สุดจะหาถ้อยคำมาบรรยาย...
สำหรับพฤติกรรมของกลุ่มก๊วนคนพาลที่ยึดครองอำนาจบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้
นอกจากจะมีรัฐมนตรีขี้เหร่แล้ว ยังมีผู้แทนขี้เรื้อนอีกต่างหาก
ล่าสุด เกิดกรณีคนพาลในคราบผู้แทน พ่นคำหยาบคาย ด่าทอ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน แล้วยังแสดงอาการจะใช้กำลังความรุนแรง เดินปรี่เข้าไปถีบ ส.ส.ในห้องรับรองอาคารรัฐสภา !
พาลตนนี้ เคยมีประวัติโชกโชน เก่งในเรื่องถ่อยๆ มานักต่อนัก ถึงขนาดว่าเคย “จิกหัวตบ” อดีตภรรยาของตนเองกลางสนามบินดอนเมืองมาแล้ว !
กระทำถึงเพียงนี้ แล้วยังไม่รู้สำนึก ไม่รู้จักอาย กลับยังแสดงความพาลและด้านทน ด้วยการตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ถือโอกาสสรรเสริญ “นายใหญ่” อ้างว่าทนไม่ไหวที่เห็นประชาชนผู้รู้เท่าทันออกมาวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น พรรคพวกของพาลตนนี้ แทนที่จะออกมาปรามหรือสอนสั่งให้รู้จักควบคุมพฤติกรรมให้เหมาะสม กลับออกมาสรรเสริญเยินยอในความพาล ปกป้องอุ้มชูกันเอง ชื่นชมกันเสียด้วยซ้ำ โดยไม่แยแสต่อความรู้สึกของประชาชน
เรื่องนี้ ทำให้นึกถึงนิทานชาดก “อันตชาดก” เรื่อง “คนชั่วสรรเสริญกันเอง” เล่าว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ที่ต้นละหุ่งในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมีโคแก่ตัวหนึ่งในบ้านนั้นได้ตายลง เจ้าของบ้านได้ลากซากศพมันไปทิ้งเป็นอาหารสัตว์ไว้ที่ข้างต้นละหุ่งนั้น ต่อมาไม่นาน มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาแทะกินเนื้อโคนั้นอยู่ และมีกาตัวหนึ่งบินมาจับที่ต้นละหุ่งนั้น ด้วยหวังจะกินเนื้อโคนั้นเช่นกัน กาจึงพูดยกย่องสุนัขจิ้งจอกขึ้นว่า
“ท่านพญาเนื้อ ผู้มีร่างกายเหมือนโคถึก มีความองอาจดังราชสีห์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน ทำอย่างไร ข้าพเจ้าจักได้อาหารสักหน่อยหนึ่ง”
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำยกย่องนั้นแล้วชื่นใจพูดตอบว่า
“กุลบุตรย่อมสรรเสริญกุลบุตรด้วยกัน ท่านกาผู้มีสร้อยคองามเด่นเช่นนกยูง เชิญท่านลงมาจากต้นละหุ่ง มากินเนื้อให้สบายใจเถิด”
รุกขเทวดาเห็นกากับสุนัขจิ้งจอกกล่าวยกย่องกันตามที่ไม่เป็นจริง จึงกล่าวคาถาว่า
“บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลวที่สุด
บรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ที่เลวที่สุด
และบรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่งเป็นต้นไม้ที่เลวที่สุด
ที่สุด ๓ อย่าง มาประจวบกันเข้าแล้ว”
นิทานชาดกเรื่องนี้ จึงสอนให้เข้าใจว่า เป็นธรรมดา ที่คนชั่วย่อมสรรเสริญกันเอง เพื่อขอแบ่งปันเศษผลประโยชน์อันได้มาจากความชั่วนั่นเอง !
น่าคิดว่า นิทานชาดกเรื่องนี้ ได้สะท้อนความจริงของพรรคพวกที่ยึดครองอำนาจบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ มากน้อยแค่ไหน ?
สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ เป็นเรื่องของคนดีได้เข้ามาปกครองประเทศ หรือเป็นเรื่องที่คนชั่วสรรเสริญกันเอง คนชั่วปกป้องกันเอง คนชั่วช่วยเหลือกันเอง และคนชั่วกำลังจะใช้อำนาจรัฐที่ได้มาโดยวิถีทางที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยคนชั่วด้วยกัน และช่วยฟอกความชั่วของพรรคพวกตนเอง ?
หลักธรรมของพระพุทธศาสนา สอนเรื่อง “มงคลชีวิต 38 ประการ” เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้า ปรากฏว่า ประการแรกเลย สอนเรื่อง “การไม่คบคนพาล”
ท่านว่า ลักษณะของคนพาลมี 3 ประการคือ
1.คิดชั่ว คือ การมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ คือ เห็นผิดเป็นชอบ
2 พูดชั่ว คือ คำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริต เช่น พูดเท็จ พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
3.ทำชั่ว คือ ทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริต เช่น การฉ้อโกง การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ประพฤติผิดในกาม ฯลฯ
พรรคพวกที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง แล้วไม่ยอมรับผิด แต่จะไปแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับผิด คนแบบนี้ ย่อมเป็นคนพาลโดยแน่แท้
พวกที่ไปแสดงอาการก้าวร้าว คุกคาม ทำร้ายประชาชนที่ชุมนุมประท้วง หรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโดยสงบ สันติ นั่นก็เป็นพาลที่ถูกว่าจ้างปลุกระดมไปโดยคนพาล
และคนที่ทำร้ายผู้คนไปทั่ว ทำร้ายแม้กระทั่งผู้หญิงที่ตนเคยไปสู่ขอมาร่วมเรียงเคียงหมอน ทำร้ายแม้กระทั่งคนแก่ที่เป็นรปภ. ทำร้ายแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และล่าสุด ทำร้ายแม้กระทั่ง ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร นี่ย่อมเป็นอันธพาลโดยแท้
เมื่อสังคมจับได้ไล่ทัน คนพรรคพวกนี้ ก็ไม่เคยละอาย ไม่ยอมรับ ไม่สำนึก แต่กลับเฉไฉ ดื้อตาใส พูดจาโกหกพกลมไปเรื่อยๆ
เป็นพาลกันตั้งแต่ระดับหัวจนถึงหาง
สุดจะหาถ้อยคำมาบรรยาย จนต้องขอคัดเอาข้อคิดอันเป็นสุภาษิตในวรรณคดีไทยเก่าแก่ จาก “พระลอคำกลอน” บางตอนที่ว่าไว้อย่างไพเราะ แหลมคม และบาดหัวใจคนพาลนักว่า
“ไม่อายไพร่ อายผู้ดี อายขี้ข้า
ไม่อายหน้า อายซื่อ ดื้อตอแหล
สัตว์เปลี่ยนขน คนเปลี่ยนลิ้น สิ้นอยากแล
ฟังไม่แน่ ดูช่างน่า ระอาเอย”
น่าคิดว่า การคบคนพาล จะนำชีวิตไปสู่อัปมงคล แต่ถ้าปล่อยให้คนพาลครองเมือง จะนำบ้านเมืองเดินไปสู่หนทางใด
อย่าปล่อยให้คนพาลครองเมือง !
สำหรับพฤติกรรมของกลุ่มก๊วนคนพาลที่ยึดครองอำนาจบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้
นอกจากจะมีรัฐมนตรีขี้เหร่แล้ว ยังมีผู้แทนขี้เรื้อนอีกต่างหาก
ล่าสุด เกิดกรณีคนพาลในคราบผู้แทน พ่นคำหยาบคาย ด่าทอ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน แล้วยังแสดงอาการจะใช้กำลังความรุนแรง เดินปรี่เข้าไปถีบ ส.ส.ในห้องรับรองอาคารรัฐสภา !
พาลตนนี้ เคยมีประวัติโชกโชน เก่งในเรื่องถ่อยๆ มานักต่อนัก ถึงขนาดว่าเคย “จิกหัวตบ” อดีตภรรยาของตนเองกลางสนามบินดอนเมืองมาแล้ว !
กระทำถึงเพียงนี้ แล้วยังไม่รู้สำนึก ไม่รู้จักอาย กลับยังแสดงความพาลและด้านทน ด้วยการตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ถือโอกาสสรรเสริญ “นายใหญ่” อ้างว่าทนไม่ไหวที่เห็นประชาชนผู้รู้เท่าทันออกมาวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น พรรคพวกของพาลตนนี้ แทนที่จะออกมาปรามหรือสอนสั่งให้รู้จักควบคุมพฤติกรรมให้เหมาะสม กลับออกมาสรรเสริญเยินยอในความพาล ปกป้องอุ้มชูกันเอง ชื่นชมกันเสียด้วยซ้ำ โดยไม่แยแสต่อความรู้สึกของประชาชน
เรื่องนี้ ทำให้นึกถึงนิทานชาดก “อันตชาดก” เรื่อง “คนชั่วสรรเสริญกันเอง” เล่าว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ที่ต้นละหุ่งในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมีโคแก่ตัวหนึ่งในบ้านนั้นได้ตายลง เจ้าของบ้านได้ลากซากศพมันไปทิ้งเป็นอาหารสัตว์ไว้ที่ข้างต้นละหุ่งนั้น ต่อมาไม่นาน มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาแทะกินเนื้อโคนั้นอยู่ และมีกาตัวหนึ่งบินมาจับที่ต้นละหุ่งนั้น ด้วยหวังจะกินเนื้อโคนั้นเช่นกัน กาจึงพูดยกย่องสุนัขจิ้งจอกขึ้นว่า
“ท่านพญาเนื้อ ผู้มีร่างกายเหมือนโคถึก มีความองอาจดังราชสีห์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน ทำอย่างไร ข้าพเจ้าจักได้อาหารสักหน่อยหนึ่ง”
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำยกย่องนั้นแล้วชื่นใจพูดตอบว่า
“กุลบุตรย่อมสรรเสริญกุลบุตรด้วยกัน ท่านกาผู้มีสร้อยคองามเด่นเช่นนกยูง เชิญท่านลงมาจากต้นละหุ่ง มากินเนื้อให้สบายใจเถิด”
รุกขเทวดาเห็นกากับสุนัขจิ้งจอกกล่าวยกย่องกันตามที่ไม่เป็นจริง จึงกล่าวคาถาว่า
“บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลวที่สุด
บรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ที่เลวที่สุด
และบรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่งเป็นต้นไม้ที่เลวที่สุด
ที่สุด ๓ อย่าง มาประจวบกันเข้าแล้ว”
นิทานชาดกเรื่องนี้ จึงสอนให้เข้าใจว่า เป็นธรรมดา ที่คนชั่วย่อมสรรเสริญกันเอง เพื่อขอแบ่งปันเศษผลประโยชน์อันได้มาจากความชั่วนั่นเอง !
น่าคิดว่า นิทานชาดกเรื่องนี้ ได้สะท้อนความจริงของพรรคพวกที่ยึดครองอำนาจบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ มากน้อยแค่ไหน ?
สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ เป็นเรื่องของคนดีได้เข้ามาปกครองประเทศ หรือเป็นเรื่องที่คนชั่วสรรเสริญกันเอง คนชั่วปกป้องกันเอง คนชั่วช่วยเหลือกันเอง และคนชั่วกำลังจะใช้อำนาจรัฐที่ได้มาโดยวิถีทางที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยคนชั่วด้วยกัน และช่วยฟอกความชั่วของพรรคพวกตนเอง ?
หลักธรรมของพระพุทธศาสนา สอนเรื่อง “มงคลชีวิต 38 ประการ” เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้า ปรากฏว่า ประการแรกเลย สอนเรื่อง “การไม่คบคนพาล”
ท่านว่า ลักษณะของคนพาลมี 3 ประการคือ
1.คิดชั่ว คือ การมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ คือ เห็นผิดเป็นชอบ
2 พูดชั่ว คือ คำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริต เช่น พูดเท็จ พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
3.ทำชั่ว คือ ทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริต เช่น การฉ้อโกง การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ประพฤติผิดในกาม ฯลฯ
พรรคพวกที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง แล้วไม่ยอมรับผิด แต่จะไปแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับผิด คนแบบนี้ ย่อมเป็นคนพาลโดยแน่แท้
พวกที่ไปแสดงอาการก้าวร้าว คุกคาม ทำร้ายประชาชนที่ชุมนุมประท้วง หรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโดยสงบ สันติ นั่นก็เป็นพาลที่ถูกว่าจ้างปลุกระดมไปโดยคนพาล
และคนที่ทำร้ายผู้คนไปทั่ว ทำร้ายแม้กระทั่งผู้หญิงที่ตนเคยไปสู่ขอมาร่วมเรียงเคียงหมอน ทำร้ายแม้กระทั่งคนแก่ที่เป็นรปภ. ทำร้ายแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และล่าสุด ทำร้ายแม้กระทั่ง ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร นี่ย่อมเป็นอันธพาลโดยแท้
เมื่อสังคมจับได้ไล่ทัน คนพรรคพวกนี้ ก็ไม่เคยละอาย ไม่ยอมรับ ไม่สำนึก แต่กลับเฉไฉ ดื้อตาใส พูดจาโกหกพกลมไปเรื่อยๆ
เป็นพาลกันตั้งแต่ระดับหัวจนถึงหาง
สุดจะหาถ้อยคำมาบรรยาย จนต้องขอคัดเอาข้อคิดอันเป็นสุภาษิตในวรรณคดีไทยเก่าแก่ จาก “พระลอคำกลอน” บางตอนที่ว่าไว้อย่างไพเราะ แหลมคม และบาดหัวใจคนพาลนักว่า
“ไม่อายไพร่ อายผู้ดี อายขี้ข้า
ไม่อายหน้า อายซื่อ ดื้อตอแหล
สัตว์เปลี่ยนขน คนเปลี่ยนลิ้น สิ้นอยากแล
ฟังไม่แน่ ดูช่างน่า ระอาเอย”
น่าคิดว่า การคบคนพาล จะนำชีวิตไปสู่อัปมงคล แต่ถ้าปล่อยให้คนพาลครองเมือง จะนำบ้านเมืองเดินไปสู่หนทางใด
อย่าปล่อยให้คนพาลครองเมือง !