xs
xsm
sm
md
lg

ไป ไป! “สต็อป-เบิร์ด” ธุรกิจไล่นก หนึ่งเดียวในไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – จากปัญหา “นก” เข้าไปรวมตัวอาศัยอยู่ในสถานที่ไม่เหมาะสม สร้างความเสียหายหลายด้าน เช่น กระทบโครงการบ้านหรืออาคาร กินพืชผลเกษตรเสียหาย สร้างความสกปรกเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค เป็นต้น จากความเดือดร้อนดังกล่าว จุดไฟให้ผู้ประกอบการไทยรายหนึ่ง คิดค้นระบบ และผลิตภัณฑ์เพื่อไล่นก จนกลายมาเป็นธุรกิจรายเดียวทั้งในไทย และเอเชีย

แรงบันดาลใจจากปัญหา


ผู้อยู่เบื้องหลังธุรกิจนี้ คือ รัชนะ เลาหสุวรรณพานิช กรรมการผู้จัดการบริษัท สต็อป-เบิร์ด จำกัด ซึ่งจุดเริ่มต้นต้องย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่ครั้งทำงานประจำเป็นเจ้าหน้าที่วิศวกรไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง แล้วได้รับมอบหมายเข้าไปวางระบบไฟฟ้า และซ่อมแซมบูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

ในการทำงานหารือกับ “จรัล ลิฤทธิกำจร” เจ้าหน้าที่ดูแลบริเวณวัดพระแก้ว เล่าปัญหาเรื้อรังมานับสิบปี มีนกจำนวนมากเข้าทำรัง ก่อความเสียหายแก่สถาปัตยกรรมต่างๆ พยายามขับไล่ด้วยวิธีต่างๆ เสียงบประมาณไปไม่น้อย สุดท้ายนกก็กลับมาอีก

เนื่องจากเป็นคนช่างคิด รัชนะได้เริ่มค้นหาข้อมูลวิธีไล่นกจากต่างประเทศ พบว่า ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องมือทันสมัย เช่น เครื่องยิงเลเซอร์ สนามแม่เหล็ก เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ ไม่สามารถใช้ได้ผลกับประเทศไทย เนื่องจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม และอากาศ ทำให้นกในประเทศไทยมีความอึดและทนต่อสภาวะต่างๆ ได้ดีกว่า เครื่องมือทันสมัยของต่างประเทศจึงใช้ไม่ได้ผล

ด้วยความมุ่งมั่นอยากเอาชนะปัญหานี้ รัชนะ ทดลองศึกษาวิธีการต่างๆ ด้วยตัวเอง กระทั่ง พบวิธีขับไล่นกของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้เจลลักษณะคล้ายกาว ทาบริเวณที่นกมาอยู่อาศัย เมื่อนกสัมผัสเจลนี้จะติดเป็นเส้นใย เสียสมดุลในการบิน และไม่อยากกลับมาอยู่ที่เดิมอีก

คลอดเจลไล่นก “TOFLY”

อย่างไรก็ตาม เจลดังกล่าวไม่เหมาะจะใช้ในประเทศไทย เพราะสภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน ทำให้เมื่อทาแล้วเกิดไหลเยิ้ม ดังนั้น รัชนะพยายามเรียนรู้ และลองผิดลองถูก เพื่อผลิตเจลไล่นกของตัวเอง โดยใช้เวลากว่า 7 ปี ใช้งบประมาณไปกว่าล้านบาท จนได้ผลิตภัณฑ์น่าพอใจ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “TOFLY” ซึ่งจดอนุสิทธิบัตรคุ้มครองสูตรการผลิตไว้แล้ว

คุณสมบัติของ “TOFLY” สามารถคงสภาพอยู่ได้ในอุณหภูมิตั้งแต่ 5-90 องศาเซลเซียล และมีอายุใช้งานนานประมาณ 3-5 ปี (ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ถ้าบริเวณที่มีฝุ่นอายุใช้งานจะสั้นลง) ล้างออกได้ด้วยน้ำมันพืช สามารถใช้ได้กับนกทุกชนิดที่ขนาดเล็กกว่า “กา”

สำหรับเจลที่คิดค้นขึ้น ผลิตจากวัตถุธรรมชาติ 30% กับกลุ่มปิโตรเคมี 70% ไม่เป็นอันตรายต่อคน และสัตว์ จากที่ส่งให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี ตรวจสอบมีค่าเป็นพิษน้อยกว่าเกลือเสียอีก ดังนั้น การขับไล่ไม่ได้ใช้สารพิษ แต่เคล็ดลับให้ขับไล่นกได้นั้น อาศัยหลักการง่ายๆ โดยทาเจลในบริเวณที่นกเข้าไปอาศัย เพื่อให้เจลติดตามตัวมัน ซึ่งเจลจะติดเป็นเส้นใยยาวไม่มีหลุด หรือแห้งไป จนมันเสียสมดุลในการบิน และไม่อยากกลับมาอยู่ที่เดิมอีก

ทั้งนี้ การทาเจลสามารถทำได้ 3 ระดับ คือ ป้องกัน ขับไล่ และกำจัด กล่าวคือ วิธีทาป้องกัน จะโรยเป็นเส้นๆ หรือหยอดเป็นจุดๆ ตั้งแต่ยังไม่มีนกเข้ามาอาศัย วิธีนี้ เมื่อนกจะเข้ามาอยู่ เจอเจลที่โรยไว้ติดที่ขา ก็จะรำคาญหนีหาสถานที่อื่นแทน

ส่วนการทาขับไล่นกที่เข้ามาอยู่อาศัยแล้ว ต้องทาให้ทั่วพื้นที่ ด้วยความหนาอย่างน้อย 3 มิลลิเมตร เมื่อนกถูกเจลจะมีเส้นใยคล้ายสาวบัวติดขามันไปเป็นสายยาว เสียสมดุลในการบิน ยิ่งกลับมาอยู่เส้นใยก็ยิ่งติดมากขึ้น จนต้องยอมย้ายไปอยู่ที่อื่นแทน ส่วนการทากำจัด ใช้วิธีทาทั้งแนวราบ และแนวตั้ง ซึ่งเจลจะติดทั้งส่วนขา และปีก ทำให้มันไม่สามารถปีกได้ สุดท้ายก็ต้องร่วงลงพื้น

“ธุรกิจนี้ มันอาจดูโหดร้าย ยิ่งเป็นนกที่ทำรัง ออกไข่ มีลูก มันจะยิ่งผูกพันกับที่อยู่ ต้องถูกเจล กว่า 3 ครั้ง จึงยอมออกไป ดูแล้วน่าสงสาร แต่เราก็ต้องชั่งใจถึงความจำเป็นที่ต้องทำ ซึ่งธุรกิจไล่นกด้วยวิธีแบบนี้ บริษัทฯ เป็นรายแรกในประเทศ และในเอเชีย ถ้าทั่วโลกน่าจะเป็นรายที่ 3” รัชนะ เผย

แผนตลาดไม่ได้ผลคืนเงิน

ทั้งนี้ บริษัท สต็อป-เบิร์ด จำกัด เริ่มเปิดบริการไล่นกเต็มรูปแบบเมื่อเดือนกรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา โดยคิดค่าบริการ 3,500 บาท (ในพื้นที่ไม่เกิน 120 ตารางเมตร) การันตี 1 ปี นกจะไม่กลับมาอยู่ที่เดิม รับประกัน หากไม่ได้ผลยินดีคืนเงิน อีกส่วน ขายผลิตภัณฑ์เจลไล่นก “TOFLY” กระป๋องละ 2,800 บาท (ขนาด 4 ลิตร) โดยลูกค้าซื้อไปใช้ทาเอง

รัชนะ เผยต่อว่า ด้านการผลิตใช้วิธีว่าจ้างโรงงานหลายแห่งผลิตส่วนประกอบแต่ละอย่าง แล้วมาผสมเอง เพื่อป้องกันโดนลอกเลียนสูตร มีศักยภาพผลิตประมาณ 100 กระเป๋า/ วัน กลุ่มลูกค้ามีทั้งบ้านพักทั่วไป หน่วยงานราชการ บริษัทเอกชน วัด และโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น รายได้นับแต่ต้นปี 2551 ที่ผ่านมา เฉลี่ยเดือนละ 1.5 ล้านบาท ถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 10 ล้านบาท

ส่วนปัญหาของธุรกิจนั้น เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และไม่มีมาตรฐานใดๆ รองรับ เพราะเครื่องหมายคุณภาพสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. ) หรือเครื่องหมายอาหารและยา (อย.) ต่างไม่เข้าเกณฑ์รับรองสินค้าชนิดนี้ ทำให้ลูกค้าคนไทยยังขาดความไว้วางใจ นิยมใช้สินค้าต่างชาติ ซึ่งราคาสูงกว่านับสิบเท่าตัว

รัชนะ ระบุถึงแผนธุรกิจต่อไป ในระยะสั้น จะขยายตัวแทนจำหน่ายให้มากที่สุด จากปัจจุบัน มีเพียงแค่ 8 รายเท่านั้น และเร็วๆ นี้ กำลังจะผลิตแบบหยอดขนาดเล็ก ราคาประมาณ 200-300 บาท วางขายในห้างจำหน่ายอุปกรณ์ภายในบ้าน ส่วนแผนระยะยาวตั้งเป้าจะสร้างระบบตัวแทนจำหน่ายให้เข้มแข็ง แล้วขยายสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป

โทร.0-2899-9928 , 081-771-6688
กำลังโหลดความคิดเห็น