“คุณคำนูณดูข่าวช่อง 11 เมื่อวันก่อนไหม ผมว่า...เราน่าจะทำอะไรสักอย่างไหม...”
คุณชลิต แก้วจินดา เพื่อนสมาชิกวุฒิสภาจากจังหวัดอุตรดิถต์ เดินเข้ามาคุยกับผมขณะนั่งรับประทานอาหารในห้อง 306 – 308 อาคารรัฐสภา 2 หลังงานทำบุญสงกรานต์ของวุฒิสภาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2551 หน้าตาท่านดูจริงจังและวิตกกับสิ่งที่ได้เห็นหน้าจอทีวีวันนั้นมาก
คุณสุรวิชช์ วีรวรรณ เพื่อนร่วมชายคาบ้านพระอาทิตย์ เป็นคนแรกที่เล่าปรากฎการณ์ข่าวเดียวกันนี้บนจอ NBT หรือสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 เดิมให้ผมฟังก่อนหน้านั้นวันหนึ่ง
2 คน 2 ที่มา 2 ภูมิหลังมาตกอกตกใจในเรื่องเดียวกัน – ไม่ปกติแน่ !
เสียดายที่ผมไม่ได้ดูข่าวชิ้นนั้น
ข่าวแพร่ภาพอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวกับวันหยุดสงกรานต์ อยู่ในส่วนของข่าวต่างประเทศ แต่น่าจะเป็นช่วงวิเคราะห์หรือรายงานพิเศษที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการเลือกตั้งในประเทศเนปาล ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์กำลังจะถูกลบล้างไปจากโครงสร้างระบบการเมืองการปกครองหลังชัยชนะของพรรคการเมืองนิยมลัทธิเหมา หรือที่นิยมเรียกทับศัพท์กันว่าเหมาอิสม์
คุณสุรวิชช์ วีรวรรณ ที่ขลุกอยู่กับงานข่าวทั้งหนังสือพิมพ์และทีวีมาเกือบทั้งชีวิต ตั้งข้อสังเกตว่า NBT เจตนาให้ความสำคัญกับข่าวเลือกตั้งเนปาลเป็นพิเศษ เพราะโดยปกติข่าวต่างประเทศทั่วไปจะมีผู้ประกาศมาอ่านข่าวตามสคริปต์ปกติเท่านั้น แต่กับข่าวนี้ช่วงก่อนเข้าข่าว NBT จะมี “อินเตอร์ลูด” นำ ซึ่งหมายถึงการทำเป็นรูปกราฟฟิคและมี “จิงเกิ้ล” โดยมีตัวหนังสือเขียนว่า “จับตาการเลือกตั้งเนปาล” โดยในเนื้อหาข่าวรายงานว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการชี้ชะตาราชวงศ์เนปาล และบอกว่า แนวโน้มการเลือกตั้งนี้พรรคนิยมลัทธิเหมาจะเป็นฝ่ายชนะ
คุณชลิต แก้วจินดา เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่กับวงการข่าว แต่ดูแล้วหงุดหงิด เพราะในเนื้อข่าวซึ่งน่าจะเป็นภาพข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศมีการไปสัมภาษณ์ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ให้วิพากษ์วิจารณ์ระบบกษัตริย์ NBT ก็แปลมาเป็นภาษาไทยแพร่ภาพอย่างละเอียดพอสมควร ท่านรำพึงออกมาว่า...
“จริงอยู่แหละที่เป็นเรื่องของเนปาล แต่เรื่องพรรค์นี้มีความละเอียดอ่อนมาก ผมสงสัยว่าทีวีของรัฐบาลใช้วิจารณญาณไตร่ตรองรอบคอบเพียงพอแล้วหรือ ผ่านหูผ่านตาผู้ใหญ่แค่ไหน แปลผิดแปลถูกอย่างไร...”
ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา -- ผมไม่แน่ใจว่าคุณชลิต แก้วจินดาจะริเริ่มดำเนินการต่อไปอย่างไรหรือไม่
เพราะถ้ายื่นกระทู้ถาม – รัฐมนตรีจักรภพ เพ็ญแขก็จะมาตอบว่าเป็นการรายงานข่าวตามปกติ เป็นมิติใหม่ของทีวีของรัฐที่ให้เสรีภาพแก่คนทำงานข่าว และเปิดโลกทัศน์กว้างขวางแก่ประชาชน
“...นี่พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยหรือ” สมาชิกวุฒิสภาวัย 62 กล่าว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่การเปลี่ยนแปลงในประเทศเนปาลตกเป็นข่าว และเข้ามามีบริบทพิเศษบางประการในประเทศไทย มันเริ่มต้นมาตั้งแต่อย่างน้อย ๆ ก็เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 แล้ว
ทั้งในทางเปิดและในทางปิด !
ในทางเปิด -- ก็กรณีที่หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 2549 นำมาขึ้นปก แล้วขึ้นพากหัวว่า “Case study กรณีเนปาล” ซึ่งคุณสนธิ ลิ้มทองกุลเคยนำไปตั้งข้อสังเกตในรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” ที่เวทีลีลาสสวนลุมพินีว่านักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนคุมเนื้อหาหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ที่เคยเข้าป่าจับปืนสมาทานลัทธิเหมามาก่อนมีเจตนาซ่อนเร้นพิเศษอะไรหรือไม่
เพราะช่วงเดียวกันนั้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเริ่มเปล่งวาจา “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ขึ้นมา
ต้องไม่ลืมว่า นักหนังสือพิมพ์อาวุโสเหมาอิสม์เก่าคนนี้เป็นคนเดียวกับที่อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เคยชมเชยอย่างเปิดเผยว่าเป็นคนที่เข้าใจการเมืองอย่างลึกซึ้ง มีปรัชญาสูงส่ง การชมเชยนั้นเกิดขึ้นในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2549
ต้องไม่ลืมอีกเช่นกันว่าพรรคการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ที่เติบโตขึ้นมาอย่างพลุ นอกจากมันสมองและกระเป๋าสตางค์ของท่านแล้ว ยังมีฝีไม้ลายมือชั้นเชิงของลิ่วล้อที่เป็นอดีตเหมาอิสม์ตัวกลั่นรวมอยู่ด้วยอีกไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
ในทางปิด – ก็กรณีที่มีข่าวเล่ากันว่ามีเสียงพูดในก๊วนกอล์ฟอย่างร่าเริงเหิมเกริมว่า...
“ระวังจะเป็นอย่างเนปาล !”
ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้พูดเป็นใคร เป็นนายใหญ่ผู้มั่งคั่ง หรือเป็นลิ่วล้ออดีตเหมาอิสม์อารมณ์ค้างที่อกหักจากการไปจับปืนร่วมรบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเมื่อ 30 กว่าปีก่อน
ไม่รู้ว่าประโยคนี้ต้องการให้ “ใคร” ระวัง ?
หลังจากนั้น ไม่ค่อยมีใครยกประเด็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในประเทศเนปาลขึ้นมาเป็นเรื่องใหญ่อีก ในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ก็จะเป็นข่าวต่างประเทศตามปกติ
ขณะที่การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทยนั้นพัฒนายกระดับขึ้นมาอย่างเปิดเผย
นปก.ที่มีคุณจักรภพ เพ็ญแขเป็นหนึ่งในแกนนำประกาศยุทธศาสตร์ “คว่ำ ล้ม โค่น” และเปิดศึกโจมตีกล่าวร้ายพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อย่างเปิดเผย เดินขบวนนำประชาชนจำนวนหนึ่งไปด่าหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์จนเกิดการจลาจลย่อย ๆ
คุณจักรภพ เพ็ญแขเกิดไม่ทันโตไม่ทันที่จะสัมผัสกับลัทธิเหมาโดยตรงเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ ณ ปี 2550 ท่านคงสมาทานความคิดความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างเข้าไปผสมผสานสันดาปกับประสบการณ์ส่วนตัวของท่าน ก่อให้เกิดพลังทางอุดมการณ์คุกรุ่นรุนแรงจนเป็นดาวดวงเด่นพวกเหมาอิสม์หลายคน คิดดูก็แล้วกันว่าคุกรุ่นขนาดไหน ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ยาวเหยียด มี “ประโยคทอง” อมตะมาจนทุกวันนี้...
“ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้...”
“ผมต้องการเห็นสงครามประชาชน...ที่ไม่มีการจัดตั้ง...”
คุณจักรภพ เพ็ญแขน่ายกย่องอยู่อย่างตรงที่ได้ดีเป็นเสนาบดีแล้วไม่เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ ยังคงเดินหน้ากล้าทำให้สิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูกต้อง ในการไปพูดจาเป็นภาษาอังกฤษที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ท่านกล่าวถึงพัฒนาการของสังคมไทยและระบบศักดินาไทยขึ้นมาอีกครั้ง ผมไม่ได้ฟัง แต่รู้มาว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้ส่วนใหญ่ให้ความสนใจให้ความสำคัญสปีชชิ้นนี้มาก
รัฐมนตรีหนุ่มหน้าหล่อผมเรียบคนนี้แหละที่ออกมาซัดคุณชวน หลีกภัย - ที่ออกมาเปิดเผยว่ามีขบวนการปล่อยข่าวให้ร้ายประธานองคมนตรี – อย่างรุนแรงชนิดไม่เกรงศักดิ์ศรีไม่คำนึงถึงถึงอาวุโสของนักการเมืองรุ่นพ่อต้นทุนทางสังคมสูง
รัฐมนตรีหนุ่มหน้าหล่อผมเรียบคนนี้แหละที่ก่อการเปลี่ยนสทท. 11 เป็น NBT ที่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาให้ความสำคัญข่าวเนปาล
เป็นเรื่องบังเอิญแท้ ๆ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ถ้าใช้สำนวนภาษาของคุณสำราญ รอดเพชรก็ต้องบอกว่า...
“บังเอิญอย่างร้ายกาจ” !
คุณชลิต แก้วจินดา เพื่อนสมาชิกวุฒิสภาจากจังหวัดอุตรดิถต์ เดินเข้ามาคุยกับผมขณะนั่งรับประทานอาหารในห้อง 306 – 308 อาคารรัฐสภา 2 หลังงานทำบุญสงกรานต์ของวุฒิสภาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2551 หน้าตาท่านดูจริงจังและวิตกกับสิ่งที่ได้เห็นหน้าจอทีวีวันนั้นมาก
คุณสุรวิชช์ วีรวรรณ เพื่อนร่วมชายคาบ้านพระอาทิตย์ เป็นคนแรกที่เล่าปรากฎการณ์ข่าวเดียวกันนี้บนจอ NBT หรือสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 เดิมให้ผมฟังก่อนหน้านั้นวันหนึ่ง
2 คน 2 ที่มา 2 ภูมิหลังมาตกอกตกใจในเรื่องเดียวกัน – ไม่ปกติแน่ !
เสียดายที่ผมไม่ได้ดูข่าวชิ้นนั้น
ข่าวแพร่ภาพอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวกับวันหยุดสงกรานต์ อยู่ในส่วนของข่าวต่างประเทศ แต่น่าจะเป็นช่วงวิเคราะห์หรือรายงานพิเศษที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการเลือกตั้งในประเทศเนปาล ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์กำลังจะถูกลบล้างไปจากโครงสร้างระบบการเมืองการปกครองหลังชัยชนะของพรรคการเมืองนิยมลัทธิเหมา หรือที่นิยมเรียกทับศัพท์กันว่าเหมาอิสม์
คุณสุรวิชช์ วีรวรรณ ที่ขลุกอยู่กับงานข่าวทั้งหนังสือพิมพ์และทีวีมาเกือบทั้งชีวิต ตั้งข้อสังเกตว่า NBT เจตนาให้ความสำคัญกับข่าวเลือกตั้งเนปาลเป็นพิเศษ เพราะโดยปกติข่าวต่างประเทศทั่วไปจะมีผู้ประกาศมาอ่านข่าวตามสคริปต์ปกติเท่านั้น แต่กับข่าวนี้ช่วงก่อนเข้าข่าว NBT จะมี “อินเตอร์ลูด” นำ ซึ่งหมายถึงการทำเป็นรูปกราฟฟิคและมี “จิงเกิ้ล” โดยมีตัวหนังสือเขียนว่า “จับตาการเลือกตั้งเนปาล” โดยในเนื้อหาข่าวรายงานว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการชี้ชะตาราชวงศ์เนปาล และบอกว่า แนวโน้มการเลือกตั้งนี้พรรคนิยมลัทธิเหมาจะเป็นฝ่ายชนะ
คุณชลิต แก้วจินดา เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่กับวงการข่าว แต่ดูแล้วหงุดหงิด เพราะในเนื้อข่าวซึ่งน่าจะเป็นภาพข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศมีการไปสัมภาษณ์ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ให้วิพากษ์วิจารณ์ระบบกษัตริย์ NBT ก็แปลมาเป็นภาษาไทยแพร่ภาพอย่างละเอียดพอสมควร ท่านรำพึงออกมาว่า...
“จริงอยู่แหละที่เป็นเรื่องของเนปาล แต่เรื่องพรรค์นี้มีความละเอียดอ่อนมาก ผมสงสัยว่าทีวีของรัฐบาลใช้วิจารณญาณไตร่ตรองรอบคอบเพียงพอแล้วหรือ ผ่านหูผ่านตาผู้ใหญ่แค่ไหน แปลผิดแปลถูกอย่างไร...”
ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา -- ผมไม่แน่ใจว่าคุณชลิต แก้วจินดาจะริเริ่มดำเนินการต่อไปอย่างไรหรือไม่
เพราะถ้ายื่นกระทู้ถาม – รัฐมนตรีจักรภพ เพ็ญแขก็จะมาตอบว่าเป็นการรายงานข่าวตามปกติ เป็นมิติใหม่ของทีวีของรัฐที่ให้เสรีภาพแก่คนทำงานข่าว และเปิดโลกทัศน์กว้างขวางแก่ประชาชน
“...นี่พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยหรือ” สมาชิกวุฒิสภาวัย 62 กล่าว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่การเปลี่ยนแปลงในประเทศเนปาลตกเป็นข่าว และเข้ามามีบริบทพิเศษบางประการในประเทศไทย มันเริ่มต้นมาตั้งแต่อย่างน้อย ๆ ก็เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 แล้ว
ทั้งในทางเปิดและในทางปิด !
ในทางเปิด -- ก็กรณีที่หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 2549 นำมาขึ้นปก แล้วขึ้นพากหัวว่า “Case study กรณีเนปาล” ซึ่งคุณสนธิ ลิ้มทองกุลเคยนำไปตั้งข้อสังเกตในรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” ที่เวทีลีลาสสวนลุมพินีว่านักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนคุมเนื้อหาหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ที่เคยเข้าป่าจับปืนสมาทานลัทธิเหมามาก่อนมีเจตนาซ่อนเร้นพิเศษอะไรหรือไม่
เพราะช่วงเดียวกันนั้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเริ่มเปล่งวาจา “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ขึ้นมา
ต้องไม่ลืมว่า นักหนังสือพิมพ์อาวุโสเหมาอิสม์เก่าคนนี้เป็นคนเดียวกับที่อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เคยชมเชยอย่างเปิดเผยว่าเป็นคนที่เข้าใจการเมืองอย่างลึกซึ้ง มีปรัชญาสูงส่ง การชมเชยนั้นเกิดขึ้นในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2549
ต้องไม่ลืมอีกเช่นกันว่าพรรคการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ที่เติบโตขึ้นมาอย่างพลุ นอกจากมันสมองและกระเป๋าสตางค์ของท่านแล้ว ยังมีฝีไม้ลายมือชั้นเชิงของลิ่วล้อที่เป็นอดีตเหมาอิสม์ตัวกลั่นรวมอยู่ด้วยอีกไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
ในทางปิด – ก็กรณีที่มีข่าวเล่ากันว่ามีเสียงพูดในก๊วนกอล์ฟอย่างร่าเริงเหิมเกริมว่า...
“ระวังจะเป็นอย่างเนปาล !”
ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้พูดเป็นใคร เป็นนายใหญ่ผู้มั่งคั่ง หรือเป็นลิ่วล้ออดีตเหมาอิสม์อารมณ์ค้างที่อกหักจากการไปจับปืนร่วมรบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเมื่อ 30 กว่าปีก่อน
ไม่รู้ว่าประโยคนี้ต้องการให้ “ใคร” ระวัง ?
หลังจากนั้น ไม่ค่อยมีใครยกประเด็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในประเทศเนปาลขึ้นมาเป็นเรื่องใหญ่อีก ในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ก็จะเป็นข่าวต่างประเทศตามปกติ
ขณะที่การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทยนั้นพัฒนายกระดับขึ้นมาอย่างเปิดเผย
นปก.ที่มีคุณจักรภพ เพ็ญแขเป็นหนึ่งในแกนนำประกาศยุทธศาสตร์ “คว่ำ ล้ม โค่น” และเปิดศึกโจมตีกล่าวร้ายพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อย่างเปิดเผย เดินขบวนนำประชาชนจำนวนหนึ่งไปด่าหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์จนเกิดการจลาจลย่อย ๆ
คุณจักรภพ เพ็ญแขเกิดไม่ทันโตไม่ทันที่จะสัมผัสกับลัทธิเหมาโดยตรงเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ ณ ปี 2550 ท่านคงสมาทานความคิดความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างเข้าไปผสมผสานสันดาปกับประสบการณ์ส่วนตัวของท่าน ก่อให้เกิดพลังทางอุดมการณ์คุกรุ่นรุนแรงจนเป็นดาวดวงเด่นพวกเหมาอิสม์หลายคน คิดดูก็แล้วกันว่าคุกรุ่นขนาดไหน ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ยาวเหยียด มี “ประโยคทอง” อมตะมาจนทุกวันนี้...
“ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้...”
“ผมต้องการเห็นสงครามประชาชน...ที่ไม่มีการจัดตั้ง...”
คุณจักรภพ เพ็ญแขน่ายกย่องอยู่อย่างตรงที่ได้ดีเป็นเสนาบดีแล้วไม่เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ ยังคงเดินหน้ากล้าทำให้สิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูกต้อง ในการไปพูดจาเป็นภาษาอังกฤษที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ท่านกล่าวถึงพัฒนาการของสังคมไทยและระบบศักดินาไทยขึ้นมาอีกครั้ง ผมไม่ได้ฟัง แต่รู้มาว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้ส่วนใหญ่ให้ความสนใจให้ความสำคัญสปีชชิ้นนี้มาก
รัฐมนตรีหนุ่มหน้าหล่อผมเรียบคนนี้แหละที่ออกมาซัดคุณชวน หลีกภัย - ที่ออกมาเปิดเผยว่ามีขบวนการปล่อยข่าวให้ร้ายประธานองคมนตรี – อย่างรุนแรงชนิดไม่เกรงศักดิ์ศรีไม่คำนึงถึงถึงอาวุโสของนักการเมืองรุ่นพ่อต้นทุนทางสังคมสูง
รัฐมนตรีหนุ่มหน้าหล่อผมเรียบคนนี้แหละที่ก่อการเปลี่ยนสทท. 11 เป็น NBT ที่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาให้ความสำคัญข่าวเนปาล
เป็นเรื่องบังเอิญแท้ ๆ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ถ้าใช้สำนวนภาษาของคุณสำราญ รอดเพชรก็ต้องบอกว่า...
“บังเอิญอย่างร้ายกาจ” !