ซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปา เตรียมปรับองค์กร ระบบภายใน สร้างความพร้อมขยายธุรกิจปีหน้า ชู 3 แผนรุกอาหารจีน “ขายแฟรนไชส์-บุฟเฟ่ท์-คีออส” มั่นใจแบรนด์เนที่รู้จักและยอมรับในตลาดอาหารจีนแล้ว ปีนี้ขอโต 15%
นายอรัญ เอี่ยมสุรีย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ซั่งไห่ ฟู้ด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารจีน “ซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปา” กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯจะทำการปรับโครงสร้างองค์กร ระบบการทำงานภายในต่างๆ เพื่อรองรับกับการขยายธุรกิจในปีหน้าอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ แผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯนั้นมี 3 ทิศทางหลักคือ 1.การขายแฟรนไชส์ร้านซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปา 2.การเปิดบริการแบบบุฟเฟ่ท์ และ 3.การเปิดจุดจำหน่ายในรูปแบบเคาน์เตอร์หรือคีออสตามโมเดิร์นเทรดต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าเป็นอย่างช้า
“การเปิดสาขาใหม่ๆในปีนี้อาจจะไม่ได้เน้นมากนัก แต่จะให้ความสำคัญกับเรื่องของความพร้อมในองค์กร ทั้งเรื่องของคน เรื่องการสร้างระบบภายใน และเรื่องของครัวกลางที่จะส่งอาหารและวัตถุดิบให้กับร้านอาหารในเครือทั้งหมด ที่จะต้องปรับระบบการทำงานให้เป็นแบบโรงงานส่วนเรื่องของการลงทุนนั้นปีนี้คงจะไม่ค่อยมีเช่นกัน เพราะว่าครัวกลางนั้นก็ยังมีความสามารถในการรองรับได้อีกหลายสาขา เพียงแต่เปลี่ยนระบบการทำงานใหม่เท่านั้นเอง” นายอรัญกล่าว
สำหรับการขายแฟรนไชส์นั้น เนื่องจากว่า มีผู้สนใจจำนวนมากติดต่อเข้ามาซึ่งบริษัทฯเองก็ให้ความสนใจเช่นกัน แต่ยังเป็นเพียงการศึกษารายละเอียดและการวางแนวทางให้มีความพร้อมก่อน ซึ่งบริษัทฯมั่นใจว่าแบรนด์ ซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปานั้น เป็นที่รู้จักดีในตลาดอยู่แล้ว หลังจากที่ทำธุรกิจมานาน 6 ปี ขณะที่ในเรื่องของการเปิดจุดขายแบบคีออสหรือเคาน์เตอร์นั้น เนื่องจากบริษัทฯมองเห็นถึงพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทีเปลี่ยนไป ต้องการความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
ส่วนแผนการเปิดบริการแบบบุฟเฟ่ท์นั้น เนื่องจากปัจจุบันนี้ร้านอาหารที่เปิดบริการแบบบุฟเฟ่ท์ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นอาหารไทย อาหารญี่ปุ่น เป็นหลัก ในขณะที่อาหารจีนแบบบุฟเฟ่ท์นั้นแทบจะยังไม่มีเปิดให้บริการเลย หรือส่วนใหญ่ก็เป็นในโรงแรมใหญ่ๆ ตรงนี้เองบริษัทฯจึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ หากบริษัทฯเปิดบริการแบบบุฟเฟ่ท์ขึ้นมาก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภคที่แตกต่างจากบุฟเฟ่ท์ที่มีอยู่เดิมได้
“เรายังคงต้องศึกษาในรายละเอียดอีกมากว่าจะทำบุฟเฟ่ท์ในรูปแบบยังไง เพราะว่าอาหารจีน โดยเฉพาะอาหารแบบนึ่งนั้น ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะต้องร้อนตลอดเวลา คงจะต้องศึกษาดูว่าเมนูใดที่เหมาะสมกับการทำบุฟเฟ่ท์ รวมทั้งอาจจะใช้สาขาเดิมที่มีอยู่และที่มีความเหมาะสมปรับเป็นรูปแบบบุฟเฟ่ท์เพื่อเป็นการทดลองก่อนในบางสาขา”
ปัจจุบันบริษัทฯมีร้านซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปา เปิดบริการรวม 9 สาขา โดยสาขาที่เปิดนั้นอยู่ในศูนย์การค้าทั้งหมด คือ เมเจอร์รัชโยธิน-ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลสาขาพระรามสอง-พระรามสาม-ลาดพร้าว-ปิ่นเกล้า, เดอะมอลล์บางกะปิ , เอ็มบีเคเซ็นเตอร์ และที่เซ็นทรัลเวิลด์เป็นรูปแบบซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปาโกลด์ ฐานลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย รองลงมาคือคนจีนและเอเซีย อายุระหว่าง 25-35 ปี ค่าใช้จ่ายเข้าร้านเฉลี่ย 100-200 บาทต่อคนต่อครั้ง
อย่างไรก็ตาม นายอรัญกล่าวถึงภาวะของเศรษฐกิจในช่วงนี้ด้วยว่า เศรษฐกิจโดยรวมก็มีผลต่อร้านอาหารจีนของเราเหมือนกัน เพราะสาขาของเราทั้งหมดเปิดในศูนย์การค้า ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี คนเดินศูนย์การค้าน้อยก็กระทบเราแน่ ส่วนหนึ่งเราเองก็ต้องมีการจัดโปรโมชั่น รวมทั้งการออกเมนูใหม่ตลอดเวลาเพื่อกระตุ้นตลาดด้วย ล่าสุดคือการเปิดตัว “คัมภีร์รสแซบ 5 เมนูใหม่ จาก เสี่ยวหลงเปา” เป็นการผสมผสานระหว่างสูตรอาหารไทยกับจีนเช่น เสี่ยวหลงเปาต้มยำกุ้ง เสี่ยวหลงเปากระเพราหมู เป็นต้น
สำหรับผลประกอบการนั้น นายอรัญกล่าวว่า ปีที่แล้วมีรายได้รวม 100 กว่าล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 15%
นายอรัญ เอี่ยมสุรีย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ซั่งไห่ ฟู้ด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารจีน “ซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปา” กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯจะทำการปรับโครงสร้างองค์กร ระบบการทำงานภายในต่างๆ เพื่อรองรับกับการขยายธุรกิจในปีหน้าอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ แผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯนั้นมี 3 ทิศทางหลักคือ 1.การขายแฟรนไชส์ร้านซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปา 2.การเปิดบริการแบบบุฟเฟ่ท์ และ 3.การเปิดจุดจำหน่ายในรูปแบบเคาน์เตอร์หรือคีออสตามโมเดิร์นเทรดต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าเป็นอย่างช้า
“การเปิดสาขาใหม่ๆในปีนี้อาจจะไม่ได้เน้นมากนัก แต่จะให้ความสำคัญกับเรื่องของความพร้อมในองค์กร ทั้งเรื่องของคน เรื่องการสร้างระบบภายใน และเรื่องของครัวกลางที่จะส่งอาหารและวัตถุดิบให้กับร้านอาหารในเครือทั้งหมด ที่จะต้องปรับระบบการทำงานให้เป็นแบบโรงงานส่วนเรื่องของการลงทุนนั้นปีนี้คงจะไม่ค่อยมีเช่นกัน เพราะว่าครัวกลางนั้นก็ยังมีความสามารถในการรองรับได้อีกหลายสาขา เพียงแต่เปลี่ยนระบบการทำงานใหม่เท่านั้นเอง” นายอรัญกล่าว
สำหรับการขายแฟรนไชส์นั้น เนื่องจากว่า มีผู้สนใจจำนวนมากติดต่อเข้ามาซึ่งบริษัทฯเองก็ให้ความสนใจเช่นกัน แต่ยังเป็นเพียงการศึกษารายละเอียดและการวางแนวทางให้มีความพร้อมก่อน ซึ่งบริษัทฯมั่นใจว่าแบรนด์ ซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปานั้น เป็นที่รู้จักดีในตลาดอยู่แล้ว หลังจากที่ทำธุรกิจมานาน 6 ปี ขณะที่ในเรื่องของการเปิดจุดขายแบบคีออสหรือเคาน์เตอร์นั้น เนื่องจากบริษัทฯมองเห็นถึงพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทีเปลี่ยนไป ต้องการความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
ส่วนแผนการเปิดบริการแบบบุฟเฟ่ท์นั้น เนื่องจากปัจจุบันนี้ร้านอาหารที่เปิดบริการแบบบุฟเฟ่ท์ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นอาหารไทย อาหารญี่ปุ่น เป็นหลัก ในขณะที่อาหารจีนแบบบุฟเฟ่ท์นั้นแทบจะยังไม่มีเปิดให้บริการเลย หรือส่วนใหญ่ก็เป็นในโรงแรมใหญ่ๆ ตรงนี้เองบริษัทฯจึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ หากบริษัทฯเปิดบริการแบบบุฟเฟ่ท์ขึ้นมาก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภคที่แตกต่างจากบุฟเฟ่ท์ที่มีอยู่เดิมได้
“เรายังคงต้องศึกษาในรายละเอียดอีกมากว่าจะทำบุฟเฟ่ท์ในรูปแบบยังไง เพราะว่าอาหารจีน โดยเฉพาะอาหารแบบนึ่งนั้น ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะต้องร้อนตลอดเวลา คงจะต้องศึกษาดูว่าเมนูใดที่เหมาะสมกับการทำบุฟเฟ่ท์ รวมทั้งอาจจะใช้สาขาเดิมที่มีอยู่และที่มีความเหมาะสมปรับเป็นรูปแบบบุฟเฟ่ท์เพื่อเป็นการทดลองก่อนในบางสาขา”
ปัจจุบันบริษัทฯมีร้านซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปา เปิดบริการรวม 9 สาขา โดยสาขาที่เปิดนั้นอยู่ในศูนย์การค้าทั้งหมด คือ เมเจอร์รัชโยธิน-ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลสาขาพระรามสอง-พระรามสาม-ลาดพร้าว-ปิ่นเกล้า, เดอะมอลล์บางกะปิ , เอ็มบีเคเซ็นเตอร์ และที่เซ็นทรัลเวิลด์เป็นรูปแบบซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปาโกลด์ ฐานลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย รองลงมาคือคนจีนและเอเซีย อายุระหว่าง 25-35 ปี ค่าใช้จ่ายเข้าร้านเฉลี่ย 100-200 บาทต่อคนต่อครั้ง
อย่างไรก็ตาม นายอรัญกล่าวถึงภาวะของเศรษฐกิจในช่วงนี้ด้วยว่า เศรษฐกิจโดยรวมก็มีผลต่อร้านอาหารจีนของเราเหมือนกัน เพราะสาขาของเราทั้งหมดเปิดในศูนย์การค้า ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี คนเดินศูนย์การค้าน้อยก็กระทบเราแน่ ส่วนหนึ่งเราเองก็ต้องมีการจัดโปรโมชั่น รวมทั้งการออกเมนูใหม่ตลอดเวลาเพื่อกระตุ้นตลาดด้วย ล่าสุดคือการเปิดตัว “คัมภีร์รสแซบ 5 เมนูใหม่ จาก เสี่ยวหลงเปา” เป็นการผสมผสานระหว่างสูตรอาหารไทยกับจีนเช่น เสี่ยวหลงเปาต้มยำกุ้ง เสี่ยวหลงเปากระเพราหมู เป็นต้น
สำหรับผลประกอบการนั้น นายอรัญกล่าวว่า ปีที่แล้วมีรายได้รวม 100 กว่าล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 15%