xs
xsm
sm
md
lg

รมต.สอบตก

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

เช้าตรู่วันฉัตรมงคล ผมเปิดหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าอ่านข่าวด้วยความสนใจ ......

ข่าวในหนังสือพิมพ์รายงานว่า ในวันที่ 4 พ.ค. ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการประเมินผลงานในรอบ 3 เดือนของรัฐบาลและรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งผลการสำรวจปรากฏออกมาว่า รัฐมนตรีที่ประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจในการปฏิบัติหน้าที่ในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา 3 อันดับแรก คือ

หนึ่ง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ได้คะแนน 4.96 (จากคะแนนเต็ม 10)
สอง นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้คะแนน 4.93
สาม นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้คะแนน 4.91

ส่วนรัฐมนตรีที่ได้คะแนนอมบ๊วยแบบไม่พลิกโผเท่าใดนักคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ได้คะแนน 3.39 ถัดมาเป็นตัวนายสมัคร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้คะแนน 4.04 และที่สามจากบ๊วยคือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ได้คะแนน 4.05 คะแนน

ในความเป็นจริงแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจนักที่ คุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์จะสามารถคว้าตำแหน่ง ‘รัฐมนตรีขวัญใจประชาชน’ ไปได้ เพราะ คุณมิ่งขวัญเองตั้งแต่รับตำแหน่งรัฐมนตรีมาก็ทำงานให้ประเทศชาติอย่างหามรุ่งหามค่ำ จนไม่ได้นอนหลับพักผ่อน กระทั่งครั้งหนึ่งในการไปปาฐกถาที่โรงแรมเซ็นทาราเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2551 ท่านถึงกลับเป็นลมล้มพับไปกลางเวที

นอกจากนี้แล้วคุณมิ่งขวัญเองก็ยังถือว่าเป็นรัฐมนตรีที่สื่อและประชาชนเห็นหน้าค่าตาบ่อยที่สุดคนหนึ่ง โดยผลงานเด่นๆ ของท่านในช่วงที่ผ่านมาก็เช่น เนื้อหมูพาณิชย์กิโลกรัมละ 98 บาท, ซิมธงฟ้า (ซิมโทรศัพท์มือถือ) 1 แสนใบ, ข้าวสารส่งออกตันละพันเหรียญสหรัฐ, การนำข้าวในสต๊อกมาบรรจุขายเป็นข้าวถุงธงฟ้ามหาชนจำนวน 2-3 แสนถุง และอื่นๆ อีกมากมาย

นี่ยังไม่นับการจัดงาน ธงฟ้า เอาท์เล็ต เซลส์ ที่กรมการค้าภายในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ของคุณมิ่งขวัญนำสินค้าต่างๆ มาขายในราคาถูกกว่าท้องตลาดไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพืชขนาดขวดลิตรจากราคา 45 บาท เป็น 42 บาท เนื้อหมูพาณิชย์จากกิโลกรัมละ 98 บาท เป็น 95 บาท ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งต่างมุ่งหน้าไปแย่งซื้อ “ของถูก” กันอย่างอุตลุด แต่น่าเสียดายที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศกลับไม่มีโอกาสไปร่วมงานดังกล่าว

กลับมาถึงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวกทม. ต่อผลงานรัฐมนตรี แม้ว่าหลายฝ่ายจะออกมากระแหนะกระแหนว่ารัฐบาลของคุณสมัครนั้นทำผลงานในการบริหารประเทศในรอบ 3 เดือนได้อย่างยอดเยี่ยม เยี่ยมเสียจนรัฐมนตรีสอบตก (ได้คะแนนต่ำกว่าครึ่ง) กันหมดทุกคน เพราะ แม้แต่คนที่ได้คะแนนสูงที่สุดอย่างคุณมิ่งขวัญยังได้แค่ “เกือบผ่าน” คือ 4.96 คะแนนจากเต็ม 10 คะแนน

กระนั้น ผมก็ยังขอแสดงความเห็นอกเห็นใจว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ “ข้อสอบ” ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาของคณะรัฐมนตรีนายสมัครนั้นยากเกินไป ยากเสียจน แม้แต่ตัวนายกฯ เองยังสอบได้รองบ๊วย คือเพียง 4.04 คะแนนจาก 10 คะแนน นอกจากนี้ในส่วนตัวของนายสมัคร ยังมีประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามถึง ร้อยละ 27.7 ระบุด้วยว่านายกรัฐมนตรีผู้นี้ “ไม่มีข้อดี” อะไรเลย

ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อพิจารณาถึงผลการสำรวจของกรุงเทพโพลล์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพให้ครบถ้วนกระบวนความ ผมก็พบว่าผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนครั้งนี้ดูจะมีเนื้อหาบางประการที่แปลกแปร่งมิใช่น้อย

กล่าวคือ แม้ว่า นายมิ่งขวัญ และกระทรวงพาณิชย์จะเป็นรัฐมนตรีและกระทรวงที่ประชาชนประเมินผลงานโดยให้คะแนนสูงที่สุด แต่เมื่อถามถึงความพึงพอใจต่อการแก้ปัญหาของรัฐบาล ประชาชนกลับ “ไม่พึงพอใจ” การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาค่าครองชีพ ของรัฐบาลมากที่สุด โดย มีประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 77.7 ที่รู้สึก “ไม่พึงพอใจ”

ขณะที่ในส่วนของคำถามปลายเปิดที่ว่า “ประชาชนต้องการให้รัฐบาลดำเนินการเรื่องใดอย่างเร่งด่วนที่สุด” ผลปรากฏว่า ประชาชนแสดงความต้องการให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไข ปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และราคาสินค้า อย่างเร่งด่วนที่สุดโดยมีประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามมากถึงร้อยละ 69.5 ที่ระบุถึงเรื่องนี้ทิ้งห่างเรื่องอื่นๆ อย่างขาดลอย!

ถัดมาอีกไม่กี่วันหลังจากที่กรุงเทพโพลล์ถูกเผยแพร่ กลุ่มแพทย์อาวุโสก็ออกมากล่าวเตือนด้วยความห่วงใย โดยระบุให้รัฐบาลนายสมัครใส่ใจและให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและภาวะข้าวยากหมากแพงอย่างจริงจัง ก่อนที่จะไปให้ความสำคัญกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ทั้งนี้มีคำพูดหนึ่งของ นพ.บรรลุ ศิริพานิช อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวไว้อย่างน่าสนใจคือ

“ปัจจุบันสถานการณ์ไม่ธรรมดา แต่เข้าสู่ภาวะวิกฤต เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาแทนที่จะมีความสุข สนุกสนาน กินข้าวอร่อย กลับไม่เป็นเช่นนั้น ส่วนการแก้ไขปัญหา หมอประเวศ (นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส) บอกวิธีแก้ไขผ่านหนังสือพิมพ์แบบเป็นรายสัปดาห์อยู่แล้ว เราเตือนเพียงว่าหากรัฐบาลยืนยันจะแก้รัฐธรรมนูญตอนนี้ มันจะยุ่ง จึงขอให้คิดให้ดี ......”

ใช่หรือไม่ว่า รัฐมนตรีและกระทรวงผู้มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่อง “ข้าวยากหมากแพง” ให้กับประชาชนโดยตรงนั้นก็คือ คุณมิ่งขวัญ และ กระทรวงพาณิชย์ที่จากผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์นั้นได้รับคะแนนประเมินผลงานในรอบ 3 เดือนสูงที่สุด?

พูดตามตรง ในช่วงหลายเดือนมานี้คนหาเช้ากินค่ำหลายคนบ่นกับผมและคนรอบตัวเป็นเสียงเดียวกันว่า ในชีวิตไม่เคยประสบกับภาวะข้าวยากหมากแพงหนักหนาสาหัสถึงขนาดนี้มาก่อน ยกตัวอย่างง่ายๆ ข้าวสารที่กินอยู่ทุกวันราคาก็พุ่งขึ้นเป็นเท่าตัวภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน อีกทั้งพอ ครม.ทุบโต๊ะเปรี้ยงเดียวราคาน้ำตาลก็ปรับขึ้นถึง 5 บาท หรือกว่าร้อยละ 30 ในพริบตา ส่วนราคาน้ำมันเบนซินก็เพิ่มขึ้นทะลุ 35 บาทไปนานแล้ว ขณะที่ราคาแก๊สก็จ่อที่จะลอยตัวขึ้นไปอีกเกือบร้อยละ 50 ในระยะเวลาอันใกล้

โดยทัศนะส่วนตัว ผมมองว่าสภาพการณ์ของประเทศไทยวันนี้ได้ถลำตัวเลยจุดวิกฤตเมื่อสิบปีก่อน หรือ วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2539-2540 ไปมากพอสมควร โดยวิกฤตที่เรากำลังประสบและจะเผชิญหน้าต่อไปในอนาคตอันใกล้นั้นจะเป็นวิกฤตครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่ง

สาเหตุที่กล่าวอย่างนั้นก็เพราะว่า เมื่อสิบปีก่อนวิกฤตเศรษฐกิจไทยเกิดขึ้นจากโครงสร้างเศรษฐกิจส่วนบนของประเทศ เกิดจากปัญหาในตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และกระทบมายังฐานเศรษฐกิจด้านล่าง อย่างไรก็ตามเมื่อสิบกว่าปีก่อนประเทศไทยและคนไทยยังโชคดีที่มีพื้นฐานของ ‘ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ มาค้ำชูประเทศ โดยขณะนั้นแม้พนักงานบริษัทจำนวนมากจะตกงาน แต่พวกเขาก็ยังมีบ้านเกิดให้กลับไปพึ่งพิงทำนาทำไร่หาเลี้ยงชีพ ยังมีข้าวแกง-ก๋วยเตี๋ยวราคาย่อมเยาให้รับประทาน ยังมีแท็กซี่ขับ ยังมีน้ำมัน-ก๊าซราคาสมเหตุสมผลให้เติม

แต่วันนี้วิกฤตเศรษฐกิจที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นและกระทบต่อโครงสร้างส่วนล่างของสังคมโดยตรง เป็นวิกฤตพลังงาน เป็นวิกฤตข้าวยากหมากแพง เป็นวิกฤตราคาสาธารณูปโภค เป็นวิกฤตค่าครองชีพ ที่คนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดก็คือเป็นชนชั้นแรงงาน เกษตรกร ชาวนา-ชาวไร่ ที่อยู่ในเมืองและชนบท

ถามว่า ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ บรรดาท่านรัฐมนตรีสอบตกทั้งหลายยังสามารถตื่นเช้าขึ้นมามีความสุข กินข้าวอร่อย และดันทุรังสนับสนุนการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ 2550 ต่อไปได้อีกหรือ?
กำลังโหลดความคิดเห็น