xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 72 ในสังสารวัฏ (ตอน 2-จบ)

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยาคม

คนที่ผมรำลึกถึงในยามสอบได้เป็นเนติบัณฑิตมากที่สุดก็คือก๋ง ยาย พ่อ แม่ แต่สำหรับคนภายนอกคงมีแต่ผู้เดียวคือผู้เป็นยอดชีวันขวัญชีวีนารีหนึ่งชาวพยาบาลจุฬาที่มีนิวาสสถานอยู่ข้างบ้านนั่นเอง

ดังนั้นในวันรับพระราชทานประกาศนียบัตรเนติบัณฑิต ผมจึงได้บอกกล่าวให้พ่อและแม่ขึ้นมาร่วมแสดงความยินดีที่กรุงเทพฯ ด้วย

พวกเราพากันไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่หน้าพระอนุสาวรีย์ของเสด็จในกรมพระบิดาแห่งกฎหมายไทย คือพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งโปรดให้ไปเรียนกฎหมายที่ประเทศอังกฤษ และได้ทรงวางหลักกฎหมายของบ้านเมืองให้เป็นแบบสมัยใหม่ จนนานาชาติยอมรับนับถือจึงได้ชื่อสมญาว่าเสด็จในกรมทรงเป็นพระบิดาแห่งนักกฎหมายไทย

ผู้ที่สอบได้เป็นเนติบัณฑิตยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณและได้รับพระราชทานเกียรติยศยิ่งนัก คือนอกจากจะทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานประกาศนียบัตรและพระราชทานพระบรมราโชวาทด้วยพระองค์เองแล้ว ยังเสด็จมาเป็นองค์ประธานในงานเลี้ยงรับรองเพื่อฉลองความเป็นเนติบัณฑิตให้กับทุกคนด้วย

เรียกชื่องานนี้ว่า “งานสโมสรสันนิบาตเนติบัณฑิต” ซึ่งบางปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็จะเสด็จมาเป็นองค์ประธานในงานพร้อมกันทั้งสองพระองค์ ในระยะหลัง ๆ จึงโปรดให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จมาเป็นองค์ประธานแทน

ทั้งงานฉลองปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต และงานสโมสรสันนิบาตเนติบัณฑิต ผมได้ชวนสาวเจ้าคู่ชีวิตไปร่วมงานทั้งสองงาน และดูเหมือนว่าหลังจากวันเวลาที่สาวเจ้าได้มอบของขวัญเป็นปลอกหมอนให้แก่ผมแล้ว น้ำใจก็เอนเอียงมาทางที่จะเป็นคู่เคียงคู่ครองของชีวิตอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นการเชิญไปงานฉลองปริญญานิติศาสตร์บัณฑิตจึงเป็นไปด้วยดี และยิ่งมีความใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นกว่าเก่าตั้งแต่การรับเชิญเป็นคู่ไปงานสโมสรสันนิบาตเนติบัณฑิตนั้น

ฉากชีวิตความเป็นนักศึกษาลาลับพ้นไปแล้ว จากเด็กวัดน้อยที่ออกจากบางมาอย่างเดียวดายกำลังกลายเป็นเนติบัณฑิตหนุ่มที่ถือเอาอาชีพนักกฎหมายทนายความอันประกอบด้วยหลักวิชาการบริหารเป็นศาสตราคู่ชีวิต

นี่แล้วหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล นักปราชญ์ใหญ่ท่านหนึ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหลายสมัยหลายวาระจึงได้แต่งโคลงสี่สุภาพ พรรณนาความงดงามของการศึกษาไว้ว่า

“กล้วยไม้มีดอกช้า ฉันใด
การศึกษาเป็นไป เช่นนั้น
แต่ดอกออกคราใด งามเด่น
งานศึกษาปลูกปั้น เสร็จแล้วแสนงาม”


เวลาร่วม 6-7 ปี ฉากชีวิตจากเด็กวัดน้อยที่มุ่งหน้าออกจากบางซึ่งห่างไกลจากเมืองหลวงฉากแล้วฉากเล่าได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เมื่อฉากชีวิตความเป็นนักศึกษาปิดลง ฉากชีวิตใหม่ของความเป็นผู้ครองเรือนและการสร้างหลักปักฐานให้กับชีวิตก็กำลังก่อตัวขึ้นและพัฒนาไปตามวัฏฏะชีวิตอันเป็นธรรมดาของทุกผู้คน

เป็นธรรมดาของคนเราทุกคนที่ย่อมมีห้วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิตที่หวนคำนึงคิดถึงชีวิตแต่หนหลัง บ้างก็คละเคล้าด้วยความสุข บ้างก็ปนด้วยความทุกข์ บ้างก็มีทั้งสุขและทุกข์ระคนกัน มีทั้งความสมหวัง มีทั้งความผิดหวัง มีทั้งความประสบกับสิ่งที่รักและสิ่งที่ไม่รัก มีทั้งความพลัดพรากจากผู้ที่เป็นที่รักหรือสิ่งอันเป็นที่รัก มีทั้งความโดดเดี่ยวเดียวดายเงียบเหงาเศร้าใจ มีทั้งความเพลิดเพลินเจริญใจและคึกคะนอง

สภาพทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ย่อมมีเกิดขึ้นกับทุกชีวิตที่เกิดมาแล้ว ไม่มีใครจะหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีไปได้ เป็นแต่ว่าคนทั้งหลายย่อมมุ่งมาดปรารถนาที่จะหาความสุข หาความสมหวัง หาความพึงพอใจ หาความสำเร็จ หาความเจริญก้าวหน้า ไม่มีใครเลยที่มุ่งแสวงหาความทุกข์ ความผิดหวัง ความไม่พอใจ ความล้มเหลว ถอยหลัง หรือความล่มสลาย

แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสามารถกำหนดความเป็นไปแห่งชีวิตให้เป็นไปดังประสงค์ได้ทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะคิดอ่านวางแผนจัดการโดยพิถีพิถันแม่นยำประการใด เพราะแท้จริงแล้วทั้งหมดนั้นก็คือความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความไม่ใช่ตัวตนที่ใครจะยึดมั่นถือมั่นเอาได้

วันเวลาและฉากชีวิตที่ผ่านไป ๆ ไม่มีใครจะหยุดยั้งมันไว้ได้ อันหมายความว่าชราและพยาธิกำลังเกิดขึ้นควบคู่กัน โดยไม่อาจจำแนกแยกแยะหรือตัดรอนถอนออกไปได้เลย

ทั้งชราและพยาธิเป็นความรังเกียจเดียดฉันท์ของทุกชีวิต แต่ถึงจะคิดอ่านป้องกันหลีกเลี่ยงประการใดก็ไม่มีทางจะหลีกหนีหรือป้องกันแก้ไขไปได้ และไม่ว่าจะมั่งมีศรีสุข ยากจนเข็ญใจ หรือมีอำนาจวาสนาสักปานใดก็ไม่อาจหลีกหนีสภาวะเช่นนี้ไปได้เลย เพราะนี่ก็คือความทุกข์เหมือนกัน เป็นความทุกข์ที่สืบเนื่องมีเหตุมีปัจจัยมาจากการเกิด มีอนาคตคือมรณะหรือความตายเป็นที่สุด

เพราะเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงตรัสสอนว่าทุกชีวิตกำลังเดินมุ่งหน้าไปสู่ความตายอันเป็นความทุกข์ แล้วไฉนเล่าเวไนยสัตว์จึงไม่ตัดสังสารวัฏนี้เสีย เพราะมีแต่ตัดสังสารวัฏให้ขาดสนิทเท่านั้น ก็จะไม่มีทางไปสู่ความตาย ไม่มีทางที่จะตกอยู่ในเงื้อมมือของมัจจุราชได้เลย

ก็แลเมื่อใดที่ตัดสังสารวัฏได้ขาดสิ้นแล้ว เมื่อนั้นความเกิดก็ย่อมไม่มีเหมือนหนึ่งตาลยอดด้วนที่ไม่มีวันงอกได้อีก เมื่อความเกิดไม่มีแล้วก็ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะดำเนินไปสู่ชรา พยาธิ และมรณะ อันเป็นความทุกข์ของชีวิต

ผมนั่งเหม่อมองหวนคำนึงถึงฉากชีวิตแต่หนหลังอย่างเงียบ ๆ ฝ่าดงไผ่ออกไปยังยอดภูอันไม่ไกลเท่าใดนัก ท่ามกลางสายลมที่แผ่วโผยโชยพอเย็นสบาย ด้วยอำนาจแห่งสมาธิจึงทำให้ฉากชีวิตฉากแล้วฉากเล่าผ่านหวนทวนเข้ามายังห้วงสำนึกอย่างชัดเจนราวกับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อวันวาน

กิริยาอาการเช่นนี้ผ่านไปนานเท่าใดก็หาได้คำนึงไม่ มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งก็เมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องเรียกว่า “ก๋ง ย่าให้มาตามไปกินข้าว”

ผมหันหน้าไปมองก็เห็นหลานชายหัวปีตัวน้อย ซึ่งบัดนี้อายุ 5 ขวบกว่าจะขึ้น 6 ขวบแล้ว กำลังเดินมาหาพร้อมกับผู้เป็นพี่เลี้ยง ผมจึงหันไปยิ้มให้

อือม์! วันเวลาผ่านไปเหมือนชั่วประเดี๋ยวเดียว แต่วันนี้ผมก็มีลูกชาย ลูกสาวรวม 2 คนแล้ว ต่างคนต่างก็มีครอบครัวเป็นหลักแหล่งแล้ว ลูกชายก็มีลูกชายแล้วถึง 2 คน บรรดาบุพการีไม่ว่าก๋ง ยาย แม่ ญาติผู้ใหญ่ แม้แต่พระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์หรือท่านบุศย์ ขันธวิทย์ ต่างก็ล่วงลับดับสังขารไปหมดแล้ว ผู้คนที่รู้จักมักคุ้นในวันนี้ล้วนเป็นคนหน้าใหม่ทั้งนั้น

วันนี้ผมเป็นปู่คนแล้ว หาใช่เด็กวัดน้อยเหมือนเมื่อยามออกจากบางมาแสวงหาการศึกษาและความก้าวหน้าของชีวิตอีกแล้ว

ความชราได้เข้าครอบงำชีวิตแล้วตามสัจธรรมแห่งชีวิตที่ทุกชีวิตย่อมเป็นไปและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ผมลุกขึ้นยืนแล้วไปจับมือเจ้าหลานชายตัวน้อยเดินออกจากดงไผ่ ฝ่าสายลมที่โชยสบายกลับไปยังที่พักเพื่อกินข้าวกินปลาร่วมกับครอบครัวและพรรคพวก.
กำลังโหลดความคิดเห็น