาในฐานะรองนายกรัฐมนตรี รมว.ศึกษาธิการ หรือมาในฐานะของน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ

ขณะเดียวกันพฤติกรรมในการทำพิธีก็ผิดแปลกแหวกแนวไปจากคนธรรมดาปฏิบัติ การเดินกลับบ้านเกิดของนายสมชาย ก็มีข้อสังเกต ทั้งการจัดงานที่ออกจะเอิกเกริก การยิงปืนสลุต 21 นัดหลังจากทำพิธีที่วัดเขาขุนพนม มีการตระเตรียมพิธีการล่วงหน้า การเปลี่ยนกำหนดการเดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่จากเดิมจะลงจากเครื่องช่วงบ่ายแล้วไปเยี่ยมโรงเรียนต่างๆ ก็เปลี่ยนเป็นลงเครื่องช่วงเช้าแล้วทำพิธีต่างๆ จนครบ นอกจากนี้ยังมีความตั้งใจไปเข้าร่วม โดยเตรียมเสื้อขาวมาร่วมพิธี บ่งบอกถึงสิ่งสำคัญในการทำพิธีอีกด้วย

เหยียบแท่นหลักเมือง-ยิงสลุตไม่เหมาะสม

นอกจากนี้ในระหว่างการทำพิธีสักการะองค์หลักเมือง นายสมชาย ยังแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ด้วยการขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นหินแกรนิต ที่ประดิษฐานขององค์หลักเมือง จากนั้นใช้ผ้าดิ้นเงินดิ้นทองผูกบริเวณครอบแก้ว ที่ครอบองค์หลักเมืององค์จริงไว้ ซึ่งภายในครอบแก้วมีผ้าแพรสีชมพู ที่สมเด็จพระบรมโอสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ทรงผูกไว้ ในการเสด็จเป็นองค์ประธานพิธีเปิดศาลหลักเมืองเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่นายสมชาย กลับนำผ้าไปผูกทับอีกชั้นจึงไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง และภายหลังเจ้าหน้าที่ได้นำผ้าดิ้นเงินดิ้นทองของนายสมชายออก

นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า การยิงสลุตด้วยปืนนั้น จะใช้เฉพาะพิธีการสำหรับบุคคลสำคัญระดับประมุขของรัฐเท่านั้น ซึ่งข่าวนี้ ไม่ใช่ “ผู้จัดการ” ที่รายงานฉบับเดียว แต่ มติชน และไทยโพสต์ก็รายงานด้วย ถ้าเป็นไปตามข่าวรายงานจริง ก็ไม่ทราบว่าคนที่ทำกำลังคิดอะไรอยู่

นอกจากนี้ การไปบวงสรวงพระเจ้าตากที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เกี่ยวข้องหรือไม่กับตำนานความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไม่ได้ถูกประหารชีวิตจริง แต่ได้ทรงให้พระญาติถูกประหารแทนแล้วพระองค์ทรงหลบมาทรงผนวชอยู่ที่วัดเขาขุนพนม

ขณะเดียวกัน ยังพบว่า ในเว็บไซต์ของกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลายคนได้อุปโลกน์ตัวเองเป็นไพร่พลของพระเจ้าตาก หรือมีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้าตาก เช่น พระยาพิชัยดาบหัก ท่อนจันทน์ เป็นต้น ขณะที่บางคนก็เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นพระเจ้าตากกลับชาติมาเกิด เพราะชื่อภาษาอังกฤษคำว่าทักษิณ (Thaksin) กับตากสิน (Taksin) นั้นเขียนคล้ายๆ กัน เรื่องทั้งหมดนี้ อาจจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มันบังเอิญอย่างมากที่มาเกิดขึ้นใกล้ๆ กันในช่วงนี้

วันที่ 17 พ.ค.นายสมชาย และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ไปทำพิธีที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมาวันที่ 19 ก.ค.เกิดเหตุการณ์ทุบทำลายเทวรูปที่ประสาทหินพนมรุ้ง ซึ่งคนทำจะมีวัตถุประสงค์อะไรนั้น คนที่เป็นเจ้าพิธีเท่านั้นถึงจะรู้ ส่วนกรณีที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้สัมภาษณ์ว่าตนเดินทางไปจังหวัดนครศรีธรรมราชในวันดังกล่าวเพื่อไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนเฉยๆ ส่วนข่าวที่ออกมาเป็นการให้ร้ายตนนั้น ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า ข่าวๆ นี้มีการรายงานผ่านสื่อหลายฉบับ และจุดที่น่าสงสัยคือ หากแค่ไปตรวจงานทำไมต้องทำพิธีกรรมต่างๆ ใหญ่โตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“หมัก”ส่อตายน้ำตื้น

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ถูกร้องเรียนว่าการเป็นพิธีกรดำเนินรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยงหกโมงเช้า” อาจจะเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 267 ว่า ล่าสุด คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนกรณีดังกล่าวแล้ว โดย มาตรา 267 นั้น ระบุว่า นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใดก็มิได้ด้วย

ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องตีความวินิจฉัยคือ การเป็น “ลูกจ้าง” ส่วนกรณีที่นายสมัคร ได้ยุติการจัดรายการไปแล้วนั้น นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ให้ความเห็นว่า การดำรงตำแหน่งในนิติบุคคลนั้น เมื่อเป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรีต้องลาออกภายใน 1 เดือน ถ้าไม่ลาออกก็ถือว่าผิด

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายสมัคร ทำไม่ถูกต้องมาตั้งแต่ต้น ถ้าจะเป็นนายกฯ ก็เป็นนายกฯ อย่างเดียว จะทำธุรกิจก็ทำแต่ธุรกิจ เพราะมาตรานี้ คนร่างรัฐธรรมนูญต้องการไม่ให้นายกไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจ นายสมัคร ทำรายการมาก่อนก็จริง แต่เมื่อเป็นนายกฯ ก็ต้องเลิก แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 16 ก.พ. หลังจากรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ แล้ว ก็ได้เปิดบ้านตัวเองเพื่อบันทึกเทปรายการชิมไปบ่นไป และยกโขยงหกโมงเช้า ที่หลังบ้านตัวเอง

หลังจากนั้น บริษัทเฟซมีเดีย ที่เป็นเจ้าของรายการ ได้จัดมหกรรมอร่อยทั่วแผ่นดิน 7 ปีชิมไปบ่นไปที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 24 ก.พ.51 มีการเชิญนายสมัคร ในฐานะนายกฯ ไปเปิดงาน และทำอาหารโชว์ มีการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าให้ไปดู นายสมัครทำข้าวผัดสัมพันธมิตร มีการขายบูทในงาน ให้โอนเงินเข้าบัญชีของนายศักดิ์ชัย แก้ววันดีสกุล

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า นายสมัคร อ้างว่ารัฐธรรมนูญไม่ห้ามนายกฯ ทำอาหาร ซึ่งก็ใช่ แต่ก็ห้ามเป็นลูกจ้าง ห้ามทำธุรกิจ นายสมัครอาจจะอ้างว่าไม่ใช่ลูกจ้าง แค่รับจ้าง แต่ก็ต้องดูเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญว่าเป็นอย่างไร แต่กรณีนี้ มองว่า เป็นปลาใหญ่ตายน้ำตื้น

ทั้งนี้ คนที่ยื่นต่อเรื่องดังกล่าวต่อ กกต. และ ป.ป.ช. คือนายเรืองไกร ลือกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ซึ่งเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบมาก และเคยยื่นเรื่องภาษีหุ้นมาแล้ว กรณีนี้ไม่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ กกต.สามารถตัดสินได้เลย และขึ้นอยู่กับข้อมูลที่อนุกรรมการสรุปมา นายสมัคร คงเห็นประเด็นจึงได้หยุดจัดรายการ แต่ถ้าผิด ก็ถือว่าความผิดสำเร็จไปแล้ว ต้องพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ กกต.ชี้ขาด

“เพ็ญ”อาการร่อแร่

สำหรับจักรภพ เพ็ญแข รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ก็อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นกัน เพราะกำลังถูกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจสอบกรณีจ้างบริษัทดิจิตอลมีเดีย ทำรายการข่าวให้กับสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งเบื้องต้นพบว่า มีการทำอย่างรวบรัดจนเกินไป บริษัทที่เสนองานมีที่ตั้งอยู่ที่เดียวกัน โทรศัพท์หมายเลขเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงกำลังพิจารณาว่าจะผิดกฎหมายป้องกันการฮั้วหรือไม่

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า กรณีนายจักรภพ คงเป็นต่อไปได้ยาก เพราะยังมีกรณีปาฐกถาภาษาอังกฤษที่ชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อวันที่ 29 ส.ค.50 ซึ่งขณะนี้ทั้งภาษาอังกฤษ และคำแปลถูกเผยแพร่ออกไปมากแล้ว ล่าสุด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ก็บอกว่าเนื้อหาไม่เหมาะสม

นายจักรภพ จะอ้างว่าเมียทหารเป็นคนเอาคำแปลออไปเผยแพร่ หรือจะอย่างไรก็แล้วแต่ ต้นฉบับที่นายจักรภพ พูดทั้งเทป และซีดีมีอยู่แล้ว อยากให้เอามาออกอากาศให้คนทั้งประเทศได้ตัดสิน เพราะถ้านายจักรภพ แปลเอง ก็จะถูกครหาว่าแปลเข้าข้างตัวเอง แต่ถ้าคนอื่นแปลนายจักรภพ ก็อ้างว่าแปลหาเรื่อง

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวย้ำว่า ทั้งนายสมัคร และนายจักรภพ ขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก และทำให้ พล.อ.ชวลิต โดดเด่นขึ้นมา แม้ พล.อ.ชวลิต จะอ้างว่าตนไปเป็นนายกฯ ไมได้เพราะไม่ได้เป็น ส.ส. แต่ถ้ามีการยุบสภา พรรคพลังประชานต้องหาหัวหน้าพรรคใหม่ และจะเป็นโอกาสของ พล.อ.ชวลิต ซึ่งในความเป็นจริงถูกทาบทามเป็นหัวหน้าพรรคก่อนนายสมัครด้วยซ้ำ

“รัฐบาล ขณะนี้สถานภาพร่อแร่มา ทั้งนายก และรัฐมนตรีสำนักนายกฯ สุดท้ายสถานการณ์จะพลิกผันอย่างไร พล.อ.ชวลิต จะสมหวังหรือไม่ในอนาคตอันใกล้ ต้องติดตามต่อไป”ผู้ดำเนินรายการ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น