ผู้จัดการรายวัน - ฟินันซ่าประกันชีวิตออกโรงแจงปัญหาสภาพคล่องหลัง คปภ.ขู่เล่นงาน “มนตรี แสงอุไรพร” ยืนยันสิ้นเดือน เม.ย.พันธมิตรพร้อมใส่เงิน 3 พันล้านบาท รักษาระดับเงินกองทุนทันตามกฎหมายกำหนดแน่นอน โวหลังกระบวนการเสร็จสิ้นจะเป็นปีแห่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ระบุแม้มีข่าวทางลบออกมาตลอดเวลาแต่ลูกค้ายังไว้วางใจทำประกันชีวิต 3 เดือนแรกยอดเบี้ยต่ออายุขยายตัวถึง 354 ล้านบาท
นายมนตรี แสงอุไรพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ตรวจสอบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาบริษัทประกันภัย ประกันชีวิตที่ขาดสภาพคล่องจำนวน 5 บริษัทนั้น ทางบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิตได้มีการตกลงขั้นสุดท้ายกับบริษัทที่จะเข้ามาร่วมทุนแล้ว
ซึ่งจากการหารือกับพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องนั้นได้ข้อสรุปแล้วว่าภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้จะพันธมิตรทางธุรกิจจะสามารถนำเงินจำนวน 3,000 ล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ทั้งนี้พันธมิตรรายดังกล่าวได้มีการเจรจามาตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมาและในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้ทำหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรขอเวลาประเมินและตรวจสอบสินทรัพย์อย่างละเอียดก่อนที่จะใส่เงินเพิ่มทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องให้ทันสิ้นเดือนเมษายนนี้
“เชื่อว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากแผนการที่บริษัทและพันธมิตรกำหนดไว้ในเบื้องต้น ซึ่งพันธมิตรได้ขอขยายระยะเวลาทำดิวดิลิเจนท์เป็นเวลา 120 วันโดยจะสิ้นสุดในสิ้นเดือนเมษายนตามที่คปภ.กำหนดเส้นตายไว้และคงไม่มีปัญหาในเรื่องการเพิ่มทุนในครั้งนี้แต่อย่างใด” นายมนตรีกล่าว
สำหรับการดำเนินธุรกรรมของฟินันซ่าประกันชีวิตในปัจจุบันยังคงเดินหน้าได้ตามปกติไม่มีการหยุดชะงักแต่อย่างใดแม้จะมีข่าวเรื่องปัญหาการขาดสภาพคล่องออกมาก็ตาม โดยธุรกรรมในส่วนของเบี้ยประกันแบบต่ออายุใน 3 เดือนแรกมีการรายงานตัวเลขออกมาว่าเบี้ยรับสูงถึง 354 ล้านบาท ขยายตัวถึง 7.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัท
ในขณะที่การเติบโตของเบี้ยประกันใหม่มีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยเมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาเบี้ยรับรวมของบริษัทอยู่ที่ 2,280 ล้านบาทขยายตัวถึง 10% เบี้ยรับใหม่ปีแรกอยู่ที่ 650 ล้านบาท ขยายตัว 30% และเบี้ยประเภทต่ออายุมียอด 1,630 ล้านบาท เติบโต 4% และในปีนี้ตั้งเป้าหมายการเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นระดับการเติบโตที่น่าพอใจ
“หลังจากที่เราสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้หมดสิ้นได้ภายในเดือนเมษายนนี้แล้วจะเป็นปีที่เราตั้งเป้าหมายการเติบโตแบบก้าวกระโดดเพราะเมื่อปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้แล้วจะทำให้บริษัทดำเนินธุรกรรมโดยไม่มีความกังวลใดๆ อีกต่อไป ซึ่งเมื่อพิจารณาจากความเชื่อมั่นในตัวบริษัทของลูกค้าจากอัตราการเติบโตของเบี้ยต่ออายุเชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน” นายมนตรีกล่าว
สำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยเพิ่มวงเงินสำหรับลดหย่อนภาษีจากการซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตจาก 50,000 บาท เป็น 100,000 บาทต่อปีนั้น นายมนตรีกล่าวว่า จะสามารถกระตุ้นให้ธุรกิจประกันชีวิตเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยในแง่ของผู้ประกอบการนั้นจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบต่างๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนที่ยังไม่มีการออมเงินในรูปแบบของกรมธรรม์ประกันชีวิตให้หันมาทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการขยายกรมธรรม์จากเดิมที่ขายผ่านตัวแทนในระดับที่สูงถึง 90% ในปัจจุบันช่องทางตัวแทนอยู่ในระดับ 60% ในขณะที่ช่องทางการขายผ่านพันธมิตรและทางโทรศัพท์มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตเมื่อแผนงานทุกอย่างสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วบริษัทจะได้เจรจากับธนาคารพาณิชย์เพื่อขยายช่องทางการขายให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
“ช่องทางขายผ่านทางตัวแทนยังถือว่าเป็นช่องทางหลักและมีความจำเป็นในการทำธุรกิจประกันชีวิต โดยจะเห็นได้จากเมื่อเรามีข่าวในทางลบออกมาอย่างต่อเนื่องแต่ตัวแทนขายยังมีสัมพันธภาพอันดีกับลูกค้าจึงทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นและไว้วางในในการทำประกันชีวิตกับบริษัทต่อไป ดังนั้นบริษัทจึงให้ความสำคัญกับช่องทางนี้เป็นหลักและพัฒนาช่องทางการขายอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย” นายมนตรีกล่าว
นายมนตรี แสงอุไรพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ตรวจสอบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาบริษัทประกันภัย ประกันชีวิตที่ขาดสภาพคล่องจำนวน 5 บริษัทนั้น ทางบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิตได้มีการตกลงขั้นสุดท้ายกับบริษัทที่จะเข้ามาร่วมทุนแล้ว
ซึ่งจากการหารือกับพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องนั้นได้ข้อสรุปแล้วว่าภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้จะพันธมิตรทางธุรกิจจะสามารถนำเงินจำนวน 3,000 ล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ทั้งนี้พันธมิตรรายดังกล่าวได้มีการเจรจามาตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมาและในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้ทำหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรขอเวลาประเมินและตรวจสอบสินทรัพย์อย่างละเอียดก่อนที่จะใส่เงินเพิ่มทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องให้ทันสิ้นเดือนเมษายนนี้
“เชื่อว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากแผนการที่บริษัทและพันธมิตรกำหนดไว้ในเบื้องต้น ซึ่งพันธมิตรได้ขอขยายระยะเวลาทำดิวดิลิเจนท์เป็นเวลา 120 วันโดยจะสิ้นสุดในสิ้นเดือนเมษายนตามที่คปภ.กำหนดเส้นตายไว้และคงไม่มีปัญหาในเรื่องการเพิ่มทุนในครั้งนี้แต่อย่างใด” นายมนตรีกล่าว
สำหรับการดำเนินธุรกรรมของฟินันซ่าประกันชีวิตในปัจจุบันยังคงเดินหน้าได้ตามปกติไม่มีการหยุดชะงักแต่อย่างใดแม้จะมีข่าวเรื่องปัญหาการขาดสภาพคล่องออกมาก็ตาม โดยธุรกรรมในส่วนของเบี้ยประกันแบบต่ออายุใน 3 เดือนแรกมีการรายงานตัวเลขออกมาว่าเบี้ยรับสูงถึง 354 ล้านบาท ขยายตัวถึง 7.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัท
ในขณะที่การเติบโตของเบี้ยประกันใหม่มีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยเมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาเบี้ยรับรวมของบริษัทอยู่ที่ 2,280 ล้านบาทขยายตัวถึง 10% เบี้ยรับใหม่ปีแรกอยู่ที่ 650 ล้านบาท ขยายตัว 30% และเบี้ยประเภทต่ออายุมียอด 1,630 ล้านบาท เติบโต 4% และในปีนี้ตั้งเป้าหมายการเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นระดับการเติบโตที่น่าพอใจ
“หลังจากที่เราสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้หมดสิ้นได้ภายในเดือนเมษายนนี้แล้วจะเป็นปีที่เราตั้งเป้าหมายการเติบโตแบบก้าวกระโดดเพราะเมื่อปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้แล้วจะทำให้บริษัทดำเนินธุรกรรมโดยไม่มีความกังวลใดๆ อีกต่อไป ซึ่งเมื่อพิจารณาจากความเชื่อมั่นในตัวบริษัทของลูกค้าจากอัตราการเติบโตของเบี้ยต่ออายุเชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน” นายมนตรีกล่าว
สำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยเพิ่มวงเงินสำหรับลดหย่อนภาษีจากการซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตจาก 50,000 บาท เป็น 100,000 บาทต่อปีนั้น นายมนตรีกล่าวว่า จะสามารถกระตุ้นให้ธุรกิจประกันชีวิตเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยในแง่ของผู้ประกอบการนั้นจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบต่างๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนที่ยังไม่มีการออมเงินในรูปแบบของกรมธรรม์ประกันชีวิตให้หันมาทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการขยายกรมธรรม์จากเดิมที่ขายผ่านตัวแทนในระดับที่สูงถึง 90% ในปัจจุบันช่องทางตัวแทนอยู่ในระดับ 60% ในขณะที่ช่องทางการขายผ่านพันธมิตรและทางโทรศัพท์มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตเมื่อแผนงานทุกอย่างสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วบริษัทจะได้เจรจากับธนาคารพาณิชย์เพื่อขยายช่องทางการขายให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
“ช่องทางขายผ่านทางตัวแทนยังถือว่าเป็นช่องทางหลักและมีความจำเป็นในการทำธุรกิจประกันชีวิต โดยจะเห็นได้จากเมื่อเรามีข่าวในทางลบออกมาอย่างต่อเนื่องแต่ตัวแทนขายยังมีสัมพันธภาพอันดีกับลูกค้าจึงทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นและไว้วางในในการทำประกันชีวิตกับบริษัทต่อไป ดังนั้นบริษัทจึงให้ความสำคัญกับช่องทางนี้เป็นหลักและพัฒนาช่องทางการขายอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย” นายมนตรีกล่าว