ผู้จัดการรายวัน - แม็กซิม่าฯสบช่องแนวโน้มพัฒนาคอนโดฯขนาดห้องชุดเล็กลง ชูจุดเด่นเฟอร์นิเจอร์บิวด์อินเพิ่มพื้นที่ใช้สอย ชิงตลาดเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว คาดปี51ยอดขายเติบโตกว่า50% หลังนำเข้าเทคโนโลยีใหม่จากเยอรมนี แตกไลน์เจาะห้องครัว แจงมียอดขายโครงการแล้วกว่า 1,210 ยูนิต รอดิวอีก 4 โครงการ พร้อมงัดกลยุทธ์จัดกิจกรรมตลาดเจาะกลุ่มสถาปนิคอินทีเรียดีไซน์
ปัจจุบันที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมมีการขยายตัวค่อนข้างมาก ซึ่งการพัฒนาห้องชุดปัจจุบันมีแนวโน้มการพัฒนาห้องขนาดเล็กลง เพื่อให้เหมาะกับกำลังซื้อลูกค้าทำให้ห้องชุดส่วนใหญ่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัด ในขณะที่ผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ในตลาด ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์บิวด์อิน มี 3 บริษัทหลัก โดยโมเดิร์นฟอร์มฯ เป็นที่ยอมรับในการบิวด์อินห้องครัว , เอส.บี.เฟอร์นิเจอร์ฯ และแม็กซิม่า เป็นที่ยอมรับในเรื่องตู้เสื้อผ้าและตู้โชว์ ขณะที่ อินเด็กซ์ ไม่ให้ความสำคัญเฟอร์นิเจอร์บิวด์อินมากนัก
นางเรวดี จันทวิช กรรมการผู้จัดการบริษัท แม็กซิม่า มาสเตอร์ จำกัด บริษัทจำหน่ายละติตตั้งเฟอร์นิเจอร์บิวด์อิน กล่าวว่า หลังจากที่ได้เซ็นสัญญาซื้อเทคโนโลยีสเปซ โซลูชั่น ซิสเทิม จากเยอรมนี ทำให้สามารถรองรับความต้องการกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น จากเดิมที่บริษัทจะเน้นจับกลุ่มลูกค้าตลาดบน เช่น บ้านเดี่ยวระดับ 10ล้านบาท คอนโดฯเริ่มต้นราคา 5 ล้านบาท แต่หลังจากนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามา ทำให้สามารถรองรับกลุ่มลูกค้าตลาดระดับกลาง โดยเฉพาะลูกค้าห้องชุดระดับกลางซึ่งในปีนี้จะมีการโอนจำนวนมาก
ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนบุกตลาดโครงการอาคารชุดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เดิมบริษัทจะเน้นจับตลาดบิวด์อินตู้โชว์และตู้เสื้อผ้า และจากการนำเทคโนโลยีตัวใหม่เข้ามา จึงขยายตลาดเข้าไปจับกลุ่มห้องครัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มียอดขายรวมเติบโตได้กว่า50% จากเป้าหมายเดิมที่ 30% โดยบริษัทจะเน้นจัดกิจกรรมการตลาดและจับมือกับผู้ประกอบการโครงการ ซึ่งจะเจาะเข้าไปในกลุ่มสถาปนิก และอินทีเรียดีไซน์
“ ข้อดีของเฟอร์นิเจอร์บิวด์อิน คือ ประหยัดพื้นที่ใช้สอย เหมาะกับโครงการคอนโดฯที่มีพื้นที่จำกัด โดยเฉพาะแนวโน้มการพัฒนาห้องชุดมีขนาดพื้นที่เล็กลง ในขณะที่เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว จะมีปัญหาการวางที่ใช้พื้นมาก ”
ปัจจุบัน บริษัทมีงานบิวด์อินเกี่ยวกับตู้ทั้งหมดในโครงการแล้ว 1,210 ยูนิต ห้องครั้ว 246 ยูนิตในโครงการเดอะพาร์คแลนด์ศรีนครินทร์ และอยู่ระหว่างเจรจาอีก 4 โครงการประกอบด้วยโครงการ เดอะพาร์แลนด์ท่าพระ 900ยูนิต เดอะพาร์คแลนด์ตากสิน โครงการบ้านสามเสน90ยูนิต และโครงการอนันตาลุมพินี คาดว่าจะทำให้ในอนาคตสัดส่วนรายได้จากการบิวด์อินห้องครัวและตู้เป็น 50-50% จากปัจจุบันมีสัดสัดส่วน 30-60%ตามลำดับ
ปัจจุบันที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมมีการขยายตัวค่อนข้างมาก ซึ่งการพัฒนาห้องชุดปัจจุบันมีแนวโน้มการพัฒนาห้องขนาดเล็กลง เพื่อให้เหมาะกับกำลังซื้อลูกค้าทำให้ห้องชุดส่วนใหญ่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัด ในขณะที่ผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ในตลาด ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์บิวด์อิน มี 3 บริษัทหลัก โดยโมเดิร์นฟอร์มฯ เป็นที่ยอมรับในการบิวด์อินห้องครัว , เอส.บี.เฟอร์นิเจอร์ฯ และแม็กซิม่า เป็นที่ยอมรับในเรื่องตู้เสื้อผ้าและตู้โชว์ ขณะที่ อินเด็กซ์ ไม่ให้ความสำคัญเฟอร์นิเจอร์บิวด์อินมากนัก
นางเรวดี จันทวิช กรรมการผู้จัดการบริษัท แม็กซิม่า มาสเตอร์ จำกัด บริษัทจำหน่ายละติตตั้งเฟอร์นิเจอร์บิวด์อิน กล่าวว่า หลังจากที่ได้เซ็นสัญญาซื้อเทคโนโลยีสเปซ โซลูชั่น ซิสเทิม จากเยอรมนี ทำให้สามารถรองรับความต้องการกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น จากเดิมที่บริษัทจะเน้นจับกลุ่มลูกค้าตลาดบน เช่น บ้านเดี่ยวระดับ 10ล้านบาท คอนโดฯเริ่มต้นราคา 5 ล้านบาท แต่หลังจากนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามา ทำให้สามารถรองรับกลุ่มลูกค้าตลาดระดับกลาง โดยเฉพาะลูกค้าห้องชุดระดับกลางซึ่งในปีนี้จะมีการโอนจำนวนมาก
ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนบุกตลาดโครงการอาคารชุดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เดิมบริษัทจะเน้นจับตลาดบิวด์อินตู้โชว์และตู้เสื้อผ้า และจากการนำเทคโนโลยีตัวใหม่เข้ามา จึงขยายตลาดเข้าไปจับกลุ่มห้องครัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มียอดขายรวมเติบโตได้กว่า50% จากเป้าหมายเดิมที่ 30% โดยบริษัทจะเน้นจัดกิจกรรมการตลาดและจับมือกับผู้ประกอบการโครงการ ซึ่งจะเจาะเข้าไปในกลุ่มสถาปนิก และอินทีเรียดีไซน์
“ ข้อดีของเฟอร์นิเจอร์บิวด์อิน คือ ประหยัดพื้นที่ใช้สอย เหมาะกับโครงการคอนโดฯที่มีพื้นที่จำกัด โดยเฉพาะแนวโน้มการพัฒนาห้องชุดมีขนาดพื้นที่เล็กลง ในขณะที่เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว จะมีปัญหาการวางที่ใช้พื้นมาก ”
ปัจจุบัน บริษัทมีงานบิวด์อินเกี่ยวกับตู้ทั้งหมดในโครงการแล้ว 1,210 ยูนิต ห้องครั้ว 246 ยูนิตในโครงการเดอะพาร์คแลนด์ศรีนครินทร์ และอยู่ระหว่างเจรจาอีก 4 โครงการประกอบด้วยโครงการ เดอะพาร์แลนด์ท่าพระ 900ยูนิต เดอะพาร์คแลนด์ตากสิน โครงการบ้านสามเสน90ยูนิต และโครงการอนันตาลุมพินี คาดว่าจะทำให้ในอนาคตสัดส่วนรายได้จากการบิวด์อินห้องครัวและตู้เป็น 50-50% จากปัจจุบันมีสัดสัดส่วน 30-60%ตามลำดับ
