จากกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธปท. ดำเนินการทางกฎหมายตาม มาตรา 74 และ75 ของ พ.ร.บ.ธปท.กับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ถึงสถาบันการเงินในระบบ 2 แห่งกำลังจะเจ๊งและมีการเร่ขายให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เพราะเห็นว่าเรื่องนี้สร้างความสับสนวุ่นวายในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ และไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินนั้น
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. กล่าวว่า หากมีการดำเนินคดีตามกฎหมายจริงก็ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จก่อนว่าเป็นเช่นไร โดยต้องพิสูจน์ให้ได้ว่านายกรัฐมนตรีพูดอะไรบ้าง เรื่องที่พูดนั้นเป็นจริงไหม และหากเป็นจริงแล้วเป็นการเปิดเผยความลับหรือไม่ และต้องผ่านหลายหน่วยงานทั้งฝ่ายกำกับสถาบันการเงินของ ธปท.หรือหากจะมีการขายหุ้นหรือดำเนินการอย่างไร ก็ต้องมีกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นายชาญชัยระบุว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ระบุชัดเจนว่าธนาคารพาณิชย์ไทยที่เกิดปัญหา 2 รายนั้นเป็นการเกิดขึ้นในช่วงไหน เพราะถ้าเป็นเรื่องที่ตลาดรู้กันทั่วไปก็ไม่ใช่เป็นการเปิดเผยความลับอย่างเหตุการณ์วิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงปี 40-41 ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเกิดปัญหาขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ประชาชนทั่วไปรู้กันแทบทั้งสิ้น
ด้าน นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ข้อมูลที่ท่านนายกรัฐมนตรีทราบเป็นการได้รับทราบจากนักลงทุนต่างชาติหรือทูตต่างชาติไม่ได้เกิดจากการรายงานข้อมูลนี้จาก ธปท.โดยตรง เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ ธปท.จะรายงานให้แก่กระทรวงการคลังรับทราบ ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีจะรายงานต่อให้ทราบหรือไม่นั้นไม่ทราบรายละเอียดส่วนนี้ ขณะนี้ไม่มีสถาบันการเงินรายใดร้องทุกข์ในเรื่องดังกล่าว
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท.กล่าวว่า เนื้อหากฎหมายในพ.ร.บ.ธปท.ตามมาตรา 74 ระบุว่า ผู้ว่าการ กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของธปท.ผู้ใดล่วงรู้กิจการของธปท.เนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ หากมีการเปิดเผยข้อมูลจะต้องมีความผิด ส่วนมาตรา 75 ระบุว่าหากบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธปท. แต่รู้ความลับในการปฏิบัติงานของธปท.หากมีการเปิดเผยข้อมูลก็มีความผิดเช่นกัน โดยหากกระทำความผิดตามมาตรา 74 และ75 จะได้รับโทษเหมือนกัน คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. กล่าวว่า หากมีการดำเนินคดีตามกฎหมายจริงก็ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จก่อนว่าเป็นเช่นไร โดยต้องพิสูจน์ให้ได้ว่านายกรัฐมนตรีพูดอะไรบ้าง เรื่องที่พูดนั้นเป็นจริงไหม และหากเป็นจริงแล้วเป็นการเปิดเผยความลับหรือไม่ และต้องผ่านหลายหน่วยงานทั้งฝ่ายกำกับสถาบันการเงินของ ธปท.หรือหากจะมีการขายหุ้นหรือดำเนินการอย่างไร ก็ต้องมีกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นายชาญชัยระบุว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ระบุชัดเจนว่าธนาคารพาณิชย์ไทยที่เกิดปัญหา 2 รายนั้นเป็นการเกิดขึ้นในช่วงไหน เพราะถ้าเป็นเรื่องที่ตลาดรู้กันทั่วไปก็ไม่ใช่เป็นการเปิดเผยความลับอย่างเหตุการณ์วิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงปี 40-41 ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเกิดปัญหาขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ประชาชนทั่วไปรู้กันแทบทั้งสิ้น
ด้าน นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ข้อมูลที่ท่านนายกรัฐมนตรีทราบเป็นการได้รับทราบจากนักลงทุนต่างชาติหรือทูตต่างชาติไม่ได้เกิดจากการรายงานข้อมูลนี้จาก ธปท.โดยตรง เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ ธปท.จะรายงานให้แก่กระทรวงการคลังรับทราบ ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีจะรายงานต่อให้ทราบหรือไม่นั้นไม่ทราบรายละเอียดส่วนนี้ ขณะนี้ไม่มีสถาบันการเงินรายใดร้องทุกข์ในเรื่องดังกล่าว
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท.กล่าวว่า เนื้อหากฎหมายในพ.ร.บ.ธปท.ตามมาตรา 74 ระบุว่า ผู้ว่าการ กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของธปท.ผู้ใดล่วงรู้กิจการของธปท.เนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ หากมีการเปิดเผยข้อมูลจะต้องมีความผิด ส่วนมาตรา 75 ระบุว่าหากบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธปท. แต่รู้ความลับในการปฏิบัติงานของธปท.หากมีการเปิดเผยข้อมูลก็มีความผิดเช่นกัน โดยหากกระทำความผิดตามมาตรา 74 และ75 จะได้รับโทษเหมือนกัน คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ