ปชป. เปิดโปงเว็บไซต์จาบจ้วงสถาบันฯ ผู้มีอิทธิพลสนับสนุนก่อตั้งองค์กร “สำนักคิดไทยใหม่” หาสมาชิกแบบแชร์ลูกโซ่ เชิญชวนบริจาคเงินสมทบ จี้ “หมัก” ต้องตัดไฟแต่ต้นลม พิสูจน์เลือดสีน้ำเงิน ด้าน “พลังแม้ว” ยังอุ้ม “เพ็ญ” อัด “กุเทพ” ที่ให้ข่าวแบบไม่ปกป้องพวกพ้อง ปัดข่าวดัน “บิ๊กจิ๋ว” เป็นนายกฯ แทน “ลูกกรอกหมัก” ด้าน “ตือ” บอกถ้า “บิ๊กจิ๋ว” จะเป็นนายกฯ ต้องรอเลือกตั้งครั้งใหม่
วานนี้ (18 พ.ค.)นายศิริโชค โสภากรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ได้พบเว็บไซต์http://2519me.com/Memyself/Tomorrow_Me/Timefiles/tomorrowme35.htm ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ความคิดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พูดว่ามีขบวนการในการ “ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” น่าจะเป็นความจริง เพราะตนได้ค้นพบโดยบังเอิญว่า มีกระบวนการในเว็บไซต์นี้ ตรงกับแนวความคิดของ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี ที่ไปบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2550
โดยเนื้อหาหลัก คือ ไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่ต้องการคนใดคนหนึ่งมาชี้นำ ซึ่งกระบวนการนี้มีการขยายเครือข่ายด้วยการหาสมาชิกผ่านทางเว็บไซต์ในลักษณะที่ให้สมาชิกหาสมาชิกเพิ่มเป็นลูกโซ่ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงระบบและแนวคิดที่มีลักษณะที่ต่อต้านชนชั้นนำในสังคม โดยเรียกองค์กรตัวเองว่า “สำนักคิดไทยใหม่” โดยมีการระบุเลขที่บัญชี และชื่อเจ้าของบัญชี ที่ใช้ในการโอนเงิน เพื่อสนับสนุนเครือข่ายดังกล่าว
**จี้ “หมัก” ตัดไฟแต่ต้นลม
นอกจากนี้ ยังมีเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ติดต่ออย่างเปิดเผยโดยไม่เกรงกลัว แสดงให้เห็นว่า เครือข่ายนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพล จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการเข้าไปตรวจสอบ ปิดเว็บไซต์ และขยายผลไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เพื่อดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“ผมคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของประวัติศาสตร์การเมือง การเมืองหน้านี้จะดำเนินไปด้วยความราบรื่น หรือต้องบันทึกด้วยเลือดเนื้อของประชาชน อยู่ที่การตัดสินใจของผู้มีอำนาจในขณะนี้ คือนายกรัฐมนตรีว่าจะมีความจริงจังในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ เพราะตลอดชีวิตการเมืองของท่าน ได้รับเครื่องราชฯ ชั้นสูงสุดมาแล้ว ผมคิดว่าท่านน่าจะสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านทรงมีให้ มากกกว่าที่จะคิดทำตามผู้บงการ เพียงเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้หากการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี เลือกที่จะทำเพื่อตัวเอง ประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนผ่านช่วงนี้ อาจเหมือนสมัยที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในขณะที่เกิดเหตุ 6 ตุลา 19" นายศิริโชคกล่าว
กรรมการบริหารพรรคประชาธิปีตย์ยังยืนยันด้วยว่า ไม่ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องทางการเมือง แต่จุดยืนของพรรคคือ การปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งพรรคจะทำหน้าที่จนถึงที่สุด ไม่ว่าใครจะคิด หรือพยายามกล่าวหาอย่างไรก็ตาม
“ผมอยากให้นายกรัฐมนตรีเปิดใจให้กว้าง และจบชีวิตการเมืองด้วยการตอบแทนบุญคุณให้กับแผ่นดิน แทนที่จะให้ประวัติศาสตร์จารึกว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงที่เกิดวิกฤตทางด้านความคิดในระบบการปกครอง จนนำไปสู่ความรุนแรง ทั้งที่ยังอยู่ในวิสัยที่ท่านจะดำเนินการหยุดยั้งความรุนแรงทั้งหมดได้ หากท่านเป็นตัวของตัวเอง” นายศิริโชคกล่าว
** “เพ็ญ” มีจุดประสงค์ซ่อนเร้น
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การยื่นหนังสือถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาคำปราศรัยของนายจักรภพ เพ็ญแข เพื่อต้องการให้เห็นถึงพฤติกรรมและทัศนคติ แนวความคิดที่ถือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะหากพิจารณาในเนื้อหาและแปลความออกมาแล้วสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน
นอกจากนายจักรภพจะพูดเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ยังได้พูดเป็นภาษาไทยให้คนไทยฟังที่แอลเอ ด้วย ซึ่งคำปราศรัยล้วนสร้างความไม่สบายใจ และน่าวิตกอย่างยิ่งว่า ไม่ใช่จะมีทัศนคติที่เป็นอันตรายอย่างเดียว แต่มีเป้าหมายอื่นแฝงเร้นหรือไม่
นายองอาจ กล่าวว่า การยื่นหนังสือดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการยื่นถอดถอนนายจักรภพ ออกจากตำแหน่ง เพราะพรรคไม่ประสงค์จะให้นายกรัฐมนตรี พิจารณาให้รัฐมนตรีคนใดพ้นตำแหน่ง และไม่ต้องการให้เกิดความเข้าใจผิดว่า พรรคมีเป้าหมายเพื่อล้มรัฐบาล หรือไปก่อให้เกิดปัญหาในการทำงานของรัฐบาลแต่อย่างใด โดยยังให้โอกาสรัฐบาลทำงานต่อไป แม้ช่วง3 เดือนที่ผ่านมา การทำงานของรัฐบาลจะอยู่ในขั้นสอบตกก็ตาม
“อยากให้คนในรัฐบาลแยกแยะประเด็นให้ชัดเจนว่า การยื่นหนังสือถึงนายกฯ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรม ส่วนการยื่นถอดถอนเป็นเรื่องของการบริหารราชการ แผ่นดินที่เห็นว่าไม่สมควรให้บริหารต่อไปเราจึงได้รวบรวมข้อมูลต่างๆให้กับหน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาถอดถอนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยพรรคจะมีการยื่นถอดถอนในวันที่ 21 พ.ค.นี้แน่นอน”
**พปช.ล่อนจ้อนแก้ รธน.เพื่อตัวเอง
นายองอาจยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ออกมาระบุว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะมีการต่อต้านมาก ง่ายที่สุดควรยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ โดยพรรคพลังประชาชนจะชูนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า จะเลือกฝ่ายที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย หรือต้องการเลือกฝ่ายที่ต้องการรักษารัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อไปว่า ไม่ควรเอาเงื่อนไขการยุบสภามาเกี่ยวข้อง เพราะขณะนี้ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะนำไปสู่การยุบสภา
“พลังประชาชนไม่ควรยุบสภาเพื่อแก้ปัญหาตัวเอง ถ้าจะชูประเด็นนี้หาเสียง เราก็พร้อมจะชูนโยบายว่า จะเลือกพรรคที่มุ่งแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่สนใจแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน หรือจะเลือกพรรคที่มุ่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชนก่อนจะแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อว่าสังคมจะได้คิดว่า จะเลือกพรรคที่มุ่งทำงานเพื่อนายใหญ่ หรือ ทำเพื่อชาวบ้าน แต่ผมเชื่อว่า เวลานี้ไม่มีอะไรที่จะนำไปสู่การยุบสภา ดังนั้นอย่าเอามาข่มขู่พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคฝ่ายค้าน เพราะเราไม่ตกใจกับการยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่ และเชื่อว่าพลังประชาชน ต้องการข่มขู่พรรคร่วมรัฐบาลให้สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญมากกว่า”
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวว่า นอกจากนี้ พ.ต.กานต์ ยังระบุว่า หากมีการยุบพรรคพลังประชาชน จะมีคนถูกตัดสิทธิ์ หลายคน จึงควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 คำพูดนี้ชี้ชัดว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชนเพื่อหนีการถูกยุบพรรคชัดเจน เพราะจะนำไปสู่การพิจารณาว่า จะยุบหรือไม่ยุบได้ เท่ากับเป็นการออกมาเปิดโปงตัวเองอย่างล่อนจ้อน ว่าต้องการอะไร แต่ถึงแม้นักการเมืองบางส่วนจะถูกตัดสิทธิไป ก็ไม่ได้กระทบต่อการบริหารบ้านเมือง เพราะโครงสร้างก็ยังเหมือนเดิม ยังสามารถเลือกตั้งใหม่เข้มมาทดแทน พรรคพลังประชาชนอาจจะไปตั้งพรรคใหม่ แล้วกลับเข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคร่วมก็อาจจะยังเป็นเหมือนเดิม ที่ผ่านมาแม้กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนถูกตัดสิทธิ แต่ระบอบประชาธิปไตยก็ยังเดินหน้าไปได้ ดังนั้นอย่าเอาเรื่องพวกนี้มาเป็นข้ออ้าง เพราะเหตุผลล้วนแต่ฟังไม่ขึ้น จะเป็นการสร้างความสับสนมากกว่า
** “เพ็ญ” เหิมเพราะรัฐบาลให้ท้าย
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการ ครป.กล่าวถึงกรณีนายจักรภพ พูดจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงว่า สถานการณ์การพาดพิงสถาบันเบื้องสูง ที่บานปลายอยู่ในขณะนี้เกิดจากความละเลยไม่เอาใจใส่ของอำนาจรัฐ ที่ปล่อยให้มีขบวนการโจมตีและพาดพิงสถาบันขยายตัวออกไปจนน่าเป็นห่วง ทั้งใต้ดินและบนดิน จนกล่าวได้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน มีการพาดพิงสถาบันเบื้องสูงมากกว่ายุคอดีต
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการหาข้อยุติในเรื่องนี้ ต้องทำไปพร้อมๆ กันทั้ง 2 ทาง ทั้งมาตรการกฎหมาย และมาตรการทางการเมือง แต่ตนคิดว่า นายจักรภพ จะต้องแก้ทางมาตรการทางหการเมืองมากกว่า และต้องโทษที่รัฐบาลปล่อยปะละเลยปัญหานี้มาตลอด
“กรณีของนายจักรภพนั้น นายกรัฐมนตรีจะต้องเร่งหาข้อยุติ การปล่อยให้ตำรวจดำเนินคดี ซึ่งผมเห็นว่าสำหรับนายจักรภพควรจะดำเนินการทางการเมืองมากกว่า อย่างกรณีพฤติกรรมอดีตนายกรัฐมนตรื พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่พฤติกรรมจาบจ้วง แม้อัยการฯ จะสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลยกฟ้องก็ตาม แต่ก็มีปัญหาข้อพิพาทตามมาว่าพฤติกรรมที่แสดงออกต่างกรรมต่างวาระนั้น เป็นเรื่องบังควรหรือไม่” นายสุริยะใสกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าจะต้องปรับนายจักรภพออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า ตนคิดว่ามีทางออกหลายทาง การให้ออกจากการเป็นรัฐมนตรีเป็นอีกทางหนึ่ง หรือให้นายจักรภพ พิจารณาตัวเองก็ได้ หรือจะตั้งคณะกรรมการที่น่าเชื่อถือตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. เพราะเนื้อหาไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไรนัก แต่นายจักรภพ จะมากกว่าด้วยซ้ำ
**อย่ายุบสภาหนีปัญหาเหมือนแม้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เห็นมีหลายฝ่ายบอกว่าจะมีการยุบสภาจริงหรือหรือไม่ นายสุริยะใสกล่าวว่า ขอเตือนว่าหากมีการยุบสภา ก่อนหรือหลังแก้รัฐธรรมนูญนั้นจะเกิดย้อนรอยเหมือนเหตุการณ์ 24 กุมภาพันธ์ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยุบสภาหนีปัญหาทางการเมือง การยุบสภาของรัฐบาลนี้เช่นกัน เป็นการยุบสภาหนีปัญหาความขัดแย้ง
นายสุริยะใสยังกล่าวถึงกรณีโฆษกพรรคพลังประชาชนออกมาเตือนรัฐบาลว่าให้ระวังเรื่องการปฏิวัติซ้ำว่า กระแสการปฏิวัติที่เกิดขึ้นขณะนี้มาจากเรื่องการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ความแตกแยกทางการเมืองในเรื่องการแก้ใขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่สาเหตุสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือข้อกังวลของประชาชนที่ไม่มั่นใจในรัฐบาลว่าเป็นรัฐบาลนอมินี รัฐมนตรีก็ไม่มีผลงาน
นอกจากนี้ ความไม่ลงตัวในกองทัพซึ่งเป็นคนของกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มที่ยังคุมกองกำลังในปัจจุบัน ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายยังคุมเชิงกันอยู่ ตรงนี้ถือเป็นจุดเปราะบาง รวมทั้งขณะนี้ใกล้ถึงฤดูโยกย้ายข้าราชการในกองทัพที่เกรงว่าจะมีการล้วงลูกเหมือนเช่นในอดีต ดังนั้นรัฐบาลต้องเอาใจใส่ และดำเนินการอย่างจริงจังในทุกเรื่อง อย่าคิดว่าการปฏิวัติทำไม่ได้ โดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องไม่เพิกเฉย ไม่ตอกลิ่ม โดยการจัดตั้งมวลชน ให้เกิดการเผชิญหน้า
** “สุรยุทธ์” ไม่อยากเห็นปฏิวัติอีก
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าว การทำรัฐประหารว่า ส่วนตัวไม่อยากให้มีการทำรัฐประหารเกิดขึ้นอีก โดยเห็นว่าการ แก้ไขปัญหาทางการเมืองควรเป็นไปโดยสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรงอาจจะนำไปสู่ความแตกแยก โดยอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้
“เรื่องใดที่มีการพาดพิงถึงสถาบันฯ ก็เป็นเรื่องที่องคมนตรีจะต้องติดตาม พร้อมกับขอให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการนำสถาบันเบื้องสูง เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เกิดความสามัคคี และอาจสร้างความแตกแยกที่เกิดขึ้นได้”
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นศัตรูกับตน แต่เป็นรุ่นน้อง โดยยอมรับว่าในเรื่องการเมืองอาจมีความขัดแย้งกันบ้าง ซึ่งในอนาคต อยากให้มีการแก้ไขปัญหาร่วมกันโดยสันติวิธี
**ปัดข่าว “แม้ว” ดัน “บิ๊กจิ๋ว” นั่งนายกฯ
นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในเรื่องความต้องการให้มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี จากนายสมัคร สุนทรเวช เป็น พล.อ.ชวลิต ว่า เรื่องนี้ไม่อยากให้มาถามตน ควรไปถามโฆษกประจำตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณหรือตัวพ.ต.ท.ทักษิณเองจะดีกว่า แต่สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้
นอกจากนี้ สมาชิกพรรคพลังประชาชนยังมีความเชื่อมั่นในตัวนายสมัคร ทั้งนี้หากมองอีกแง่หนึ่ง พล.อ.ชวลิต ก็ไม่ได้เป็น ส.ส. เพราะฉะนั้นจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนายสมัคร จึงเป็นไปไม่ได้ ตนคิดว่าเป็นเพียงข่าวปล่อยเพื่อหวังเสี้ยมให้พรรคพลังประชาชนหวาดระแวงกันเองมากกว่า
อย่างไรก็ดี ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศ รู้สึกเสียดายโอกาสของชาติมากมายที่มีการปลุกระดมเรื่องต่างๆ ขึ้นมา ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจ ซึ่งกันและกันในสังคม และมีผลให้การทำงานรัฐบาลเหนื่อยมากขึ้น ไม่อยากเห็นความแตกแยกความไร้สามัคคีคนในชาติ
**ติง “จิ๋ว” จะเปิดโปงต้องมีหลักฐาน
ส่วนการที่พล.อ.ชวลิต ออกการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า พร้อมทั้งสถาปนาประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐนั้น นายนพดลกล่าวว่า ใครจะเปิดเผยข้อมูลอะไรควรมีหลักฐาน ไม่อยากเห็นมีการเสนอทฤษฎีโดยการคาดเดา
ทั้งนี้ ประเทศไทยและคนไทยก็รู้ว่ามีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คนไทยมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ทุกพระองค์ ตนไม่อยากให้มีการเสนอความเห็นต่อสิ่งที่เรายึดมั่นมาตลอดคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
“คิดว่าไม่มีใครคิดล้มอย่างทฤษฎีที่พูดถึง เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความจงรักภักดี มีความรักชาติ แม้แต่ชีวิตยังยอมสูญเสียเพื่อรักษาทั้ง 3 สถาบันไว้”
นายนพดลยังกล่าวถึงนายไทกรที่พูดว่ามีขบวนการสาธารณรัฐนั้นคงไม่มี และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนั้น การเสนอของนายไทกรเพื่อเสนอเพราะอยากให้ตัวเองมีข่าว
**ไม่รับแปลปาฐกถา “เพ็ญ”
เมื่อถามถึง นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นเป้าในเรื่องนี้ นายนพดลกล่าวว่า ตนยังไม่ได้ดูสิ่งที่นายจักรภพพูด แต่เรื่องนี้ต้องว่าไปตามกระบวนการ ตามเนื้อผ้า ตามกฎหมายบ้านเมือง และเห็นว่านายจักรภพจะแปลเอกสาร และนำเสนอก็ยังรอดูว่าจะเสนอออกมาอย่างไรบ้าง ตนพูดได้แค่นี้เพราะว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ ไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรมากซึ่งอยากเห็นมีการแก้ไขปัญหาข้าวยากหมากแพง วิกฤตน้ำมัน มากกว่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวนายนพดลได้มายืนพูดคุยกับกลุ่มผู้สื่อข่าวถึงกรณีนายจักรภพ พร้อมทั้งถามว่าหากเป็นนายจักรภพจะทำอย่างไร เมื่อผู้สื่อข่าวบอกว่าควรลาออก นายนพดลไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวขอให้นายนพดลช่วยแปลเอกสารบางส่วนที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ กรณีนายจักรภพไปพูดที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แต่นายนพดลปฏิเสธที่จะดูเอกสารดังกล่าว
นอกจากนี้เมื่อถามถึงคำว่า noble ที่นายสมัครเคยออกมาพูดว่าจะแปลว่าราชนิกุลไม่ได้ แต่ในความหมายสามารถหมายความว่า ข้าราชการะดับสูง โดยนายนพดล ระบุว่า คำดังกล่าว แปลว่า ผู้ดี แต่ความหมายกว้างมาก
**พปช.อุ้ม “เพ็ญ” - อัด “กุเทพ”
นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า วันนี้ ส.ส.ในพรรครู้สึกอึดอัดกับการวางตัวของร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน อย่างมาก เพราะร.ท.กุเทพ เป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษทางการเมือง ดังนั้น คำพูดของ ร.ท.กุเทพ จึงไม่ใช่ความเห็นของพรรค และไม่ใช่ตัวแทนของพรรคพลังประชาชน เพราะส.ส.ในพรรคไม่ได้เป็นห่วงอย่างที่ ร.ท.กุเทพ วิตก เนื่องจากรู้ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นแผนทางการเมืองพยายามโจมตีทุกวิถีทาง คนที่อ้างว่า จงรักภักดีกำลังทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่ดึงสถาบันเบื้องสูง มาแอบอ้างเพื่อทำลายศัตรูทางการเมืองของตัวเอง
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับกรณีของนายจักรภพที่ถูกโจมตีว่าหมิ่นสถาบันฯ จะมีผลต่อการปรับ ครม.หรือไม่นั้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว แต่ท่าทีของนายสมัครที่ผ่านมายังคงสนับสนุน นายจักรภพ ร่วมถึงแกนนำ นปก. ซึ่งทำให้นายสมัคร ต้องออกมาพูดเรื่องนายจักรภพว่าขึ้นอยู่กับตำรวจ ซึ่งที่สุดแล้วนายจักรภพจะตัดสินใจลาออกหรือไม่นั้น ก็คงต้องดูกระแสสังคมส่วนใหญ่ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีปัญหาก็ต้องออกทันที
ส่วนกรณีที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน ออกมาพูดถึงนายจักรภพว่าทำให้ ส.ส.ในพรรคมีความกังวล ควรจะชี้แจงเรื่องต่างๆไปตามความเป็นจริงนั้น ทำให้ ส.ส.ในพรรคส่วนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจ เพราะเป็นการพูดเพื่อภาพตัวเองฝ่ายเดียว ไม่ได้ช่วยกันปกป้องพวกพ้องเลย ทั้งที่ นายสมัครก็ออกมาส่งสัญญาณแล้วว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ทำไม ร.ท.กุเทพ จึงออกมาพูดอย่างนั้นอีก
** “ตือ” ถาม “จิ๋ว” มาจากเลือกตั้งหรือ
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรฯ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวถึงกรณีข่าวที่ระบุว่า พ.ต.ททักษิณ ชินวัตร จะผลักดันให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งว่า ต้องดูรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ที่ระบุว่า คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ก็ต้องกลับไปมองว่า พล.อ.ชวลิต มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ หรือพ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะหมายถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึง ก็ไม่ทราบได้ ซึ่งหากบุคคลใดที่ลงรับสมัครเลือกตั้งผ่านมาเป็น ส.ส. ก็มีสิทธิขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันได้แค่ 120 วัน และทางรัฐสภาก็ปิดสมัยประชุมสภา จึงไม่รู้ได้ว่า ท่านจะมาอย่างไร เข้าใจว่าคงเป็นการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุในงานครบรอบ16 ปี พฤษภาทมิฬว่า การที่นายจักรภพ เพ็ญแข พูดพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง และการที่พรรคพลังประชาชน เร่งเสนอแก้ รัฐธรรมนูญ 50 ในการประชุมสภาสมัยวิสามัญ จะเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาลและอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่า รู้สึกแปลกใจ เพราะเรื่องนี้นายจักรภพได้พูดมาตั้งนาน ก่อนการเลือกตั้งอีก แต่ไม่เป็นประเด็น เหตุใดจึงกลับมาเป็นประเด็นข่าวใหญ่ในช่วงนี้ เพราะการจะอ้างถึงเหตุการณ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องดูความเหมาะสม ไม่ใช่จะหวังผลทางการเมืองแต่ฝ่ายเดียว เพราะเรื่องใหญ่อย่างนี้ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใดเลย
สำหรับเรื่องผลกระทบต่อรัฐบาลนั้น คงไม่กระทบ ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล เพราะถือเป็นเรื่องปกติ ที่จะมีการปรับคนเข้าคนออก แต่จะมีการปรับนายจักรภพออกหรือไม่นั้น ตนไม่สามารถทราบได้ แต่การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ หรือ นายกฯ ลาออก ถือว่ามีผลมาก แต่ตนก็มองไม่เห็นถึงสาเหตุของการลาออก หรือการยุบสภา เพราะไม่มีปัจจัยอะไร
**หยัน “บิ๊กจิ๋ว” แค่นักทฤษฎี
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ออกมาระบุว่าอย่าเพิ่งเชื่อว่าจะไม่มีปฏิวัติ เพราะขณะนี้มีหลายสถานการณ์ที่รัฐบาลพยายามสร้างเงื่อนไขว่า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะพูดในขณะที่มีการทำบุญให้ญาติวีรชน
ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลพยายามสร้างเงื่อนไขอาจนำมาสู่การรัฐประหาร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ประเทศไทยที่อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คำว่า ยึดอำนาจไม่สามารถทำได้ และสถานการณ์ปัจจุบันไม่มีเงื่อนไขที่ยึดอำนาจได้อีก และประชาชนเองก็ไม่เห็นว่าการปฏิวัติจะแก้ปัญหาให้ประชาชนได้
เมื่อถามว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ออกมาเปิดโปงขบวนการนำประเทศไทยไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ห่วงในประเด็นที่ พล.อ.ชวลิต มาพูด เพราะเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ที่อ้างทฤษฎีเท่านั้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์การเมืองเลยออกมาวิเคราะห์
ส่วนกรณีที่นายจักรภพ พูดจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า โดยส่วนตัวจากที่เคยต่อสู้ร่วมกันมา ในฐานะนปก. ตนเชื่อในความบริสุทธิ์ใจ ของจักรภพ
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง ออกมาเสนอแนะนายจักรภพ ว่าควรชี้แจงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นความเห็นของ ร.ท.กุเทพ เพียงคนเดียว และเป็นเพียงสมาชิกพรรคคนหนึ่ง แต่สำหรับตนนั้น เชื่อมั่นเต็มร้อยว่านายจักรภพบริสุทธิ์ หากมีการตัดสินว่าผิดก็ต้องออกจากตำแหน่ง แต่ถ้าหากไม่ผิด คนที่กล่าวหาจะว่าอย่างไร
วานนี้ (18 พ.ค.)นายศิริโชค โสภากรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ได้พบเว็บไซต์http://2519me.com/Memyself/Tomorrow_Me/Timefiles/tomorrowme35.htm ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ความคิดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พูดว่ามีขบวนการในการ “ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” น่าจะเป็นความจริง เพราะตนได้ค้นพบโดยบังเอิญว่า มีกระบวนการในเว็บไซต์นี้ ตรงกับแนวความคิดของ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี ที่ไปบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2550
โดยเนื้อหาหลัก คือ ไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่ต้องการคนใดคนหนึ่งมาชี้นำ ซึ่งกระบวนการนี้มีการขยายเครือข่ายด้วยการหาสมาชิกผ่านทางเว็บไซต์ในลักษณะที่ให้สมาชิกหาสมาชิกเพิ่มเป็นลูกโซ่ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงระบบและแนวคิดที่มีลักษณะที่ต่อต้านชนชั้นนำในสังคม โดยเรียกองค์กรตัวเองว่า “สำนักคิดไทยใหม่” โดยมีการระบุเลขที่บัญชี และชื่อเจ้าของบัญชี ที่ใช้ในการโอนเงิน เพื่อสนับสนุนเครือข่ายดังกล่าว
**จี้ “หมัก” ตัดไฟแต่ต้นลม
นอกจากนี้ ยังมีเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ติดต่ออย่างเปิดเผยโดยไม่เกรงกลัว แสดงให้เห็นว่า เครือข่ายนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพล จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการเข้าไปตรวจสอบ ปิดเว็บไซต์ และขยายผลไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เพื่อดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“ผมคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของประวัติศาสตร์การเมือง การเมืองหน้านี้จะดำเนินไปด้วยความราบรื่น หรือต้องบันทึกด้วยเลือดเนื้อของประชาชน อยู่ที่การตัดสินใจของผู้มีอำนาจในขณะนี้ คือนายกรัฐมนตรีว่าจะมีความจริงจังในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ เพราะตลอดชีวิตการเมืองของท่าน ได้รับเครื่องราชฯ ชั้นสูงสุดมาแล้ว ผมคิดว่าท่านน่าจะสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านทรงมีให้ มากกกว่าที่จะคิดทำตามผู้บงการ เพียงเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้หากการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี เลือกที่จะทำเพื่อตัวเอง ประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนผ่านช่วงนี้ อาจเหมือนสมัยที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในขณะที่เกิดเหตุ 6 ตุลา 19" นายศิริโชคกล่าว
กรรมการบริหารพรรคประชาธิปีตย์ยังยืนยันด้วยว่า ไม่ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องทางการเมือง แต่จุดยืนของพรรคคือ การปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งพรรคจะทำหน้าที่จนถึงที่สุด ไม่ว่าใครจะคิด หรือพยายามกล่าวหาอย่างไรก็ตาม
“ผมอยากให้นายกรัฐมนตรีเปิดใจให้กว้าง และจบชีวิตการเมืองด้วยการตอบแทนบุญคุณให้กับแผ่นดิน แทนที่จะให้ประวัติศาสตร์จารึกว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงที่เกิดวิกฤตทางด้านความคิดในระบบการปกครอง จนนำไปสู่ความรุนแรง ทั้งที่ยังอยู่ในวิสัยที่ท่านจะดำเนินการหยุดยั้งความรุนแรงทั้งหมดได้ หากท่านเป็นตัวของตัวเอง” นายศิริโชคกล่าว
** “เพ็ญ” มีจุดประสงค์ซ่อนเร้น
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การยื่นหนังสือถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาคำปราศรัยของนายจักรภพ เพ็ญแข เพื่อต้องการให้เห็นถึงพฤติกรรมและทัศนคติ แนวความคิดที่ถือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะหากพิจารณาในเนื้อหาและแปลความออกมาแล้วสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน
นอกจากนายจักรภพจะพูดเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ยังได้พูดเป็นภาษาไทยให้คนไทยฟังที่แอลเอ ด้วย ซึ่งคำปราศรัยล้วนสร้างความไม่สบายใจ และน่าวิตกอย่างยิ่งว่า ไม่ใช่จะมีทัศนคติที่เป็นอันตรายอย่างเดียว แต่มีเป้าหมายอื่นแฝงเร้นหรือไม่
นายองอาจ กล่าวว่า การยื่นหนังสือดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการยื่นถอดถอนนายจักรภพ ออกจากตำแหน่ง เพราะพรรคไม่ประสงค์จะให้นายกรัฐมนตรี พิจารณาให้รัฐมนตรีคนใดพ้นตำแหน่ง และไม่ต้องการให้เกิดความเข้าใจผิดว่า พรรคมีเป้าหมายเพื่อล้มรัฐบาล หรือไปก่อให้เกิดปัญหาในการทำงานของรัฐบาลแต่อย่างใด โดยยังให้โอกาสรัฐบาลทำงานต่อไป แม้ช่วง3 เดือนที่ผ่านมา การทำงานของรัฐบาลจะอยู่ในขั้นสอบตกก็ตาม
“อยากให้คนในรัฐบาลแยกแยะประเด็นให้ชัดเจนว่า การยื่นหนังสือถึงนายกฯ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรม ส่วนการยื่นถอดถอนเป็นเรื่องของการบริหารราชการ แผ่นดินที่เห็นว่าไม่สมควรให้บริหารต่อไปเราจึงได้รวบรวมข้อมูลต่างๆให้กับหน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาถอดถอนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยพรรคจะมีการยื่นถอดถอนในวันที่ 21 พ.ค.นี้แน่นอน”
**พปช.ล่อนจ้อนแก้ รธน.เพื่อตัวเอง
นายองอาจยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ออกมาระบุว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะมีการต่อต้านมาก ง่ายที่สุดควรยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ โดยพรรคพลังประชาชนจะชูนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า จะเลือกฝ่ายที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย หรือต้องการเลือกฝ่ายที่ต้องการรักษารัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อไปว่า ไม่ควรเอาเงื่อนไขการยุบสภามาเกี่ยวข้อง เพราะขณะนี้ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะนำไปสู่การยุบสภา
“พลังประชาชนไม่ควรยุบสภาเพื่อแก้ปัญหาตัวเอง ถ้าจะชูประเด็นนี้หาเสียง เราก็พร้อมจะชูนโยบายว่า จะเลือกพรรคที่มุ่งแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่สนใจแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน หรือจะเลือกพรรคที่มุ่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชนก่อนจะแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อว่าสังคมจะได้คิดว่า จะเลือกพรรคที่มุ่งทำงานเพื่อนายใหญ่ หรือ ทำเพื่อชาวบ้าน แต่ผมเชื่อว่า เวลานี้ไม่มีอะไรที่จะนำไปสู่การยุบสภา ดังนั้นอย่าเอามาข่มขู่พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคฝ่ายค้าน เพราะเราไม่ตกใจกับการยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่ และเชื่อว่าพลังประชาชน ต้องการข่มขู่พรรคร่วมรัฐบาลให้สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญมากกว่า”
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวว่า นอกจากนี้ พ.ต.กานต์ ยังระบุว่า หากมีการยุบพรรคพลังประชาชน จะมีคนถูกตัดสิทธิ์ หลายคน จึงควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 คำพูดนี้ชี้ชัดว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชนเพื่อหนีการถูกยุบพรรคชัดเจน เพราะจะนำไปสู่การพิจารณาว่า จะยุบหรือไม่ยุบได้ เท่ากับเป็นการออกมาเปิดโปงตัวเองอย่างล่อนจ้อน ว่าต้องการอะไร แต่ถึงแม้นักการเมืองบางส่วนจะถูกตัดสิทธิไป ก็ไม่ได้กระทบต่อการบริหารบ้านเมือง เพราะโครงสร้างก็ยังเหมือนเดิม ยังสามารถเลือกตั้งใหม่เข้มมาทดแทน พรรคพลังประชาชนอาจจะไปตั้งพรรคใหม่ แล้วกลับเข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคร่วมก็อาจจะยังเป็นเหมือนเดิม ที่ผ่านมาแม้กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนถูกตัดสิทธิ แต่ระบอบประชาธิปไตยก็ยังเดินหน้าไปได้ ดังนั้นอย่าเอาเรื่องพวกนี้มาเป็นข้ออ้าง เพราะเหตุผลล้วนแต่ฟังไม่ขึ้น จะเป็นการสร้างความสับสนมากกว่า
** “เพ็ญ” เหิมเพราะรัฐบาลให้ท้าย
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการ ครป.กล่าวถึงกรณีนายจักรภพ พูดจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงว่า สถานการณ์การพาดพิงสถาบันเบื้องสูง ที่บานปลายอยู่ในขณะนี้เกิดจากความละเลยไม่เอาใจใส่ของอำนาจรัฐ ที่ปล่อยให้มีขบวนการโจมตีและพาดพิงสถาบันขยายตัวออกไปจนน่าเป็นห่วง ทั้งใต้ดินและบนดิน จนกล่าวได้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน มีการพาดพิงสถาบันเบื้องสูงมากกว่ายุคอดีต
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการหาข้อยุติในเรื่องนี้ ต้องทำไปพร้อมๆ กันทั้ง 2 ทาง ทั้งมาตรการกฎหมาย และมาตรการทางการเมือง แต่ตนคิดว่า นายจักรภพ จะต้องแก้ทางมาตรการทางหการเมืองมากกว่า และต้องโทษที่รัฐบาลปล่อยปะละเลยปัญหานี้มาตลอด
“กรณีของนายจักรภพนั้น นายกรัฐมนตรีจะต้องเร่งหาข้อยุติ การปล่อยให้ตำรวจดำเนินคดี ซึ่งผมเห็นว่าสำหรับนายจักรภพควรจะดำเนินการทางการเมืองมากกว่า อย่างกรณีพฤติกรรมอดีตนายกรัฐมนตรื พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่พฤติกรรมจาบจ้วง แม้อัยการฯ จะสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลยกฟ้องก็ตาม แต่ก็มีปัญหาข้อพิพาทตามมาว่าพฤติกรรมที่แสดงออกต่างกรรมต่างวาระนั้น เป็นเรื่องบังควรหรือไม่” นายสุริยะใสกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าจะต้องปรับนายจักรภพออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า ตนคิดว่ามีทางออกหลายทาง การให้ออกจากการเป็นรัฐมนตรีเป็นอีกทางหนึ่ง หรือให้นายจักรภพ พิจารณาตัวเองก็ได้ หรือจะตั้งคณะกรรมการที่น่าเชื่อถือตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. เพราะเนื้อหาไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไรนัก แต่นายจักรภพ จะมากกว่าด้วยซ้ำ
**อย่ายุบสภาหนีปัญหาเหมือนแม้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เห็นมีหลายฝ่ายบอกว่าจะมีการยุบสภาจริงหรือหรือไม่ นายสุริยะใสกล่าวว่า ขอเตือนว่าหากมีการยุบสภา ก่อนหรือหลังแก้รัฐธรรมนูญนั้นจะเกิดย้อนรอยเหมือนเหตุการณ์ 24 กุมภาพันธ์ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยุบสภาหนีปัญหาทางการเมือง การยุบสภาของรัฐบาลนี้เช่นกัน เป็นการยุบสภาหนีปัญหาความขัดแย้ง
นายสุริยะใสยังกล่าวถึงกรณีโฆษกพรรคพลังประชาชนออกมาเตือนรัฐบาลว่าให้ระวังเรื่องการปฏิวัติซ้ำว่า กระแสการปฏิวัติที่เกิดขึ้นขณะนี้มาจากเรื่องการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ความแตกแยกทางการเมืองในเรื่องการแก้ใขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่สาเหตุสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือข้อกังวลของประชาชนที่ไม่มั่นใจในรัฐบาลว่าเป็นรัฐบาลนอมินี รัฐมนตรีก็ไม่มีผลงาน
นอกจากนี้ ความไม่ลงตัวในกองทัพซึ่งเป็นคนของกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มที่ยังคุมกองกำลังในปัจจุบัน ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายยังคุมเชิงกันอยู่ ตรงนี้ถือเป็นจุดเปราะบาง รวมทั้งขณะนี้ใกล้ถึงฤดูโยกย้ายข้าราชการในกองทัพที่เกรงว่าจะมีการล้วงลูกเหมือนเช่นในอดีต ดังนั้นรัฐบาลต้องเอาใจใส่ และดำเนินการอย่างจริงจังในทุกเรื่อง อย่าคิดว่าการปฏิวัติทำไม่ได้ โดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องไม่เพิกเฉย ไม่ตอกลิ่ม โดยการจัดตั้งมวลชน ให้เกิดการเผชิญหน้า
** “สุรยุทธ์” ไม่อยากเห็นปฏิวัติอีก
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าว การทำรัฐประหารว่า ส่วนตัวไม่อยากให้มีการทำรัฐประหารเกิดขึ้นอีก โดยเห็นว่าการ แก้ไขปัญหาทางการเมืองควรเป็นไปโดยสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรงอาจจะนำไปสู่ความแตกแยก โดยอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้
“เรื่องใดที่มีการพาดพิงถึงสถาบันฯ ก็เป็นเรื่องที่องคมนตรีจะต้องติดตาม พร้อมกับขอให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการนำสถาบันเบื้องสูง เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เกิดความสามัคคี และอาจสร้างความแตกแยกที่เกิดขึ้นได้”
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นศัตรูกับตน แต่เป็นรุ่นน้อง โดยยอมรับว่าในเรื่องการเมืองอาจมีความขัดแย้งกันบ้าง ซึ่งในอนาคต อยากให้มีการแก้ไขปัญหาร่วมกันโดยสันติวิธี
**ปัดข่าว “แม้ว” ดัน “บิ๊กจิ๋ว” นั่งนายกฯ
นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในเรื่องความต้องการให้มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี จากนายสมัคร สุนทรเวช เป็น พล.อ.ชวลิต ว่า เรื่องนี้ไม่อยากให้มาถามตน ควรไปถามโฆษกประจำตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณหรือตัวพ.ต.ท.ทักษิณเองจะดีกว่า แต่สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้
นอกจากนี้ สมาชิกพรรคพลังประชาชนยังมีความเชื่อมั่นในตัวนายสมัคร ทั้งนี้หากมองอีกแง่หนึ่ง พล.อ.ชวลิต ก็ไม่ได้เป็น ส.ส. เพราะฉะนั้นจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนายสมัคร จึงเป็นไปไม่ได้ ตนคิดว่าเป็นเพียงข่าวปล่อยเพื่อหวังเสี้ยมให้พรรคพลังประชาชนหวาดระแวงกันเองมากกว่า
อย่างไรก็ดี ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศ รู้สึกเสียดายโอกาสของชาติมากมายที่มีการปลุกระดมเรื่องต่างๆ ขึ้นมา ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจ ซึ่งกันและกันในสังคม และมีผลให้การทำงานรัฐบาลเหนื่อยมากขึ้น ไม่อยากเห็นความแตกแยกความไร้สามัคคีคนในชาติ
**ติง “จิ๋ว” จะเปิดโปงต้องมีหลักฐาน
ส่วนการที่พล.อ.ชวลิต ออกการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า พร้อมทั้งสถาปนาประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐนั้น นายนพดลกล่าวว่า ใครจะเปิดเผยข้อมูลอะไรควรมีหลักฐาน ไม่อยากเห็นมีการเสนอทฤษฎีโดยการคาดเดา
ทั้งนี้ ประเทศไทยและคนไทยก็รู้ว่ามีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คนไทยมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ทุกพระองค์ ตนไม่อยากให้มีการเสนอความเห็นต่อสิ่งที่เรายึดมั่นมาตลอดคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
“คิดว่าไม่มีใครคิดล้มอย่างทฤษฎีที่พูดถึง เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความจงรักภักดี มีความรักชาติ แม้แต่ชีวิตยังยอมสูญเสียเพื่อรักษาทั้ง 3 สถาบันไว้”
นายนพดลยังกล่าวถึงนายไทกรที่พูดว่ามีขบวนการสาธารณรัฐนั้นคงไม่มี และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนั้น การเสนอของนายไทกรเพื่อเสนอเพราะอยากให้ตัวเองมีข่าว
**ไม่รับแปลปาฐกถา “เพ็ญ”
เมื่อถามถึง นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นเป้าในเรื่องนี้ นายนพดลกล่าวว่า ตนยังไม่ได้ดูสิ่งที่นายจักรภพพูด แต่เรื่องนี้ต้องว่าไปตามกระบวนการ ตามเนื้อผ้า ตามกฎหมายบ้านเมือง และเห็นว่านายจักรภพจะแปลเอกสาร และนำเสนอก็ยังรอดูว่าจะเสนอออกมาอย่างไรบ้าง ตนพูดได้แค่นี้เพราะว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ ไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรมากซึ่งอยากเห็นมีการแก้ไขปัญหาข้าวยากหมากแพง วิกฤตน้ำมัน มากกว่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวนายนพดลได้มายืนพูดคุยกับกลุ่มผู้สื่อข่าวถึงกรณีนายจักรภพ พร้อมทั้งถามว่าหากเป็นนายจักรภพจะทำอย่างไร เมื่อผู้สื่อข่าวบอกว่าควรลาออก นายนพดลไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวขอให้นายนพดลช่วยแปลเอกสารบางส่วนที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ กรณีนายจักรภพไปพูดที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แต่นายนพดลปฏิเสธที่จะดูเอกสารดังกล่าว
นอกจากนี้เมื่อถามถึงคำว่า noble ที่นายสมัครเคยออกมาพูดว่าจะแปลว่าราชนิกุลไม่ได้ แต่ในความหมายสามารถหมายความว่า ข้าราชการะดับสูง โดยนายนพดล ระบุว่า คำดังกล่าว แปลว่า ผู้ดี แต่ความหมายกว้างมาก
**พปช.อุ้ม “เพ็ญ” - อัด “กุเทพ”
นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า วันนี้ ส.ส.ในพรรครู้สึกอึดอัดกับการวางตัวของร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน อย่างมาก เพราะร.ท.กุเทพ เป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษทางการเมือง ดังนั้น คำพูดของ ร.ท.กุเทพ จึงไม่ใช่ความเห็นของพรรค และไม่ใช่ตัวแทนของพรรคพลังประชาชน เพราะส.ส.ในพรรคไม่ได้เป็นห่วงอย่างที่ ร.ท.กุเทพ วิตก เนื่องจากรู้ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นแผนทางการเมืองพยายามโจมตีทุกวิถีทาง คนที่อ้างว่า จงรักภักดีกำลังทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่ดึงสถาบันเบื้องสูง มาแอบอ้างเพื่อทำลายศัตรูทางการเมืองของตัวเอง
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับกรณีของนายจักรภพที่ถูกโจมตีว่าหมิ่นสถาบันฯ จะมีผลต่อการปรับ ครม.หรือไม่นั้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว แต่ท่าทีของนายสมัครที่ผ่านมายังคงสนับสนุน นายจักรภพ ร่วมถึงแกนนำ นปก. ซึ่งทำให้นายสมัคร ต้องออกมาพูดเรื่องนายจักรภพว่าขึ้นอยู่กับตำรวจ ซึ่งที่สุดแล้วนายจักรภพจะตัดสินใจลาออกหรือไม่นั้น ก็คงต้องดูกระแสสังคมส่วนใหญ่ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีปัญหาก็ต้องออกทันที
ส่วนกรณีที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน ออกมาพูดถึงนายจักรภพว่าทำให้ ส.ส.ในพรรคมีความกังวล ควรจะชี้แจงเรื่องต่างๆไปตามความเป็นจริงนั้น ทำให้ ส.ส.ในพรรคส่วนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจ เพราะเป็นการพูดเพื่อภาพตัวเองฝ่ายเดียว ไม่ได้ช่วยกันปกป้องพวกพ้องเลย ทั้งที่ นายสมัครก็ออกมาส่งสัญญาณแล้วว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ทำไม ร.ท.กุเทพ จึงออกมาพูดอย่างนั้นอีก
** “ตือ” ถาม “จิ๋ว” มาจากเลือกตั้งหรือ
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรฯ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวถึงกรณีข่าวที่ระบุว่า พ.ต.ททักษิณ ชินวัตร จะผลักดันให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งว่า ต้องดูรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ที่ระบุว่า คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ก็ต้องกลับไปมองว่า พล.อ.ชวลิต มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ หรือพ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะหมายถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึง ก็ไม่ทราบได้ ซึ่งหากบุคคลใดที่ลงรับสมัครเลือกตั้งผ่านมาเป็น ส.ส. ก็มีสิทธิขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันได้แค่ 120 วัน และทางรัฐสภาก็ปิดสมัยประชุมสภา จึงไม่รู้ได้ว่า ท่านจะมาอย่างไร เข้าใจว่าคงเป็นการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุในงานครบรอบ16 ปี พฤษภาทมิฬว่า การที่นายจักรภพ เพ็ญแข พูดพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง และการที่พรรคพลังประชาชน เร่งเสนอแก้ รัฐธรรมนูญ 50 ในการประชุมสภาสมัยวิสามัญ จะเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาลและอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่า รู้สึกแปลกใจ เพราะเรื่องนี้นายจักรภพได้พูดมาตั้งนาน ก่อนการเลือกตั้งอีก แต่ไม่เป็นประเด็น เหตุใดจึงกลับมาเป็นประเด็นข่าวใหญ่ในช่วงนี้ เพราะการจะอ้างถึงเหตุการณ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องดูความเหมาะสม ไม่ใช่จะหวังผลทางการเมืองแต่ฝ่ายเดียว เพราะเรื่องใหญ่อย่างนี้ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใดเลย
สำหรับเรื่องผลกระทบต่อรัฐบาลนั้น คงไม่กระทบ ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล เพราะถือเป็นเรื่องปกติ ที่จะมีการปรับคนเข้าคนออก แต่จะมีการปรับนายจักรภพออกหรือไม่นั้น ตนไม่สามารถทราบได้ แต่การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ หรือ นายกฯ ลาออก ถือว่ามีผลมาก แต่ตนก็มองไม่เห็นถึงสาเหตุของการลาออก หรือการยุบสภา เพราะไม่มีปัจจัยอะไร
**หยัน “บิ๊กจิ๋ว” แค่นักทฤษฎี
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ออกมาระบุว่าอย่าเพิ่งเชื่อว่าจะไม่มีปฏิวัติ เพราะขณะนี้มีหลายสถานการณ์ที่รัฐบาลพยายามสร้างเงื่อนไขว่า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะพูดในขณะที่มีการทำบุญให้ญาติวีรชน
ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลพยายามสร้างเงื่อนไขอาจนำมาสู่การรัฐประหาร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ประเทศไทยที่อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คำว่า ยึดอำนาจไม่สามารถทำได้ และสถานการณ์ปัจจุบันไม่มีเงื่อนไขที่ยึดอำนาจได้อีก และประชาชนเองก็ไม่เห็นว่าการปฏิวัติจะแก้ปัญหาให้ประชาชนได้
เมื่อถามว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ออกมาเปิดโปงขบวนการนำประเทศไทยไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ห่วงในประเด็นที่ พล.อ.ชวลิต มาพูด เพราะเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ที่อ้างทฤษฎีเท่านั้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์การเมืองเลยออกมาวิเคราะห์
ส่วนกรณีที่นายจักรภพ พูดจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า โดยส่วนตัวจากที่เคยต่อสู้ร่วมกันมา ในฐานะนปก. ตนเชื่อในความบริสุทธิ์ใจ ของจักรภพ
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง ออกมาเสนอแนะนายจักรภพ ว่าควรชี้แจงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นความเห็นของ ร.ท.กุเทพ เพียงคนเดียว และเป็นเพียงสมาชิกพรรคคนหนึ่ง แต่สำหรับตนนั้น เชื่อมั่นเต็มร้อยว่านายจักรภพบริสุทธิ์ หากมีการตัดสินว่าผิดก็ต้องออกจากตำแหน่ง แต่ถ้าหากไม่ผิด คนที่กล่าวหาจะว่าอย่างไร