ผู้จัดการรายวัน - ผลิตไฟฟ้า ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 30% ทุ่มทุนประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีในเวียดนาม มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ พร้อมเจรจาซื้อหุ้น "สีหนุวิลล์" อีก 50% ด้วยวงเงิน 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในประเทศเน้นพัฒนาโรงไฟฟ้าหมุนเวียนรวม 2 โครงการมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท
นายวิศิษฎ์ อัครวิเนค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ ว่า บริษัทมีแผนการดำเนินงานด้วยการเข้าร่วมทุนโรงไฟฟ้าในประเทศแถบอาเซียนมากขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมยื่นซองประมูลโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือ IPP ในประเทศเวียดนามสำหรับโครงการ NGHI SON ขนาดกำลังผลิต 1,200 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับโครงการ NGHI SON นั้น มีบริษัทคู่แข่งที่ยื่นประมูลเป็นจำนวนมาก ทั้งจากประเทศญี่ปุ่น และประเทศแถบตะวันตก ขณะที่ EGCO ได้ร่วมทุนกับบริษัท วันเอ็นเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทคู่ค้าในประเทศเวียดนาม โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 25%, 60% และ 15% ตามลำดับ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถทราบผลการประมูลภายในปลายปี 2551 นี้
พร้อมกันนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อหุ้นโครงการสีหนุวิลล์ ในสัดส่วน 40-50% โดยเป็นโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 255 เมกะวัตต์ ซึ่งการลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 120-130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้เช่นกัน
ส่วนความคืบหน้าโครงการในประเทศลาวนั้น นายวิศิษฏ์ กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือ PPA กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายในปลายปีนี้ ก่อนจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 2/2552 และจะเริ่มรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 2557 หรือช่วงต้นปี 2558
ปัจจุบัน EGCO มีการลงทุนในประเทศลาวจำนวน 3 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 1 โครงการ และอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างเจรจา ประกอบด้วยน้ำเทิน 2 โดยก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 85% เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ปลายปี 2552 และโครงการน้ำอู อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร เบื้องต้นคาดว่า EGCO จะลงทุนในสัดส่วน 20%
ขณะที่โครงการต่างๆ ในประเทศไทยนั้น บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย กำลังการผลิตติดตั้ง 35 เมกะวัตต์ มูลค่า 1.8 พันล้านบาท และโครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 20 เมกะวัตต์ มูลค่า 1.5 พันล้านบาท
โดยล่าสุด บริษัทได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และบริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC เพื่อศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายเล็ก หรือ SPP ขนาดกำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง มูลค่า 1 พันล้านบาท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น EGCO, PTT, และ TRC คิดเป็น 35%, 35% และ 30% ตามลำดับ
"การขยายการลงทุนเข้าไปในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการน้ำเทิน 2 โครงการน้ำอู โครงการสีหนุวิลล์ และโครงการ NGHI SON บริษัทต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มีจากต่างประเทศ ดังนั้นหากบริษัทสามารถเข้าร่วมโครงการตามที่ตั้งเป้าไว้จะทำให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปี 2552 เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% ของรายได้รวมทั้งหมด แต่หลังจากสัดส่วนรายได้เกิน 30% และบริษัทคงจะกลับมาทบทวนและพิจารณาถึงความคุ้มค่าและความเหมาะสมของผลตอบแทนของแต่ละโครงการอีกครั้งหนึ่ง"
นายวิศิษฎ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงไตรมาส 4/51 บริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงไฟฟ้าระยองเป็นเวลา 50 วัน และยังมีการซ่อมย่อยอีก 20 วันที่จะกระจายไปในแต่ละไตรมาส รวมทั้งยังจะปิดซ่อมย่อยโรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้นประมาณ 788 ล้านบาท
"การปิดซ่อมบำรุงใหญ่ในไตรมาส 4 อาจจะกระทบต่อรายได้บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเป็นไปตามแผนการปิดซ่อมบำรุงประจำปี ไม่เกี่ยวกับรายได้และกำไรที่บริษัทได้ตั้งเป้าไว้ล่วงหน้าแล้ว"
ทั้งนี้ ในปี 51 บริษัทยังคงตั้งเป้ารายได้และกำไรเติบโตจากปีก่อนประมาณ 10% ขณะที่ไตรมาสแรกที่ผ่านมารายได้และกำไรสุทธิดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้เล็กน้อย เนื่องจากโรงไฟฟ้าระยองและโรงไฟฟ้าขนอมสร้างรายได้ที่ดี แม้จะใกล้หมดอายุสัญญากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในปี 57 สำหรับโรงไฟฟ้าระยอง และในปี 56 สำหรับโรงไฟฟ้าขนอม
"บริษัทคงเป้ารายได้และกำไรโตเฉลี่ยทั้งปี 10% เพราะอาจจะมีบางไตรมาสมีรายได้และกำไรต่ำกว่าเป้า โดยเฉพาะในไตรมาส 4 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจไฟฟ้า และมีการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าระยองประมาณ 50 วัน ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง และคาดว่าจะทำให้กำไรในช่วงดังกล่าวลดลงเล็กน้อย"
นายวิศิษฎ์ อัครวิเนค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ ว่า บริษัทมีแผนการดำเนินงานด้วยการเข้าร่วมทุนโรงไฟฟ้าในประเทศแถบอาเซียนมากขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมยื่นซองประมูลโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือ IPP ในประเทศเวียดนามสำหรับโครงการ NGHI SON ขนาดกำลังผลิต 1,200 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับโครงการ NGHI SON นั้น มีบริษัทคู่แข่งที่ยื่นประมูลเป็นจำนวนมาก ทั้งจากประเทศญี่ปุ่น และประเทศแถบตะวันตก ขณะที่ EGCO ได้ร่วมทุนกับบริษัท วันเอ็นเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทคู่ค้าในประเทศเวียดนาม โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 25%, 60% และ 15% ตามลำดับ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถทราบผลการประมูลภายในปลายปี 2551 นี้
พร้อมกันนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อหุ้นโครงการสีหนุวิลล์ ในสัดส่วน 40-50% โดยเป็นโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 255 เมกะวัตต์ ซึ่งการลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 120-130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้เช่นกัน
ส่วนความคืบหน้าโครงการในประเทศลาวนั้น นายวิศิษฏ์ กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือ PPA กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายในปลายปีนี้ ก่อนจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 2/2552 และจะเริ่มรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 2557 หรือช่วงต้นปี 2558
ปัจจุบัน EGCO มีการลงทุนในประเทศลาวจำนวน 3 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 1 โครงการ และอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างเจรจา ประกอบด้วยน้ำเทิน 2 โดยก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 85% เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ปลายปี 2552 และโครงการน้ำอู อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร เบื้องต้นคาดว่า EGCO จะลงทุนในสัดส่วน 20%
ขณะที่โครงการต่างๆ ในประเทศไทยนั้น บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย กำลังการผลิตติดตั้ง 35 เมกะวัตต์ มูลค่า 1.8 พันล้านบาท และโครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 20 เมกะวัตต์ มูลค่า 1.5 พันล้านบาท
โดยล่าสุด บริษัทได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และบริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC เพื่อศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายเล็ก หรือ SPP ขนาดกำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง มูลค่า 1 พันล้านบาท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น EGCO, PTT, และ TRC คิดเป็น 35%, 35% และ 30% ตามลำดับ
"การขยายการลงทุนเข้าไปในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการน้ำเทิน 2 โครงการน้ำอู โครงการสีหนุวิลล์ และโครงการ NGHI SON บริษัทต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มีจากต่างประเทศ ดังนั้นหากบริษัทสามารถเข้าร่วมโครงการตามที่ตั้งเป้าไว้จะทำให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปี 2552 เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% ของรายได้รวมทั้งหมด แต่หลังจากสัดส่วนรายได้เกิน 30% และบริษัทคงจะกลับมาทบทวนและพิจารณาถึงความคุ้มค่าและความเหมาะสมของผลตอบแทนของแต่ละโครงการอีกครั้งหนึ่ง"
นายวิศิษฎ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงไตรมาส 4/51 บริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงไฟฟ้าระยองเป็นเวลา 50 วัน และยังมีการซ่อมย่อยอีก 20 วันที่จะกระจายไปในแต่ละไตรมาส รวมทั้งยังจะปิดซ่อมย่อยโรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้นประมาณ 788 ล้านบาท
"การปิดซ่อมบำรุงใหญ่ในไตรมาส 4 อาจจะกระทบต่อรายได้บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเป็นไปตามแผนการปิดซ่อมบำรุงประจำปี ไม่เกี่ยวกับรายได้และกำไรที่บริษัทได้ตั้งเป้าไว้ล่วงหน้าแล้ว"
ทั้งนี้ ในปี 51 บริษัทยังคงตั้งเป้ารายได้และกำไรเติบโตจากปีก่อนประมาณ 10% ขณะที่ไตรมาสแรกที่ผ่านมารายได้และกำไรสุทธิดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้เล็กน้อย เนื่องจากโรงไฟฟ้าระยองและโรงไฟฟ้าขนอมสร้างรายได้ที่ดี แม้จะใกล้หมดอายุสัญญากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในปี 57 สำหรับโรงไฟฟ้าระยอง และในปี 56 สำหรับโรงไฟฟ้าขนอม
"บริษัทคงเป้ารายได้และกำไรโตเฉลี่ยทั้งปี 10% เพราะอาจจะมีบางไตรมาสมีรายได้และกำไรต่ำกว่าเป้า โดยเฉพาะในไตรมาส 4 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจไฟฟ้า และมีการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าระยองประมาณ 50 วัน ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง และคาดว่าจะทำให้กำไรในช่วงดังกล่าวลดลงเล็กน้อย"