นักสังคมวิทยาผู้หนึ่งกล่าวว่า หากพิจารณาทางการจัดโครงสร้างองค์กรแล้ว โรงเรียนประจำกับคุกก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย กล่าวคือ ต่างเป็น “สังคมปิด” ที่แยกตัวออกจากสังคมภายนอก ทั้งโรงเรียนประจำและคุกต่างก็มีความพอเพียงในตัวของมันเอง มีโรงครัว โรงนอน โรงพยาบาล มีกฎการควบคุมดูแล มีระเบียบข้อบังคับ มีตารางเวลากำหนดการดำเนินชีวิต
การที่โรงเรียนประจำจะแตกต่างไปจากคุกได้นั้น อย่างแรกจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน โรงเรียนประจำทำการ “อบรมบ่มนิสัย” เด็ก ส่วนคุกนั้นเป็นการลงทัณฑ์เพื่อดัดแปลงนิสัยที่ไม่ดีที่เป็นภัยต่อสังคม หรืออาจจะเรียกว่า “การดัดสันดาน” ก็ว่าได้
แม้ว่าโรงเรียนประจำจะเน้นการมีระเบียบวินัยก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายหลัก เป้าหมายหลักคือการให้การศึกษาที่รอบด้าน เพราะมีเวลาอบรมทั้งวัน ผิดกับโรงเรียนไป-กลับซึ่งเด็กเรียนทางวิชาการเป็นหลัก
เนื่องจากโรงเรียนประจำมีลักษณะเป็นสังคมปิด ผู้บริหารโรงเรียนจึงต้องพยายามหาโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ความเป็นไปของโลกภายนอก โดยปกตินักเรียนประจำจะชอบคบหาสมาคมกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันมากกว่าคนอื่น การที่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาหรือทำกิจกรรมนอกโรงเรียนร่วมกับผู้อื่นบ้างก็จะเป็นการดี
ผมเคยเป็นนักเรียนประจำรวมเวลา 11 ปี และมีโอกาสดูแลโรงเรียนประจำอีก 11 ปี สิ่งที่ผมคำนึงอยู่เสมอก็คือโรงเรียนประจำไม่ใช่คุก มีระยะหนึ่งที่มีเด็กหนีโรงเรียนและมีคนที่ดูแลการปกครองสั่งให้คนงานกั้นลวดหนามบนกำแพง ทำให้ผมต้องรีบสั่งให้รื้อถอนไป
การสร้างบรรยากาศเพื่อการเรียนรู้ที่เป็นมิตรกับเด็กเป็นสิ่งสำคัญ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างครูกับนักเรียนเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ถ้าเราคอยจับผิดเด็กตลอดเวลา เด็กก็จะเกิดความกลัว และจะหลบหลีกไปทำความผิด บางคนอาจคิดว่าระเบียบหย่อนยานลง แต่การสร้างให้เด็กมีระเบียบวินัยในตนเองสามารถทำได้โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้เชิงบวก เช่น การนำโครงการ 5 ส.เข้ามาใช้ในโรงเรียนอย่างจริงจัง เป็นต้น
การที่จะให้เด็กได้มีเวลาว่างเลือกทำกิจกรรมที่ตนสนใจ โดยเด็กเป็นผู้เลือกเองเป็นเรื่องที่ดี ก่อนผมไปเป็นผู้ดูแลโรงเรียนประจำ มีการเรียนวันเสาร์ด้วย ผมได้ยกเลิกให้มีการไปทำกิจกรรมแทน เพิ่มกิจกรรมขึ้นอีกมากมายตามความต้องการของนักเรียน เช่น มีการหัดถ่ายรูปแบบมืออาชีพ เป็นต้น
โรงเรียนประจำในต่างประเทศเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน อุปกรณ์การทำอาหารก็ดี อาหารถูกสุขอนามัยและอร่อย ส่วนมากมีให้เลือก 2-3 อย่าง ดังนั้นความคิดความเชื่อของคนบางคนที่ว่าอยู่โรงเรียนประจำต้องสอนให้เด็กอดทน อย่าให้กินอาหารดีนัก ข้าวก็ไม่จำเป็นต้องดีมาก เอาข้าวที่ผู้ส่งออกคัดออกให้เด็กกินก็ได้ ความเชื่อนี้โรงเรียนประจำที่ดีๆ ทุกแห่งหมดไปแล้ว
โรงเรียนสมัยนี้ต้องสอนทั้งวิชาการ และทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตในอนาคต คอมพิวเตอร์และภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่จำเป็น ผมเคยหาครูฝรั่งมาถึง 17 คนให้สอนเด็กจนภาษาอังกฤษดีขึ้นมาก ตอนนี้ได้ข่าวว่าเหลือแค่ 2 คน เพื่อนบางคนบอกว่า เรียนภาษาอังกฤษต้องเน้นไวยากรณ์ หารู้ไม่ว่าเวลานี้ไม่มีใครทำอย่างนั้นแล้ว
เด็กจะดีได้ครูต้องดี การพัฒนาครูจะต้องทำทั้งการอบรมภายใน และให้ไปเปิดหูเปิดตาดูโรงเรียนในต่างประเทศ จะได้เห็นว่าวิธีการสอนดีๆ นั้น เขาทำกันอย่างไร ที่สำคัญก็คือต้องสร้างความมั่นใจในตัวเองให้ครู ส่งเสริมให้ครูลงมือทำหลักสูตรกันเอง ซึ่งแม้จะช้าเสียเวลาหน่อยแต่ก็ได้ผลคุ้มค่า ไม่ใช่ปล่อยให้คนที่ไม่รู้เรื่องการศึกษามาสั่งครูให้ทำหลักสูตร
การทำโรงเรียนประจำให้ดี เป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลา แต่การทำให้โรงเรียนเลวลง ทำได้ง่าย บางทีก็เพราะความไม่รู้ของผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง การเข้าใจเป้าหมายของการศึกษาผิดไปก็มีส่วนทำให้เกิดความยึดติด และใช้ระเบียบบังคับ เพราะเห็นว่าปกครองง่าย
พูดถึงเรื่องโรงเรียนประจำแล้ว ผมก็ขอบอกนักเรียน ครู และผู้ปกครองเด็กๆ ที่วชิราวุธวิทยาลัยด้วยว่า ตั้งแต่ผมออกมาแล้ว ก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับโรงเรียนเลย และไม่เคยได้รับการขอคำปรึกษาจากใครๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นที่มีผู้อ้างว่าได้ขอคำปรึกษาจากผมอยู่เสมอหลายๆ อย่างนั้น จึงไม่เป็นความจริง เป็นการแอบอ้างเท่านั้น
การที่โรงเรียนประจำจะแตกต่างไปจากคุกได้นั้น อย่างแรกจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน โรงเรียนประจำทำการ “อบรมบ่มนิสัย” เด็ก ส่วนคุกนั้นเป็นการลงทัณฑ์เพื่อดัดแปลงนิสัยที่ไม่ดีที่เป็นภัยต่อสังคม หรืออาจจะเรียกว่า “การดัดสันดาน” ก็ว่าได้
แม้ว่าโรงเรียนประจำจะเน้นการมีระเบียบวินัยก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายหลัก เป้าหมายหลักคือการให้การศึกษาที่รอบด้าน เพราะมีเวลาอบรมทั้งวัน ผิดกับโรงเรียนไป-กลับซึ่งเด็กเรียนทางวิชาการเป็นหลัก
เนื่องจากโรงเรียนประจำมีลักษณะเป็นสังคมปิด ผู้บริหารโรงเรียนจึงต้องพยายามหาโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ความเป็นไปของโลกภายนอก โดยปกตินักเรียนประจำจะชอบคบหาสมาคมกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันมากกว่าคนอื่น การที่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาหรือทำกิจกรรมนอกโรงเรียนร่วมกับผู้อื่นบ้างก็จะเป็นการดี
ผมเคยเป็นนักเรียนประจำรวมเวลา 11 ปี และมีโอกาสดูแลโรงเรียนประจำอีก 11 ปี สิ่งที่ผมคำนึงอยู่เสมอก็คือโรงเรียนประจำไม่ใช่คุก มีระยะหนึ่งที่มีเด็กหนีโรงเรียนและมีคนที่ดูแลการปกครองสั่งให้คนงานกั้นลวดหนามบนกำแพง ทำให้ผมต้องรีบสั่งให้รื้อถอนไป
การสร้างบรรยากาศเพื่อการเรียนรู้ที่เป็นมิตรกับเด็กเป็นสิ่งสำคัญ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างครูกับนักเรียนเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ถ้าเราคอยจับผิดเด็กตลอดเวลา เด็กก็จะเกิดความกลัว และจะหลบหลีกไปทำความผิด บางคนอาจคิดว่าระเบียบหย่อนยานลง แต่การสร้างให้เด็กมีระเบียบวินัยในตนเองสามารถทำได้โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้เชิงบวก เช่น การนำโครงการ 5 ส.เข้ามาใช้ในโรงเรียนอย่างจริงจัง เป็นต้น
การที่จะให้เด็กได้มีเวลาว่างเลือกทำกิจกรรมที่ตนสนใจ โดยเด็กเป็นผู้เลือกเองเป็นเรื่องที่ดี ก่อนผมไปเป็นผู้ดูแลโรงเรียนประจำ มีการเรียนวันเสาร์ด้วย ผมได้ยกเลิกให้มีการไปทำกิจกรรมแทน เพิ่มกิจกรรมขึ้นอีกมากมายตามความต้องการของนักเรียน เช่น มีการหัดถ่ายรูปแบบมืออาชีพ เป็นต้น
โรงเรียนประจำในต่างประเทศเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน อุปกรณ์การทำอาหารก็ดี อาหารถูกสุขอนามัยและอร่อย ส่วนมากมีให้เลือก 2-3 อย่าง ดังนั้นความคิดความเชื่อของคนบางคนที่ว่าอยู่โรงเรียนประจำต้องสอนให้เด็กอดทน อย่าให้กินอาหารดีนัก ข้าวก็ไม่จำเป็นต้องดีมาก เอาข้าวที่ผู้ส่งออกคัดออกให้เด็กกินก็ได้ ความเชื่อนี้โรงเรียนประจำที่ดีๆ ทุกแห่งหมดไปแล้ว
โรงเรียนสมัยนี้ต้องสอนทั้งวิชาการ และทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตในอนาคต คอมพิวเตอร์และภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่จำเป็น ผมเคยหาครูฝรั่งมาถึง 17 คนให้สอนเด็กจนภาษาอังกฤษดีขึ้นมาก ตอนนี้ได้ข่าวว่าเหลือแค่ 2 คน เพื่อนบางคนบอกว่า เรียนภาษาอังกฤษต้องเน้นไวยากรณ์ หารู้ไม่ว่าเวลานี้ไม่มีใครทำอย่างนั้นแล้ว
เด็กจะดีได้ครูต้องดี การพัฒนาครูจะต้องทำทั้งการอบรมภายใน และให้ไปเปิดหูเปิดตาดูโรงเรียนในต่างประเทศ จะได้เห็นว่าวิธีการสอนดีๆ นั้น เขาทำกันอย่างไร ที่สำคัญก็คือต้องสร้างความมั่นใจในตัวเองให้ครู ส่งเสริมให้ครูลงมือทำหลักสูตรกันเอง ซึ่งแม้จะช้าเสียเวลาหน่อยแต่ก็ได้ผลคุ้มค่า ไม่ใช่ปล่อยให้คนที่ไม่รู้เรื่องการศึกษามาสั่งครูให้ทำหลักสูตร
การทำโรงเรียนประจำให้ดี เป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลา แต่การทำให้โรงเรียนเลวลง ทำได้ง่าย บางทีก็เพราะความไม่รู้ของผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง การเข้าใจเป้าหมายของการศึกษาผิดไปก็มีส่วนทำให้เกิดความยึดติด และใช้ระเบียบบังคับ เพราะเห็นว่าปกครองง่าย
พูดถึงเรื่องโรงเรียนประจำแล้ว ผมก็ขอบอกนักเรียน ครู และผู้ปกครองเด็กๆ ที่วชิราวุธวิทยาลัยด้วยว่า ตั้งแต่ผมออกมาแล้ว ก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับโรงเรียนเลย และไม่เคยได้รับการขอคำปรึกษาจากใครๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นที่มีผู้อ้างว่าได้ขอคำปรึกษาจากผมอยู่เสมอหลายๆ อย่างนั้น จึงไม่เป็นความจริง เป็นการแอบอ้างเท่านั้น