เมื่อเวลา 10.30 น. วานนี้ (23เม.ย.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "นโยบายรัฐบาลด้านการสนับสนุน ส่งเสริมพระพุทธศาสนา" ณ ศาลามหาเจษฎาบดินทร์ ชั้น 3 วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ โดยมีพระพรหมวชิรญาณ ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นองค์ประธานในพิธี พร้อมทั้งพระชั้นผู้ใหญ่ และเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดจำนวน 400 สำนักร่วมรับฟัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายสมัคร กล่าวออกตัวก่อนว่าสิ่งที่ตนจะอ่านให้ฟังนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ได้เตรียมไว้ แต่ตนอยากจะพูดในส่วนของตนมากกว่า ทั้งนี้ในส่วนที่เจ้าหน้าที่เตรียมให้นายสมัครพูดนั้น ระบุว่า รัฐบาลกำหนดแนวทางจะพัฒนาด้านพุทธศาสนา เช่น 1.ให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา สนับสนุนการพัฒนาวัดและศาสนสถานให้สะอาด สงบ ร่มรื่น สวยงามเพื่อเป็นประโยชน์ในด้านใจจิตกับชุมชนและประชาชน
2. ส่งเสริมและสนับสนุนศาสนศึกษาและศาสนทายาทในการเผยแผ่ศาสนาธรรมในการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม
3.สนับสนุนให้เด็กและเยาวชน ประชาชนได้ศึกษาศาสนาธรรมและการนำหลักมาใช้เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งร่วมประกอบพิธีทางศาสนามากขึ้น
4.พัฒนาระบบการบริหารและบุคคลกรด้านศาสนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 5.พัฒนาเครื่องมือกลไกต่างๆ เช่น กฎหมาย หลักสูตร ศาสนธรรม ให้เข้ากับยุคสมัย เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
จากนั้นนายสมัคร เริ่มกล่าวถึงสิ่งที่อยากจะพูดนอกเหนือจากที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้ ว่า ตนไม่ได้ปาฐกถาทำนองอวดรู้กับพระคุณเจ้า และไม่ได้เอามะพร้าวห้าวมาขายให้วัดยานนาวา เพียงแต่แสดงความเห็นไว้เท่านั้น ซึ่งตนยังไม่ได้บวช เรียนก็ไม่ได้เรียน แต่อาศัยเป็นลูกศิษย์วัดฟังท่านเทศน์ ปาฐกถาธรรมตามวัดต่างๆ ก็เก็บเอาร้อยเรียงกันไว้
นายสมัคร กล่าวแนะนำเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดทั้ง 400 รูปว่า ถามว่าในส่วนสำนักปฏิบัติธรรมเวลาชวนให้ประชาชนปฏิบัติธรรมได้ทำอย่างไรบ้าง ตนในฐานะเป็นศาสนิกชนอยากถวายความเห็นว่า ในฐานะคนที่จะถูกชวนมาปฏิบัติธรรมอยากให้เจ้าสำนักฯปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธทาสภิกขุ และหลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์ ที่ใช้วิธีการปาฐกถาธรรม เนื่องจากท่านทั้ง 2 เข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยนำสิ่งที่อยู่ใน และนอกใบลานนำมาใช้ทั้งหมด มาชวนให้ประชาชนมาปฏิบัติธรรม
นายสมัคร กล่าวว่า ก่อนที่จะสอนให้คนทำวิปัสนา เราต้องเริ่มต้นกล่าวถึงของดีในพระพุทธศาสนาให้ประชาชนมองเห็นทะลุปรุโปร่ง เริ่มต้นตั้งแต่พุทธประวัติของพระพุทธเจ้าว่า ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพาน เมื่อใด รวมทั้งบอกถึงลักษณะของคนที่เป็นมหาบุรุษอย่างพระพุทธเจ้าว่า เป็นอย่างไร อีกทั้งอธิบายถึงหลักการพ้นทุกข์ด้วยอริยสัจ 4 ที่มาและความสำคัญของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และหลักธรรมของพระพุทธว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งทุกอย่างสามารถหยิบมาเป็นปาฐกถาธรรม
"ซึ่งเรื่องพวกนี้พระคุณเจ้าควรจะได้ศึกษาเรื่องราว ได้อ่านหนังสือที่เขาสอนในวิชามัคคุเทศน์ เพื่อตอบให้คนนอกศาสนาเข้าใจว่า ทำไมพุทธรูป พระพุทธเจ้า ทำไมหน้าตาเป็นอย่างนั้น ก็ต้องตอบได้ว่าอย่างไร" นายสมัครกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายสมัคร ยกตัวอย่างเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เจ้าสำนักฯน่าจะนำมาเล่าในการปาฐกถานั้นควรเล่า ถึงประวัติของพระพุทธศาสนา ลักษณะของพระพุทธรูปปางต่างๆ เล่าถึงสถานที่ที่มีความสำคัญด้านพระพุทธศาสนา ทิศ 6 และหลักเบญจศีล หรือศีล 5 ที่พระสงฆ์มักจะเทศน์ให้ประชาชนยึดศีล 5 ก่อน
"ซึ่งเมื่อ 2500 ปีที่แล้วสมัยนั้นไม่มี ไทยรัฐ-เดลินิวส์ และบ้านเมืองไม่มีโจรผู้ร้าย แต่พระพุทธเจ้านึกได้อย่างไร ต้องมีศีล 5 ข้อ ซึ่งสมัยนี้ไปอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ สีเขียว เดลินิวส์สีชมพู ก็ได้จะเจอข่าวผิดศีลทุกวัน ทั้งเพราะฆ่ากันตาย ลักทรัพย์ ชู้ยิงผัว ผัวยิงชู้ ไม่รักษาวาจา และเมาถูกรถชนตายฯ " นายสมัครกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหนึ่งของการปาฐกถา นายสมัคร ได้กล่าวถึงถนนที่จะวิ่งเข้าสู่กทม.ว่า สมัยก่อนมีเพียง 3 สาย คือ สุขุมวิท พหลโยธิน เพชรเกษม เท่านั้น แต่เมื่อเจริญขึ้นก็มีถนนมากขึ้น จนทำให้รถติดมากขึ้นจนเกิดความทุกข์ ซึ่งตนเคยไปเมื่อสมัยเรียนหนังสือที่อเมริกาและอังกฤษ เห็นถนนประเทศเหล่านั้นแล้วจึงอยากจะนำมาพัฒนาประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดมาตั้งแต่เป็น ส.ส. กทม และกว่าจะได้ทำต้องได้มาเป็นรมว.คมนาคม จึงได้ดำเนินการ และหลังจากนั้นได้เป็นรองนายกฯ จึงได้ดำเนินการต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการปาฐกถาของนายสมัครครั้งนี้ พระสงฆ์ส่วนใหญ่ต้องการทราบนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แต่ปรากฏว่า นายสมัคร กล่าวถึงส่วนนั้นเพียงเล็กน้อย จากกระดาษที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้เท่านั้น จึงทำให้พระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่เตรียมกระดาษมาจดนโยบายของรัฐบาลต้องนั่งฟังยังอย่างนิ่งๆ เพราะนโยบายของรัฐบาลไม่มีความชัดเจน และไม่ได้รับคำตอบจากนายกรัฐมนตรีเท่าที่ควร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายสมัคร กล่าวออกตัวก่อนว่าสิ่งที่ตนจะอ่านให้ฟังนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ได้เตรียมไว้ แต่ตนอยากจะพูดในส่วนของตนมากกว่า ทั้งนี้ในส่วนที่เจ้าหน้าที่เตรียมให้นายสมัครพูดนั้น ระบุว่า รัฐบาลกำหนดแนวทางจะพัฒนาด้านพุทธศาสนา เช่น 1.ให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา สนับสนุนการพัฒนาวัดและศาสนสถานให้สะอาด สงบ ร่มรื่น สวยงามเพื่อเป็นประโยชน์ในด้านใจจิตกับชุมชนและประชาชน
2. ส่งเสริมและสนับสนุนศาสนศึกษาและศาสนทายาทในการเผยแผ่ศาสนาธรรมในการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม
3.สนับสนุนให้เด็กและเยาวชน ประชาชนได้ศึกษาศาสนาธรรมและการนำหลักมาใช้เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งร่วมประกอบพิธีทางศาสนามากขึ้น
4.พัฒนาระบบการบริหารและบุคคลกรด้านศาสนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 5.พัฒนาเครื่องมือกลไกต่างๆ เช่น กฎหมาย หลักสูตร ศาสนธรรม ให้เข้ากับยุคสมัย เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
จากนั้นนายสมัคร เริ่มกล่าวถึงสิ่งที่อยากจะพูดนอกเหนือจากที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้ ว่า ตนไม่ได้ปาฐกถาทำนองอวดรู้กับพระคุณเจ้า และไม่ได้เอามะพร้าวห้าวมาขายให้วัดยานนาวา เพียงแต่แสดงความเห็นไว้เท่านั้น ซึ่งตนยังไม่ได้บวช เรียนก็ไม่ได้เรียน แต่อาศัยเป็นลูกศิษย์วัดฟังท่านเทศน์ ปาฐกถาธรรมตามวัดต่างๆ ก็เก็บเอาร้อยเรียงกันไว้
นายสมัคร กล่าวแนะนำเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดทั้ง 400 รูปว่า ถามว่าในส่วนสำนักปฏิบัติธรรมเวลาชวนให้ประชาชนปฏิบัติธรรมได้ทำอย่างไรบ้าง ตนในฐานะเป็นศาสนิกชนอยากถวายความเห็นว่า ในฐานะคนที่จะถูกชวนมาปฏิบัติธรรมอยากให้เจ้าสำนักฯปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธทาสภิกขุ และหลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์ ที่ใช้วิธีการปาฐกถาธรรม เนื่องจากท่านทั้ง 2 เข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยนำสิ่งที่อยู่ใน และนอกใบลานนำมาใช้ทั้งหมด มาชวนให้ประชาชนมาปฏิบัติธรรม
นายสมัคร กล่าวว่า ก่อนที่จะสอนให้คนทำวิปัสนา เราต้องเริ่มต้นกล่าวถึงของดีในพระพุทธศาสนาให้ประชาชนมองเห็นทะลุปรุโปร่ง เริ่มต้นตั้งแต่พุทธประวัติของพระพุทธเจ้าว่า ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพาน เมื่อใด รวมทั้งบอกถึงลักษณะของคนที่เป็นมหาบุรุษอย่างพระพุทธเจ้าว่า เป็นอย่างไร อีกทั้งอธิบายถึงหลักการพ้นทุกข์ด้วยอริยสัจ 4 ที่มาและความสำคัญของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และหลักธรรมของพระพุทธว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งทุกอย่างสามารถหยิบมาเป็นปาฐกถาธรรม
"ซึ่งเรื่องพวกนี้พระคุณเจ้าควรจะได้ศึกษาเรื่องราว ได้อ่านหนังสือที่เขาสอนในวิชามัคคุเทศน์ เพื่อตอบให้คนนอกศาสนาเข้าใจว่า ทำไมพุทธรูป พระพุทธเจ้า ทำไมหน้าตาเป็นอย่างนั้น ก็ต้องตอบได้ว่าอย่างไร" นายสมัครกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายสมัคร ยกตัวอย่างเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เจ้าสำนักฯน่าจะนำมาเล่าในการปาฐกถานั้นควรเล่า ถึงประวัติของพระพุทธศาสนา ลักษณะของพระพุทธรูปปางต่างๆ เล่าถึงสถานที่ที่มีความสำคัญด้านพระพุทธศาสนา ทิศ 6 และหลักเบญจศีล หรือศีล 5 ที่พระสงฆ์มักจะเทศน์ให้ประชาชนยึดศีล 5 ก่อน
"ซึ่งเมื่อ 2500 ปีที่แล้วสมัยนั้นไม่มี ไทยรัฐ-เดลินิวส์ และบ้านเมืองไม่มีโจรผู้ร้าย แต่พระพุทธเจ้านึกได้อย่างไร ต้องมีศีล 5 ข้อ ซึ่งสมัยนี้ไปอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ สีเขียว เดลินิวส์สีชมพู ก็ได้จะเจอข่าวผิดศีลทุกวัน ทั้งเพราะฆ่ากันตาย ลักทรัพย์ ชู้ยิงผัว ผัวยิงชู้ ไม่รักษาวาจา และเมาถูกรถชนตายฯ " นายสมัครกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหนึ่งของการปาฐกถา นายสมัคร ได้กล่าวถึงถนนที่จะวิ่งเข้าสู่กทม.ว่า สมัยก่อนมีเพียง 3 สาย คือ สุขุมวิท พหลโยธิน เพชรเกษม เท่านั้น แต่เมื่อเจริญขึ้นก็มีถนนมากขึ้น จนทำให้รถติดมากขึ้นจนเกิดความทุกข์ ซึ่งตนเคยไปเมื่อสมัยเรียนหนังสือที่อเมริกาและอังกฤษ เห็นถนนประเทศเหล่านั้นแล้วจึงอยากจะนำมาพัฒนาประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดมาตั้งแต่เป็น ส.ส. กทม และกว่าจะได้ทำต้องได้มาเป็นรมว.คมนาคม จึงได้ดำเนินการ และหลังจากนั้นได้เป็นรองนายกฯ จึงได้ดำเนินการต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการปาฐกถาของนายสมัครครั้งนี้ พระสงฆ์ส่วนใหญ่ต้องการทราบนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แต่ปรากฏว่า นายสมัคร กล่าวถึงส่วนนั้นเพียงเล็กน้อย จากกระดาษที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้เท่านั้น จึงทำให้พระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่เตรียมกระดาษมาจดนโยบายของรัฐบาลต้องนั่งฟังยังอย่างนิ่งๆ เพราะนโยบายของรัฐบาลไม่มีความชัดเจน และไม่ได้รับคำตอบจากนายกรัฐมนตรีเท่าที่ควร