รอยเตอร์ - ผู้อำนวยการซีไอเอกล่าวเมื่อวันพุธ(30)ว่า สหรัฐฯกำลังจับตาดูการเติบโตของจีนอย่างใกล้ชิด เพราะจีนมีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจภายในศตวรรษนี้ อีกทั้งยังมีการเพิ่มกำลังทางทหารขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนอาจเป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ แต่ขณะนี้ยังไม่ถือว่าอย่างไรเสียจีนก็ต้องขึ้นมาเป็นศัตรูกับอเมริกา
ไมเคิล เฮย์เดน ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) แสดงสุนทรพจน์ว่าด้วยแนวโน้มแห่งศตวรรษที่ 21 ที่มหาวิทยาลัยแคนซัส สเตท ในเมืองแมนฮัตตัน มลรัฐแคนซัส โดยกล่าวถึงประเทศจีนว่าจะเป็นคู่แข่งทั้งในเชิงเศรษฐกิจและเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ และมีแนวโน้มว่าจีนจะเพิ่มกำลังทหารต่อไปจนถึงระดับที่ "เป็นปัญหา" ได้
"(ในส่วนของเอเชียนั้น) สหรัฐฯ จะเฝ้าจับตามองจีนซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ และมีอาวุธนิวเคลียร์ เพราะจีนมีความทะเยอทะยานที่จะก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจภายในศตวรรษนี้ และมีแนวโน้มว่าจะทำได้สำเร็จด้วย" เฮย์เดนกล่าว
แต่เฮย์เดนก็เห็นว่าทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจีนจะดำเนินการจากผลประโยชน์ของตนเองอย่างคับแคบ หรือจากมุมมองที่กว้างไกลกว่านั้น
"หากจีนเริ่มยอมรับที่จะเพิ่มความรับผิดชอบในเรื่องความเข้มแข็งของระบบโลก ซึ่งมหาอำนาจทุกประเทศควรยอมรับด้วยเช่นกัน เราก็จะยังคงดำเนินแนวทางความสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์กันต่อไป แม้ว่าจะเป็นคู่แข่งกันไปด้วยก็ตาม หาไม่แล้ว การก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของจีนก็จะเป็นไปในทางปฏิปักษ์เสียมากกว่า" เฮย์เดนกล่าวเสริม
เขายังกล่าวด้วยว่า จีนมีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงพลังความแข็งแกร่งของตน "หลังจากที่โลกตะวันตกครองความเป็นผู้นำโลกมานานสองศตวรรษ" และการสร้างสมกำลังทหารของจีนก็ได้รับอิทธิพลจากการสำแดงแสนยานุภาพของสหรัฐฯในสงครามอ่าวเปอร์เซียทั้งสองครั้ง ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวในทิศทางเช่นนี้ของแดนมังกร ก็ทำให้เกิดความเป็นห่วงเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของปักกิ่งที่มีต่อไต้หวัน
เฮย์เดนยังเห็นว่าจีนต้องการที่จะเข้าถึงตลาด เทคโนโลยี และทรัพยากร และต้องการเพิ่มอิทธิพลของตนเองให้มากขึ้น แต่ก็จะต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายต่างๆ ซึ่งรวมถึงการกระจายรายได้อย่างไม่เป็นธรรม การต้องพึ่งพิงการส่งออกน้ำมันและทรัพยากรอื่นๆ มากขึ้น และสภาพแวดล้อมที่เสื่อมลง
นอกจากประเด็นเกี่ยวกับจีนแล้ว เฮย์เดนยังชี้ให้เห็นแนวโน้มของโลกที่โดดเด่นในศตวรรษนี้อีกสองเรื่อง คือ การเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศยากจนซึ่งจะส่งผลให้มีการอพยพเข้าสู่ประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับยุโรปอันเนื่องมาจากการมีแนวทางแตกต่างกันในเรื่องการต่อสู้กับการก่อการร้าย
ไมเคิล เฮย์เดน ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) แสดงสุนทรพจน์ว่าด้วยแนวโน้มแห่งศตวรรษที่ 21 ที่มหาวิทยาลัยแคนซัส สเตท ในเมืองแมนฮัตตัน มลรัฐแคนซัส โดยกล่าวถึงประเทศจีนว่าจะเป็นคู่แข่งทั้งในเชิงเศรษฐกิจและเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ และมีแนวโน้มว่าจีนจะเพิ่มกำลังทหารต่อไปจนถึงระดับที่ "เป็นปัญหา" ได้
"(ในส่วนของเอเชียนั้น) สหรัฐฯ จะเฝ้าจับตามองจีนซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ และมีอาวุธนิวเคลียร์ เพราะจีนมีความทะเยอทะยานที่จะก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจภายในศตวรรษนี้ และมีแนวโน้มว่าจะทำได้สำเร็จด้วย" เฮย์เดนกล่าว
แต่เฮย์เดนก็เห็นว่าทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจีนจะดำเนินการจากผลประโยชน์ของตนเองอย่างคับแคบ หรือจากมุมมองที่กว้างไกลกว่านั้น
"หากจีนเริ่มยอมรับที่จะเพิ่มความรับผิดชอบในเรื่องความเข้มแข็งของระบบโลก ซึ่งมหาอำนาจทุกประเทศควรยอมรับด้วยเช่นกัน เราก็จะยังคงดำเนินแนวทางความสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์กันต่อไป แม้ว่าจะเป็นคู่แข่งกันไปด้วยก็ตาม หาไม่แล้ว การก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของจีนก็จะเป็นไปในทางปฏิปักษ์เสียมากกว่า" เฮย์เดนกล่าวเสริม
เขายังกล่าวด้วยว่า จีนมีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงพลังความแข็งแกร่งของตน "หลังจากที่โลกตะวันตกครองความเป็นผู้นำโลกมานานสองศตวรรษ" และการสร้างสมกำลังทหารของจีนก็ได้รับอิทธิพลจากการสำแดงแสนยานุภาพของสหรัฐฯในสงครามอ่าวเปอร์เซียทั้งสองครั้ง ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวในทิศทางเช่นนี้ของแดนมังกร ก็ทำให้เกิดความเป็นห่วงเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของปักกิ่งที่มีต่อไต้หวัน
เฮย์เดนยังเห็นว่าจีนต้องการที่จะเข้าถึงตลาด เทคโนโลยี และทรัพยากร และต้องการเพิ่มอิทธิพลของตนเองให้มากขึ้น แต่ก็จะต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายต่างๆ ซึ่งรวมถึงการกระจายรายได้อย่างไม่เป็นธรรม การต้องพึ่งพิงการส่งออกน้ำมันและทรัพยากรอื่นๆ มากขึ้น และสภาพแวดล้อมที่เสื่อมลง
นอกจากประเด็นเกี่ยวกับจีนแล้ว เฮย์เดนยังชี้ให้เห็นแนวโน้มของโลกที่โดดเด่นในศตวรรษนี้อีกสองเรื่อง คือ การเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศยากจนซึ่งจะส่งผลให้มีการอพยพเข้าสู่ประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับยุโรปอันเนื่องมาจากการมีแนวทางแตกต่างกันในเรื่องการต่อสู้กับการก่อการร้าย
