เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2551 ได้นำเสนอความคิดเห็นเป็นบทความเรื่อง “ก๊กมินตั๋งจะคืนสู่อำนาจในไต้หวัน” โดยประเมินสถานการณ์ว่าพรรคก๊กมินตั๋งจะชนะการเลือกตั้งท้องถิ่น จะชนะการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี และประชาชนไต้หวันจะคัดค้านการลงประชามติที่จะให้ไต้หวันสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ
คราวนั้นได้สรุปการวิเคราะห์ว่าหลักนโยบาย 3 ไม่ ของพรรคก๊กมินตั๋งที่นำเสนอโดยนายหม่าอิงจิ่ว ผู้สมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีไต้หวัน ที่ว่า “ไม่รวมประเทศ ไม่ประกาศเอกราช ไม่ทำสงคราม” นั้น สามารถถอดสมการออกมาได้เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ “หนึ่งร่วม”
บัดนี้การเลือกตั้งทุกระดับชั้นในไต้หวันได้เสร็จสิ้นไปแล้ว และปรากฏผลตามที่ได้ประเมินสถานการณ์ไว้ คือพรรคก๊กมินตั๋งมีชัยชนะในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นถึง 3 ใน 4 ของจำนวนเขตเลือกตั้งทั้งหมดในไต้หวัน ชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างท่วมท้น
และนายหม่าอิงจิ่วผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคก๊กมินตั๋งก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ในขณะที่ประชาชนไต้หวันส่วนใหญ่ได้ปฏิเสธการลงประชามติตามที่เฉินสุยเปี่ยนแห่งพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้พยายามเคลื่อนไหวมาหลายครั้งแล้วที่จะให้ไต้หวันสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ
เสียดายที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของเฉินสุยเปี่ยนได้สูญเสียโอกาสอันใหญ่หลวงตลอดระยะเวลาที่ครองอำนาจในไต้หวัน เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้ครองอำนาจในไต้หวันนั้น มีขีดความสามารถและโอกาสอย่างดียิ่งในการรวมมาตุภูมิอย่างสันติและร่วมกันพัฒนามาตุภูมิเพื่อความยิ่งใหญ่ของมาตุภูมิของตน แต่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าหลงลืมประวัติศาสตร์ของชาติตนเองอย่างสิ้นเชิง ลืมคิดไปว่าในประวัติศาสตร์กว่า 5,000 ปีของจีนนั้น เป็นประวัติศาสตร์แห่งการรวมชาติให้เป็นเอกภาพ พัฒนาและสร้างสรรค์มาตุภูมิเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชาติจีน
ลัทธิไตรราษฎร์ของ ดร.ซุนยัดเซ็น และการปฏิวัติของ ดร.ซุนยัดเซ็น ก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้ การทำสงครามประชาชาติและการทำสงครามปลดแอกที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตลอดจนการสร้างสรรค์สังคมนิยมแบบจีนกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้
มันคือความเรียกร้องต้องการที่ฝังอยู่ในสายเลือดและความคิดจิตวิญญาณของประชาชาติจีนที่สืบทอดต่อเนื่องมานับพัน ๆ ปีแล้ว ไม่มีสิ่งใดและไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงผันแปรไปได้เป็นอันขาด
การต่อสู้ในประวัติศาสตร์อันยาวนานยุคใกล้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคก๊กมินตั๋งก็แยกไม่ออกจากประวัติศาสตร์ดังกล่าว พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีแนวทางนโยบายและจุดยืนที่สอดคล้องกับผลประโยชน์และความคิดพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ของประชาชาติจีน จึงสามารถได้รับชัยชนะในสงครามกับพรรคก๊กมินตั๋ง
ยุทธการเหลียวเสิ่น ยุทธการหวายไห่ และยุทธการเป่ยผิงเทียนสิน หรือยุทธการผิงจินที่ชี้นำสงครามโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยมีสหายเหมาเจ๋อตงเป็นศูนย์กลาง และได้ชี้ขาดสงครามระหว่างสองพรรคนั้นก็คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของประชาชาติจีนดังที่ได้กล่าวมานี้
การฝ่าหนทางอันยากลำบากของภารกิจสร้างสรรค์สังคมนิยมแบบจีนหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้อำนาจรัฐแล้ว จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในปัจจุบันนี้ ก็เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอันสะท้อนถึงเลือดเนื้อและจิตวิญญาณดังกล่าวของประชาชาติจีนเช่นเดียวกัน
หากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าเข้าใจหนทางแห่งประวัติศาสตร์จีน เข้าใจเลือดเนื้อความคิดจิตวิญญาณของประชาชาติจีนในภารกิจดังกล่าวแล้ว สิ่งที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าพึงทำก็คือการรวมชาติอย่างสันติ ไม่ใช่การแยกประเทศหรือการประกาศเอกราช หรือการเคลื่อนไหวใด ๆ ในทำนองเดียวกันนี้
ถ้าหากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าดำเนินหนทางที่ถูกต้อง เพียงแค่เข้าใจว่าประเทศจีนและแผ่นดินจีนไม่ใช่ศัตรูของตน แต่เป็นมาตุภูมิของตนเท่านั้น พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าก็จะไม่สร้างความผิดพลาด ไม่สร้างหายนะ ไม่สร้างความชำรุดทรุดโทรมและความเสียหายแก่มณฑลไต้หวันอย่างมากมายดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
เพราะเพียงแค่เข้าใจอย่างถูกต้องว่าประชาชาติจีนคือพี่น้องร่วมชาติ แผ่นดินจีนคือมาตุภูมิเดียวกันเท่านั้น ไต้หวันก็สามารถประหยัดเงินในการจ่ายให้กับสหรัฐอเมริกาเป็นค่าอาวุธ โดยเฉลี่ยปีละไม่น้อยกว่า 800,000 ล้านบาท สามารถทำให้ผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาสทั้งหลายบนเกาะไต้หวันมีความมั่งคั่งในพริบตา
สามารถทำให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์เต็มที่แก่ชาวไต้หวัน ไม่ใช่ปล่อยให้แผ่นดินไหวผ่านไป 2-3 วัน ทางการจึงเข้าช่วยเหลือ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ที่สำคัญการยอมตนลงเป็นบริวารของมหาอำนาจนั้นไม่ได้สร้างศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิใด ๆ ให้แก่ชาวไต้หวันเลย กลับถูกมองว่าเหมือนกับสุนัขเลี้ยงที่น่ารักเท่านั้น ไม่ได้มีคุณค่าหรือศักดิ์ศรีใด ๆ ไม่ต่างอันใดกับยุคหนึ่งที่นักล่าอาณานิคมปฏิเสธไมให้คนจีนและสุนัขเข้าไปในสวนสาธารณะในเซี่ยงไฮ้เลย
เพราะความผิดพลาดใหญ่หลวงเช่นนี้ พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าจึงสูญเสียอำนาจบนเกาะไต้หวัน และถ้าหากพรรคก๊กมินตั๋งไม่ก้าวตามความผิดพลาดนั้น ก็เห็นทีว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าก็จะเป็นซากเน่าที่ไม่มีใครใส่ใจอีกต่อไปและไม่มีวันจะได้อำนาจรัฐอีก
หลายปีมานี้พรรคก๊กมินตั๋งได้ดำเนินนโยบายที่ถูกต้องเป็นครั้งแรก ที่สำคัญคือการยึดมั่นในความเป็นจีนเดียว การยืนหยัดที่จะไม่แยกประเทศ ไม่ประกาศเอกราช ไม่ถือจีนเป็นศัตรู
เพราะความถูกต้องเช่นนี้จึงได้รับฟื้นคืนโอกาสจากชาวไต้หวันอีกครั้งหนึ่งหลังจากสูญเสียอำนาจไปหลายปี นี่เป็นดังที่ประธานเหมาเจ๋อตงเคยกล่าวไว้ว่า แนวทางการเมืองมีความสำคัญชี้ขาด หากแนวทางการเมืองถูกต้อง ถึงไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีกองทัพ ไม่มีดินแดนก็จะได้มา แต่ถ้าแนวทางการเมืองผิดพลาด ถึงมีอำนาจรัฐ มีกองทัพและมีดินแดนก็จะต้องสูญเสียไป
ความคิดเหมาเจ๋อตงดังกล่าวนี้ยังคงส่องสว่างเจิดจ้าและยังถูกต้องทั่วไป การเสียอำนาจของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า และการกลับคืนสู่อำนาจของพรรคก๊กมินตั๋งบนเกาะไต้หวันล้วนเป็นไปตามสัจธรรมนี้
บัดนี้พรรคก๊กมินตั๋งกำลังเข้าสู่อำนาจรัฐบนเกาะไต้หวันแล้ว ท่าทีสุดท้ายของหม่าอิงจิ่วผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวันของพรรคก๊กมินตั๋งที่สำคัญมีสองประการคือ
ประการแรก
คือการแสดงท่าทีว่าการลงประชามติเพื่อให้ไต้หวันสมัครเป็นสมาชิกสหประชาชาติตามแผนที่เฉินสุยเปี่ยนเคยวางไว้ในระยะต่อไปจะเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด
ประการที่สอง
คือการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าภารกิจในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับแผ่นดินใหญ่เพื่อให้เกิดความมีเสถียรภาพ มีสันติภาพ และการพัฒนาสองฟากฝั่งช่องแคบเป็นภารกิจสำคัญที่สุด
ท่าทีทั้งสองประการหลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมีนัยสำคัญอย่างยิ่งเพราะนี่คือการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมตามหลักนโยบาย 3 ไม่ที่ได้เสนอในการเลือกตั้ง คือ ไม่รวมประเทศ ไม่ประกาศเอกราช และไม่ทำสงครามนั่นเอง
นโยบาย 3 ไม่ของพรรคก๊กมินตั๋งดังกล่าวและการยืนยันโดยท่าทีล่าสุดเช่นนี้ได้เผยแนวโน้มให้เห็นว่าความตึงเครียดบนสองฝั่งฟากช่องแคบจีน-ไต้หวัน ที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้ก่อขึ้นมาหลายปีกำลังสิ้นสุดลงแล้ว และพอจะคาดหมายได้ว่าการสิ้นสุดของมันในครั้งนี้จะเป็นการสิ้นสุดในครั้งสุดท้ายแล้ว
การปฏิบัติตามหลักนโยบาย 3 ไม่ซึ่งเคยวิเคราะห์ไว้ว่ามันคือ “หนึ่งร่วม” กำลังจะปรากฏขึ้นจากท่าทีที่ของนายหม่าอิงจิ่วที่ได้เผยให้เห็นดังกล่าวแล้ว ดังนั้นมาดูกันว่าหลักนโยบาย 3 ไม่ หรือที่ถอดเป็นสมการได้ว่า “หนึ่งร่วม” นั้นคืออะไรกันแน่?
บทเรียนอันเจ็บปวดของพรรคก๊กมินตั๋งในช่วงสูญเสียอำนาจอุดมสมบูรณ์เพียงพอและมีคุณค่าและมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้พรรคก๊กมินตั๋งตระหนักถึงภารกิจทางประวัติศาสตร์ของประชาชาติจีนในการรวมมาตุภูมิให้เป็นเอกภาพ และในการร่วมพัฒนามาตุภูมิของตน
แบบอย่างการรวมฮ่องกงและมาเก๊าเข้ากับจีนอย่างสันติตามหลักทฤษฎีหนึ่งประเทศ สองระบบ ของสหายเติ้งเสี่ยวผิงได้พิสูจน์ให้ชาวโลกได้เห็นแล้วว่าในทางทฤษฎีการปกครองนั้นเป็นความก้าวหน้าที่ล้ำหน้าที่สุดของยุคและสอดคล้องกับความเป็นจริงของประเทศจีนอย่างแท้จริง
ความสามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของฮ่องกงและมาเก๊า ตลอดจนความมีศักดิ์และศรีแห่งชนชาติจีนของชาวฮ่องกงและมาเก๊าได้ประจักษ์ต่อชาวโลกแล้วว่าเป็นแบบอย่างที่สามารถพัฒนาไปใช้ได้กับไต้หวัน
แน่นอนว่าในระยะใกล้ๆ นี้พรรคก๊กมินตั๋งยังคงต้องดำเนินการตามหลักนโยบาย 3 ไม่ คือยังไม่รวมประเทศ ไม่ประกาศเอกราช และไม่ทำสงคราม
สองประการหลังนั้นคือการระงับความขัดแย้งโดยพื้นฐานของสองฝั่งฟากช่องแคบเป็นครั้งแรก
การรวมประเทศยังไม่สามารถทำได้ในวันนี้ และยังมีเรื่องมากหลายที่จะต้องรอให้เกิดความเข้าใจอย่างทั่วถึงในหมู่ประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเพราะว่าวันเวลาแห่งประวัติศาสตร์จีนนับพัน ๆ ปีนั้นยาวนานยิ่งนัก การรอคอยความเข้าใจอีก 5 ปี 10 ปี หรือมากกว่านั้นก็ไม่เป็นปัญหา
ขอเพียงไต้หวันยึดมั่นในหลักนโยบายจีนเดียว ไม่ประกาศเอกราช ไม่ทำสงคราม ไม่ถือจีนเป็นศัตรู ก็คือรากฐานที่สำคัญของความร่วมมือระหว่างสองฝั่งฟากช่องแคบและแท้จริงแล้วมันก็มีความหมายที่ชัดเจนว่า “หนึ่งร่วม” นั่นเอง
“หนึ่งร่วม” ก็คือร่วมพัฒนาความร่วมมือในทุกด้านของสองฝั่งฟากช่องแคบจีน-ไต้หวัน เดินไปทีละก้าว ก้าวไปทีละขั้น วันหนึ่งร่วมกับรวมก็ไม่ไกลกันเกินไป
สหายเหมาเจ๋อตงเคยชี้ไว้ในเรื่องหลักการความร่วมมือกับแนวร่วมว่าเมื่อยังรวมกันไม่ได้ก็ต้องร่วมกันไปก่อน ความร่วมมือและผลแท้จริงที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสองฝั่งฟากช่องแคบที่จะเดินไปทีละก้าว ก้าวไปทีละขั้น ในที่สุดแล้วมันก็จะไปสู่จุดหมายปลายทางคือการรวมมาตุภูมินั่นเอง
สถานการณ์จากนี้ไปจึงน่าติดตามดูความร่วมมือของสองพรรคจีนในการร่วมกันพัฒนาความร่วมมือด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนามาตุภูมิของตน และส่งผลด้านเสถียรภาพและสันติภาพให้เกิดขึ้นแล้วในภูมิภาคนี้
“3 ไม่” คือ “หนึ่งร่วม” “หนึ่งร่วม” จะเดินทางไปสู่ “หนึ่งรวม” ซึ่งติดตามดูกันให้ดีก็คงจะได้เห็นพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของศูนย์การนำพรรคจีนที่นำโดยหูจิ่นเทาในระยะไม่ไกลจากนี้ไป.
คราวนั้นได้สรุปการวิเคราะห์ว่าหลักนโยบาย 3 ไม่ ของพรรคก๊กมินตั๋งที่นำเสนอโดยนายหม่าอิงจิ่ว ผู้สมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีไต้หวัน ที่ว่า “ไม่รวมประเทศ ไม่ประกาศเอกราช ไม่ทำสงคราม” นั้น สามารถถอดสมการออกมาได้เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ “หนึ่งร่วม”
บัดนี้การเลือกตั้งทุกระดับชั้นในไต้หวันได้เสร็จสิ้นไปแล้ว และปรากฏผลตามที่ได้ประเมินสถานการณ์ไว้ คือพรรคก๊กมินตั๋งมีชัยชนะในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นถึง 3 ใน 4 ของจำนวนเขตเลือกตั้งทั้งหมดในไต้หวัน ชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างท่วมท้น
และนายหม่าอิงจิ่วผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคก๊กมินตั๋งก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ในขณะที่ประชาชนไต้หวันส่วนใหญ่ได้ปฏิเสธการลงประชามติตามที่เฉินสุยเปี่ยนแห่งพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้พยายามเคลื่อนไหวมาหลายครั้งแล้วที่จะให้ไต้หวันสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ
เสียดายที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของเฉินสุยเปี่ยนได้สูญเสียโอกาสอันใหญ่หลวงตลอดระยะเวลาที่ครองอำนาจในไต้หวัน เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้ครองอำนาจในไต้หวันนั้น มีขีดความสามารถและโอกาสอย่างดียิ่งในการรวมมาตุภูมิอย่างสันติและร่วมกันพัฒนามาตุภูมิเพื่อความยิ่งใหญ่ของมาตุภูมิของตน แต่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าหลงลืมประวัติศาสตร์ของชาติตนเองอย่างสิ้นเชิง ลืมคิดไปว่าในประวัติศาสตร์กว่า 5,000 ปีของจีนนั้น เป็นประวัติศาสตร์แห่งการรวมชาติให้เป็นเอกภาพ พัฒนาและสร้างสรรค์มาตุภูมิเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชาติจีน
ลัทธิไตรราษฎร์ของ ดร.ซุนยัดเซ็น และการปฏิวัติของ ดร.ซุนยัดเซ็น ก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้ การทำสงครามประชาชาติและการทำสงครามปลดแอกที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตลอดจนการสร้างสรรค์สังคมนิยมแบบจีนกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้
มันคือความเรียกร้องต้องการที่ฝังอยู่ในสายเลือดและความคิดจิตวิญญาณของประชาชาติจีนที่สืบทอดต่อเนื่องมานับพัน ๆ ปีแล้ว ไม่มีสิ่งใดและไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงผันแปรไปได้เป็นอันขาด
การต่อสู้ในประวัติศาสตร์อันยาวนานยุคใกล้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคก๊กมินตั๋งก็แยกไม่ออกจากประวัติศาสตร์ดังกล่าว พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีแนวทางนโยบายและจุดยืนที่สอดคล้องกับผลประโยชน์และความคิดพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ของประชาชาติจีน จึงสามารถได้รับชัยชนะในสงครามกับพรรคก๊กมินตั๋ง
ยุทธการเหลียวเสิ่น ยุทธการหวายไห่ และยุทธการเป่ยผิงเทียนสิน หรือยุทธการผิงจินที่ชี้นำสงครามโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยมีสหายเหมาเจ๋อตงเป็นศูนย์กลาง และได้ชี้ขาดสงครามระหว่างสองพรรคนั้นก็คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของประชาชาติจีนดังที่ได้กล่าวมานี้
การฝ่าหนทางอันยากลำบากของภารกิจสร้างสรรค์สังคมนิยมแบบจีนหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้อำนาจรัฐแล้ว จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในปัจจุบันนี้ ก็เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอันสะท้อนถึงเลือดเนื้อและจิตวิญญาณดังกล่าวของประชาชาติจีนเช่นเดียวกัน
หากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าเข้าใจหนทางแห่งประวัติศาสตร์จีน เข้าใจเลือดเนื้อความคิดจิตวิญญาณของประชาชาติจีนในภารกิจดังกล่าวแล้ว สิ่งที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าพึงทำก็คือการรวมชาติอย่างสันติ ไม่ใช่การแยกประเทศหรือการประกาศเอกราช หรือการเคลื่อนไหวใด ๆ ในทำนองเดียวกันนี้
ถ้าหากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าดำเนินหนทางที่ถูกต้อง เพียงแค่เข้าใจว่าประเทศจีนและแผ่นดินจีนไม่ใช่ศัตรูของตน แต่เป็นมาตุภูมิของตนเท่านั้น พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าก็จะไม่สร้างความผิดพลาด ไม่สร้างหายนะ ไม่สร้างความชำรุดทรุดโทรมและความเสียหายแก่มณฑลไต้หวันอย่างมากมายดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
เพราะเพียงแค่เข้าใจอย่างถูกต้องว่าประชาชาติจีนคือพี่น้องร่วมชาติ แผ่นดินจีนคือมาตุภูมิเดียวกันเท่านั้น ไต้หวันก็สามารถประหยัดเงินในการจ่ายให้กับสหรัฐอเมริกาเป็นค่าอาวุธ โดยเฉลี่ยปีละไม่น้อยกว่า 800,000 ล้านบาท สามารถทำให้ผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาสทั้งหลายบนเกาะไต้หวันมีความมั่งคั่งในพริบตา
สามารถทำให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์เต็มที่แก่ชาวไต้หวัน ไม่ใช่ปล่อยให้แผ่นดินไหวผ่านไป 2-3 วัน ทางการจึงเข้าช่วยเหลือ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ที่สำคัญการยอมตนลงเป็นบริวารของมหาอำนาจนั้นไม่ได้สร้างศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิใด ๆ ให้แก่ชาวไต้หวันเลย กลับถูกมองว่าเหมือนกับสุนัขเลี้ยงที่น่ารักเท่านั้น ไม่ได้มีคุณค่าหรือศักดิ์ศรีใด ๆ ไม่ต่างอันใดกับยุคหนึ่งที่นักล่าอาณานิคมปฏิเสธไมให้คนจีนและสุนัขเข้าไปในสวนสาธารณะในเซี่ยงไฮ้เลย
เพราะความผิดพลาดใหญ่หลวงเช่นนี้ พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าจึงสูญเสียอำนาจบนเกาะไต้หวัน และถ้าหากพรรคก๊กมินตั๋งไม่ก้าวตามความผิดพลาดนั้น ก็เห็นทีว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าก็จะเป็นซากเน่าที่ไม่มีใครใส่ใจอีกต่อไปและไม่มีวันจะได้อำนาจรัฐอีก
หลายปีมานี้พรรคก๊กมินตั๋งได้ดำเนินนโยบายที่ถูกต้องเป็นครั้งแรก ที่สำคัญคือการยึดมั่นในความเป็นจีนเดียว การยืนหยัดที่จะไม่แยกประเทศ ไม่ประกาศเอกราช ไม่ถือจีนเป็นศัตรู
เพราะความถูกต้องเช่นนี้จึงได้รับฟื้นคืนโอกาสจากชาวไต้หวันอีกครั้งหนึ่งหลังจากสูญเสียอำนาจไปหลายปี นี่เป็นดังที่ประธานเหมาเจ๋อตงเคยกล่าวไว้ว่า แนวทางการเมืองมีความสำคัญชี้ขาด หากแนวทางการเมืองถูกต้อง ถึงไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีกองทัพ ไม่มีดินแดนก็จะได้มา แต่ถ้าแนวทางการเมืองผิดพลาด ถึงมีอำนาจรัฐ มีกองทัพและมีดินแดนก็จะต้องสูญเสียไป
ความคิดเหมาเจ๋อตงดังกล่าวนี้ยังคงส่องสว่างเจิดจ้าและยังถูกต้องทั่วไป การเสียอำนาจของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า และการกลับคืนสู่อำนาจของพรรคก๊กมินตั๋งบนเกาะไต้หวันล้วนเป็นไปตามสัจธรรมนี้
บัดนี้พรรคก๊กมินตั๋งกำลังเข้าสู่อำนาจรัฐบนเกาะไต้หวันแล้ว ท่าทีสุดท้ายของหม่าอิงจิ่วผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวันของพรรคก๊กมินตั๋งที่สำคัญมีสองประการคือ
ประการแรก
คือการแสดงท่าทีว่าการลงประชามติเพื่อให้ไต้หวันสมัครเป็นสมาชิกสหประชาชาติตามแผนที่เฉินสุยเปี่ยนเคยวางไว้ในระยะต่อไปจะเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด
ประการที่สอง
คือการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าภารกิจในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับแผ่นดินใหญ่เพื่อให้เกิดความมีเสถียรภาพ มีสันติภาพ และการพัฒนาสองฟากฝั่งช่องแคบเป็นภารกิจสำคัญที่สุด
ท่าทีทั้งสองประการหลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมีนัยสำคัญอย่างยิ่งเพราะนี่คือการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมตามหลักนโยบาย 3 ไม่ที่ได้เสนอในการเลือกตั้ง คือ ไม่รวมประเทศ ไม่ประกาศเอกราช และไม่ทำสงครามนั่นเอง
นโยบาย 3 ไม่ของพรรคก๊กมินตั๋งดังกล่าวและการยืนยันโดยท่าทีล่าสุดเช่นนี้ได้เผยแนวโน้มให้เห็นว่าความตึงเครียดบนสองฝั่งฟากช่องแคบจีน-ไต้หวัน ที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้ก่อขึ้นมาหลายปีกำลังสิ้นสุดลงแล้ว และพอจะคาดหมายได้ว่าการสิ้นสุดของมันในครั้งนี้จะเป็นการสิ้นสุดในครั้งสุดท้ายแล้ว
การปฏิบัติตามหลักนโยบาย 3 ไม่ซึ่งเคยวิเคราะห์ไว้ว่ามันคือ “หนึ่งร่วม” กำลังจะปรากฏขึ้นจากท่าทีที่ของนายหม่าอิงจิ่วที่ได้เผยให้เห็นดังกล่าวแล้ว ดังนั้นมาดูกันว่าหลักนโยบาย 3 ไม่ หรือที่ถอดเป็นสมการได้ว่า “หนึ่งร่วม” นั้นคืออะไรกันแน่?
บทเรียนอันเจ็บปวดของพรรคก๊กมินตั๋งในช่วงสูญเสียอำนาจอุดมสมบูรณ์เพียงพอและมีคุณค่าและมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้พรรคก๊กมินตั๋งตระหนักถึงภารกิจทางประวัติศาสตร์ของประชาชาติจีนในการรวมมาตุภูมิให้เป็นเอกภาพ และในการร่วมพัฒนามาตุภูมิของตน
แบบอย่างการรวมฮ่องกงและมาเก๊าเข้ากับจีนอย่างสันติตามหลักทฤษฎีหนึ่งประเทศ สองระบบ ของสหายเติ้งเสี่ยวผิงได้พิสูจน์ให้ชาวโลกได้เห็นแล้วว่าในทางทฤษฎีการปกครองนั้นเป็นความก้าวหน้าที่ล้ำหน้าที่สุดของยุคและสอดคล้องกับความเป็นจริงของประเทศจีนอย่างแท้จริง
ความสามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของฮ่องกงและมาเก๊า ตลอดจนความมีศักดิ์และศรีแห่งชนชาติจีนของชาวฮ่องกงและมาเก๊าได้ประจักษ์ต่อชาวโลกแล้วว่าเป็นแบบอย่างที่สามารถพัฒนาไปใช้ได้กับไต้หวัน
แน่นอนว่าในระยะใกล้ๆ นี้พรรคก๊กมินตั๋งยังคงต้องดำเนินการตามหลักนโยบาย 3 ไม่ คือยังไม่รวมประเทศ ไม่ประกาศเอกราช และไม่ทำสงคราม
สองประการหลังนั้นคือการระงับความขัดแย้งโดยพื้นฐานของสองฝั่งฟากช่องแคบเป็นครั้งแรก
การรวมประเทศยังไม่สามารถทำได้ในวันนี้ และยังมีเรื่องมากหลายที่จะต้องรอให้เกิดความเข้าใจอย่างทั่วถึงในหมู่ประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเพราะว่าวันเวลาแห่งประวัติศาสตร์จีนนับพัน ๆ ปีนั้นยาวนานยิ่งนัก การรอคอยความเข้าใจอีก 5 ปี 10 ปี หรือมากกว่านั้นก็ไม่เป็นปัญหา
ขอเพียงไต้หวันยึดมั่นในหลักนโยบายจีนเดียว ไม่ประกาศเอกราช ไม่ทำสงคราม ไม่ถือจีนเป็นศัตรู ก็คือรากฐานที่สำคัญของความร่วมมือระหว่างสองฝั่งฟากช่องแคบและแท้จริงแล้วมันก็มีความหมายที่ชัดเจนว่า “หนึ่งร่วม” นั่นเอง
“หนึ่งร่วม” ก็คือร่วมพัฒนาความร่วมมือในทุกด้านของสองฝั่งฟากช่องแคบจีน-ไต้หวัน เดินไปทีละก้าว ก้าวไปทีละขั้น วันหนึ่งร่วมกับรวมก็ไม่ไกลกันเกินไป
สหายเหมาเจ๋อตงเคยชี้ไว้ในเรื่องหลักการความร่วมมือกับแนวร่วมว่าเมื่อยังรวมกันไม่ได้ก็ต้องร่วมกันไปก่อน ความร่วมมือและผลแท้จริงที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสองฝั่งฟากช่องแคบที่จะเดินไปทีละก้าว ก้าวไปทีละขั้น ในที่สุดแล้วมันก็จะไปสู่จุดหมายปลายทางคือการรวมมาตุภูมินั่นเอง
สถานการณ์จากนี้ไปจึงน่าติดตามดูความร่วมมือของสองพรรคจีนในการร่วมกันพัฒนาความร่วมมือด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนามาตุภูมิของตน และส่งผลด้านเสถียรภาพและสันติภาพให้เกิดขึ้นแล้วในภูมิภาคนี้
“3 ไม่” คือ “หนึ่งร่วม” “หนึ่งร่วม” จะเดินทางไปสู่ “หนึ่งรวม” ซึ่งติดตามดูกันให้ดีก็คงจะได้เห็นพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของศูนย์การนำพรรคจีนที่นำโดยหูจิ่นเทาในระยะไม่ไกลจากนี้ไป.