"เหลิม"ตาขาวไม่อยากลงใต้ แถมปัดความรับผิดชอบให้เป็นหน้าที่ของกองทัพ อ้างเป็นเรื่องใหญ่เกินกำลัง ยอมรับหน้าตาเฉยจนปัญญาแก้ปัญหา แต่ยังคุยฟุ้งเคยเป็นตำรวจไล่จับโจรมาทั้งชีวิตไม่เห็นกลัวอะไร ขณะที่"หมัก" ก็ยังไม่เคยลงใต้เช่นกันตั้งแต่รับตำแหน่ง ไล่ "เหลิม" ลงพื้นที่แทน พร้อมเผยมีโจรใต้ 2 กลุ่มเคลื่อนไหวที่สวิส เพื่อดึงไฟใต้เป็นเรื่องนานาชาติ "เทพเทือก" อัด มท.1 กลัวตาย ไม่กล้าลงใต้ ดีแต่ตีฝีปากออกทีวี เหน็บหากตายในพื้นที่จะสร้างอนุสาวรีย์ให้ ปชป.ดัน"มาร์ค" ยื่นญัตติด่วนดับไฟใต้หลังสถานการณ์เริ่มบานปลาย
วานนี้ (18 มี.ค.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตนได้หารือกับ ส.ส.ร่วมรัฐบาลที่อยู่ในพื้นที่อยู่เป็นระยะ ซึ่งวันนี้ต้องยกให้เป็นเครดิตของฝ่ายกองทัพไทย ให้เขารับผิดชอบทั้งหมด ซึ่งกองทัพก็ดำเนินการมาเป็นลำดับ
ทั้งนี้ ในพื้นที่ภาคใต้ แม่ทัพภาคที่ 4 มีอำนาจสั่งการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ใช่ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งสถานการณ์ในพื้นที่นั้นพลิกผันตลอดเวลา เนื่องจากเกิดจากความเชื่อว่า เป็นแผ่นดินของเขา และเชื่อว่าเขาถูกข่มเหงรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ และไม่วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งตนไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งเพิ่มกำลัง ตนมีเพียงผู้ว่าฯ เท่านั้นที่จะสนับสนุน และช่วยในเรื่องงานด้านมวลชน เพราะว่ากระทรวงมหาดไทย เป็นตัวเสริมไม่ใช่กำลังหลัก และขณะนี้ก็กำลังปลุกจิตสำนึกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีมวลชนของกระทรวงมหาดไทยเท่าไร ก็เคลียร์เต็มหน้าตัก
"พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่กึ่งความโหดร้าย เมื่อเจ้าหน้าที่ทำแรงก็หาว่าไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน ถ้าเจ้าหน้าที่เงียบ คนร้ายก็ไม่กลัว เมื่อเจ้าหน้าที่เข้มแข็ง มีล้มตายบ้างเจ้าหน้าที่สมานฉันท์ด่าตั้งแต่หาดใหญ่ยันดอนเมือง อย่างนี้ก็ลำบาก รู้เยอะก็ปวดหัว รู้น้อยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร"
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านแนะให้เร่งแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยว่า ฝ่ายค้านพูดเราก็ต้องฟัง และก็ให้ความสำคัญ ตนเดินทางออกจากบ้านมาก็คุยโทรศัพท์กับ ผบก.ปัตตานี จนกระทั่งถึงทำเนียบฯ เพราะท่านเคยทำงานกับตนสมัยที่ตนเป็นตำรวจ รู้รายละเอียดอย่างครบถ้วน แต่สถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แก้โดยรัฐบาล กลาโหม หรือมหาดไทย เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเป็นองคายพายพ เพราะถึงแม้ว่าจะรู้ แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ ซึ่งในวันที่ 21 มี.ค.นี้ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้นัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ และการแก้ไขปัญหายาเสพติด
"เราเคยไปขอความอนุเคราะห์จากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมี ส.ส.ในพื้นที่มาก ก็คิดว่าน่าจะรู้สถานการณ์ในพื้นที่ดี ซึ่งผมก็ไม่ได้อับอาย และเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ รู้มากกว่าผม และผมก็ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกวัน เพราะว่าผมมีตำรวจในพื้นที่ ลูกน้องเก่าที่เป็นผู้กำกับอยู่ในพื้นที่หลายคน ก็ทราบรายละเอียด ไม่ใช่ว่าผมมาสนใจอะไร"
อ้างน้ำขุนที่แท้ไม่กล้าลงภาคใต้
ส่วนความไม่สงบที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรัฐบาลไม่มีนโยบายแก้ปัญหาที่ชัดเจนนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ รัฐบาลมีนโยบาย มีแผนยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีทุกอย่างชัดเจน เรื่องปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยไม่แก้ได้อย่างไร แต่พอตนพูดอะไรไปก็มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ คือ เราต้องยอมรับว่าวิธีการในขณะนี้ เมื่อแก้แล้วมันเกิดปัญหา มันต้องหาวิธีการใหม่ๆ แต่พอจะมีวิธีการใหม่ก็บอกว่าอันนี้อันนั้นทำไม่ได้ อย่าไปพูดเดี๋ยวเสียหาย ตนก็เลยไม่ได้คิด ก็เหมือนกับการทำธุรกิจ ถ้าทำอยู่ขาดทุนก็ต้องเปลี่ยนวิธีการ ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีการก็ซ้ำซากซ้ำซ้อน ปัญหาก็เกิด ไม่ใช่ว่าตนไม่อยากไปภาคใต้ ตนอยากไป ตนจับโจรมาทั้งชีวิต ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว แต่ปัญหาก็คือว่า เมื่อเราไปก็ไปฟังบรรยายสรุป เป็นเรื่องที่เรารู้อยู่แล้ว ซึ่งไม่มีประโยชน์จะทำให้เจ้าหน้าที่เขาเดือนร้อน เพราะว่าจะต้องนำกำลังเจ้าหน้าที่มาดูแลรักษาความสงบ
"โธ่ทำไมจะไม่ห่วง ใครอยากจะให้คนล้มตาย แต่มันลึกซึ้งจริงๆ ผมบอกตรงๆ ผมไม่อาย ลำพังมหาดไทย ก็แก้ลำบากที่สำคัญที่สุดต้องแก้นอกประเทศเข้ามา ซึ่งผมก็กำลังหาวิธีอยู่ พูดไปก่อนก็โดนด่า เลยไม่ต้องทำ ก็ต้องมาตอบคำถามซ้ำซากอยู่อย่างนั้น ฝ่ายค้านคิดอย่างไรว่ารัฐบาลไม่สนใจ เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย งานนี้ฝ่ายค้านต้องช่วยรัฐบาล ส่วนจะช่วยมากช่วยน้อย ก็เป็นเรื่องของฝ่ายค้าน แต่ว่าต้องช่วยกัน"
เมื่อถามว่า หลังเกิดระเบิดที่โรงแรมซี.เอส.ปัตตานี ทำไมนายกรัฐมนตรี หรือ รมว.มหาดไทย ถึงไม่ลงไปตรวจสอบในพื้นที่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า แล้วที่ผ่านมาลงไปแล้วเกิดความสงบหรือไม่ ก็มีแต่แรงขึ้นหนักขึ้น ตนรู้ลึกไม่น้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์ รู้หรอก
"ผมรู้รายละเอียดทั้งหมด แม้กระทั้งว่ารถที่เอาระเบิดก็รู้ว่าเอามาจากไหน ส่วนจะแก้ปัญหากันอย่างไรต้องรอที่ประชุมกันก่อน เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ที่พูดไม่ได้ หากพูดไปก็พังเลย"
ก่อนหน้านี้ รมว.มหาดไทยผู้นี้ ได้เสนอแนวคิดเรื่องเขตปกครองพิเศษสำหรับแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ แต่ถูกคัดค้านและถูกโจมตีอย่างหนัก เนื่องจากเกรงว่าจะนำไปสู่การแยกดินแดน
"หมัก"สั่ง"เหลิม"ลงใต้แก้ปัญหา
ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ตนได้รับรายงานอย่างละเอียดมาโดยตลอด แต่มีคนไม่ต้องการให้ตนแสดงความเห็น หรือวิพากวิจารณ์อะไร และวันนี้ในที่ประชุม ครม.ตนก็ได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม ลงพื้นที่เพื่อดูแลและรับฟังรายงานสถานการณ์แทนตน
ส่วนที่มีการะบุว่าสถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการต้อนรับรัฐบาลใหม่นั้นคงไม่จริง เพราะเราทำงานมาได้เดือนครึ่งแล้ว จากการรายงานของพื้นที่ระบุว่าฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบจะก่อเหตุร้ายประมาณวันที่ 13-15 มี.ค.แต่สุดท้ายก็มาก่อเหตุในวันที่ 16 มี.ค.แล้วก็มีการเผื่อไปถึงวันที่ 20 มี.ค.และที่ไม่มีข่าวออกมานั้นไม่ใช่รัฐบาลไม่ทำงาน ที่ผ่านมาเราดำเนินการเป็นการภายในมาโดยตลอดและตนก็ทำหน้าที่ของตัวเองและสามารถทำได้ แม้ตัวจะอยู่ที่กรุงเทพฯก็ตาม
"ผมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ผบ.ทบ. แม่ทัพภาค 4 และนายพระนาย สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการ ศอ.บต.ได้ประชุมแก้ปัญหาและติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด แต่ไม่ได้แถลง ซึ่งผมได้เห็นถึงความโหดร้ายรุนแรง ดุเดือดเลือดพล่าน พระสงฆ์องคเจ้าบรรลัยวายวอด ถูกฟันหัวแบะหมด พระถูกฆ่ากลางถนน ถึงขนาดกลับไปกินข้าวไม่ได้ เห็นแล้วน้ำตาตกใน ดูแล้วเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ในหัวอก แต่ไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ เพราะถ้าพูดแล้วก็จะถูกต่อว่า อ้าปากไปทีโดนไปที ยืนยันว่ารัฐบาลทำงานอยู่และโปรดเห็นใจกันบ้าง"
นายสมัคร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาได้บอกให้ระวังวันที่ 12-13 มี.ค.แต่มาเกิดระเบิดในวันที่ 16 มี.ค.แต่เคราะห์ดีที่คนร้ายทิ้งหลักฐานไว้จากระเบิดที่ไม่ทำงาน 1 ลูก จึงทำให้รู้ว่าเหตุระเบิดที่โรงแรมซี.เอส.ปัตตานีนั้นถังดับเพลิงที่ใช้ในการก่อเหตุเป็น 1 ใน 21 ถังที่ถูกขโมยและลำเลียงจากทางเรือมาจากจ.ตราด ทำให้เราได้รู้รายละเอียดว่าเป็นใคร แต่ไม่ขอบอกว่าเป็นใคร นับถือศาสนาไหน เพราะทุกวันนี้สถานีโทรทัศน์ และวิทยุทำตัวเป็นพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็อยากออกโทรทัศน์อยากดังตอบคำถามเกือบทั้งหมด
"ความจริงไม่ใช่หน้าที่ของสื่อที่จะอ้างว่าจะให้ประชาชนรู้ ของบางอย่างควรให้สถานการณ์ฟักตัวเอง ไม่ใช่หน้าที่สื่อจะมาตั้งคำถามและตำรวจก็ตอบคำถามทั้งหมด สำหรับผมจะแถลงให้ทราบความคืบหน้า เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย สำหรับการแก้ปัญหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการกันอยู่"
เผยโจรใต้ 2 กลุ่มเคลื่อนไหวที่สวิส
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สถานการณ์ความรุนแรงทางภาคใต้นั้นมีความพยายามที่จะดึงให้เป็นเรื่องของนานาชาติ ฝ่ายรัฐบาลไทยก็พยายามให้เป็นเรื่องภายใน ในพื้นที่มีอยู่ 6 กลุ่มและมี 2 กลุ่มที่เคลื่อนไหวพยายามทำให้เป็นเรื่องเอิกเกริกเป็นเรื่องของนานาชาติ
ขณะนี้เรารู้ว่ากำลังมีการเจรจาอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตนได้อ่านคำเจรจากันแล้ว แต่ไทยได้ยืนยันและไม่ยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของนานาชาติ แต่ตนคงไม่กล้าอวดว่าวันนี้รู้แล้วทั้งหมดว่าใครเป็นแกนนำแต่ยอมรับว่าพอรู้ในรายละเอียดแล้ว ไม่ใช่นั่งหลับตาแล้วไม่ได้ทำงาน
เมื่อถามว่า เท่าที่ผ่านมากลุ่มก่อความไม่สงบมีการพัฒนาในการก่อเหตุมากขึ้น รัฐบาลมีความมั่นใจขนาดไหนในการควบคุมสถานการณ์เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นายสมัคร กล่าวว่า ตนจะมาอวดศักดาได้อย่างไร เพราะมีบทเรียนมาแล้ว อย่างที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีพูดออกมาคำเดียวว่า "โจรกระจอก" บัดนี้ผ่านมากี่ปีแล้วไปหาว่าเขาเป็นโจรกระจอก ไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ ทางศาสนาก็ไม่ใช่
"เขาต้องการให้สถานการณ์ตรงนี้เป็นสถานการณ์นานาชาติ ผมพูดได้มากสุดเท่านี้ แต่เขากำลังจัดการให้มันเสร็จ บอกได้เลยว่าประชาชนเขาอยู่ข้างรัฐบาล อย่างเมื่อเช้า(18) ระเบิดที่มัสยิดอิสลามทั้งนั้น แปลว่าเขาฆ่ากันเอง แปลว่าคนไทยก็ไทยอิสลาม คนที่ฆ่าต้องไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่อิสลาม เพราะอิสลามพระอัญเลาะห์เขาบอกว่า ไม่ฆ่ากันเอง เห็นได้ชัดเจน วันหนึ่งผมว่า พระเจ้าไม่เข้าข้างคนผิดไม่ว่าศาสนาไหนทั้งนั้นวันหนึ่ง คนผิดต้องถูกลงโทษ ให้มันรู้ว่าบ้านเมืองของเราไม่มีใครมาทำอะไรได้ตามใจชอบ ผมอยากจะพูดคำนั้นออกไป แต่มีคนบอกว่ากรุณาหน่อย ยิ่งมาอยู่ตรงนี้ยิ่งต้องพูดน้อยหน่อย" นายสมัครกล่าว
"เหลิม"สนอง"หมัก"เตรียมลงใต้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายสมัคร มอบหมายให้ รมว.มหาดไทย ลงพื้นที่ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ได้เรียก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รักษาการ ผบ.ตร.เข้าพบทันที หลังจากนั้นได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตนรู้สึกภูมิใจที่นายกรัฐมนตรีไว้วางใจ และตนจะแก้ปัญหาสุดความสามารถ และจะไม่นำการเมืองมาเกี่ยวข้อง
"ส่วนตัวเห็นว่า หากไม่จำเป็นผู้นำรัฐบาลและรัฐมนตรีไม่ควรลงพื้นที่เพราะจะทำให้ผู้ก่อความไม่สงบมองว่าเป็นการท้าทาย เมื่อกลับมาจะมีเหตุรุนแรงทุกครั้ง นอกจากนี้ ปัญหาจะต้องแก้จากนอกประเทศ ส่วนการถือสองสัญชาติเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่จะต้องมาประกอบการพิจารณา ซึ่งได้เตรียมแนวทางไว้แล้ว"
"เทพเทือก"เย้ย"เหลิม"กลัวตาย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ รมว.มหาดไทยเงา กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้ รมว.มหาดไทย ใช้เวลาสงบสติอารมณ์ให้ดีและตั้งหลักพิจารณาตัวเองให้ชัดว่ามีบทบาท มีภาระหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง อย่าทำให้ประชาชนผิดหวัง ในความคาดหมายและในความเชื่อมั่นของประชาชน ถือว่า รมว.มหาดไทย ต้องมีหน้าที่ในการดูแลความสงบสุขของบ้านเมือง และเรื่องความมั่นคงภายในประเทศ กรณีปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นภาระหน้าที่ของ รมว.มหาดไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้รมว.มหาดไทยไปทบทวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้ดี
"ผมเคยเตือนสติไปบ้างแล้วว่า อย่าเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาตีสำนวนโวหาร ออกทีวี ออกวิทยุ หนังสือพิมพ์ แต่อยากให้ลงไปทำงานจริงจัง เรื่องของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาร้องแรกแหกกระเชอผ่านสื่อ แต่เป็นเรื่องที่ต้องลงไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ผมเห็นรัฐบาลนี้อ้างแนวทางพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการแก้ปัญหาภาคใต้มาโดยตลอด แต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติจริงจัง ที่จริงเมื่อได้อ้างแนวพระราชดำรัสแล้วควรศึกษาพระราชกรณียกิจทั้งหลายที่ทรงได้อุทิศพระองค์ทำงานให้กับภาคใต้มาหลายสิบปี รมว.มหาดไทยต้องลงไปดูแลอย่ากลัวตายจะทำเป็นปากกล้าอยู่ที่กรุงเทพฯไม่ได้ถ้าเป็น รมว.มหาดไทย แล้วลงไปพื้นที่ตายก็ช่างมัน ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้ ถ้ามัวแต่เต้นที่กรุงเทพฯคงไม่ได้เรื่อง"
ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม เคยระบุว่าไม่ลงพื้นที่ภาคใต้ เพราะเกรงเป็นภาระของเจ้าหน้าที่นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ได้ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนก็ตาม หนีไม่พ้นที่ต้องลงไปสัมผัสสถานการณ์จริงในพื้นที่ การอ้างว่าไม่อยากเป็นภาระของเจ้าหน้าที่นั้นประชาชนอาจจะรู้สึกว่า รมว.มหาดไทย กลัวตาย เพราะฉะนั้นอย่ากลัว ต้องมีขัตติยะมานะ เมื่อมาเป็น รมว.มหาดไทยแล้วตายก็ช่างมัน ตำรวจ ทหาร และข้าราชการ ลงไปปฏิบัติหน้าที่ เสี่ยงภัยอยู่ตลอดเวลา ทำไมจะให้ รมว.มหาดไทยลงไปเสี่ยงภัยบ้างไม่ได้ ถ้าลงไปแล้วจะเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น
อัดซ้ำความคิด"เหลิม"คับแคบ
นายสุเทพ กล่าวว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิม โยนปัญหาให้เป็นภาระกับกองทัพอย่างเดียว เป็นความคิดที่คับแคบ การแก้ปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ ต้องใช้ทุกภาคส่วนของราชการและต้องระดมความร่วมมือจากภาคเอกชนด้วย ในส่วนของข้าราชการ กองทัพก็ดูเฉพาะเรื่องการปฏิบัติการที่ต้องใช้กองกำลัง ซึ่งอาจมีทั้งทหารและตำรวจ แต่กำลังหลักในการแก้ปัญหาภาคใต้ คือกำลังของฝ่ายพลเรือน ที่มีหน้าที่ในการพัฒนา ในการอำนวยความผาสุกให้กับประชาชน ในการส่งเสริมด้านอาชีพ ซึ่งคนที่จะเป็นตัวหลักคือ รมว.มหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ตามลำดับ ถ้า รมว.มหาดไทยถอดใจแล้วผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ก็คงว้าเหว่
ส่วนนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็น รมว.กลาโหมควรต้องลงพื้นที่ด้วยตัวเองหรือไม่นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เพราะต้องดูแลทั้งระบบ หากนายกรัฐมนตรีจะลงไปหรือจะไปประชุม ตรวจเยี่ยม ก็ต้องทำ และที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ รมว.มหาดไทยลงพื้นที่ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว และการที่ ร.ต.อ.เฉลิม มาสนใจเรื่อง กทม. ลงทุนเดินทางไปศาลาว่าการ กทม.ด้วยตัวเองก็น่าจะลงทุนเดินทางไปภาคใต้ด้วยตัวเองบ้าง จะได้ดูว่า ได้ผลอย่างไร
"มาร์ค"ยื่นญัตติด่วนดับไฟใต้
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงหลังการประชุม ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคว่า ที่ประชุมพรรคมีมติให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นญัตติด่วนเรื่องปัญหาความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าสู่ที่ประชุมสภาในวันนี้ เพื่อให้ ส.ส.ทุกคนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เนื่องจากขณะนี้พัฒนาการความรุนแรงได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งขณะนี้ได้ขยายวงกว่างออกไปยังโรงแรม ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสูง เกรงว่าจะมีการขยายไปยังพื้นที่สาธารณะอื่น ประกอบกับแนวทางของรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนและไม่กระตือรือล้นเพียงกับสถานการณ์คามรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เฉพาะ ส.ส.ในพื้นที่เท่านั้นที่ให้ความสนใจแต่ ส.ส.ทั้งประเทศจะต้องร่วมมือกันหาทางออกให้ได้มากที่สุด จึงหวังว่ารัฐบาลจะให้ความร่วมมือกับ ญัตติดังกล่าว
นายองอาจ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคได้เตรียมไว้สองแนวทางคือ ให้วิปฝ่ายค้านไปหารือกับวิปรัฐบาลเพื่อยื่นญัติและนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ และ ให้ส.ส.ของพรรคในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอความร่วมมือจาก ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในจังหวัดชายแดนภาคใต้หนุนญัตติดังกล่าว
อัดชูนโยบายหาเสียงหลอกปชช.
ด้านนายมิมะนาเซา สามะอารี นายกสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลมัวแต่แก้ปัญหาของตัวเองจนลืมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และท่าทีของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่โยนเรื่องนี้ให้เป็นภาระของกองทัพเพียงฝ่ายเดียวนั้น ก็จะยังคงทำให้สถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อเนื่องก็จะยังคงเกิดขึ้นอยู่เหมือนเดิม เนื่องจากนโยบายจากส่วนกลางไม่ชัดเจน และเมื่อโยนปัญหาให้กองทัพดูแลเพียงฝ่ายเดียว การแก้ปัญหาก็จะยังเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปัญหาก็จะไม่จบ
สิ่งที่รัฐบาลควรต้องเร่งปฏิบัติโดยด่วนในขณะนี้ คือ การทบทวนมาตรการการแก้ปัญหาต่างๆ เนื่องจากบางเรื่องยังไม่ได้ผล และควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจนให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน
"ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองทุกพรรคต่างชูนโยบายการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะนี้รัฐบาลซึ่งมาจากการร่วมมือกันของพรรคการเมือง 6 พรรค แต่ละพรรคก็ล้วนมีนโยบายแก้ปัญหาทั้งนั้น แต่จนขณะนี้ก็ยังไม่เห็นพรรคไหนในรัฐบาลออกมาผลักดันนโยบายที่เคยประกาศไว้กับประชาชนเลย โดยเฉพาะพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีการทำสัญญาประชาคมไว้กับประชาชน มีการพูดถึงเรื่องความฝัน เรื่องพันธกิจ อยากให้นำมาใช้บ้าง กองทัพคงทำอะไรได้ไม่มาก พรรคร่วมรัฐบาลต้องเสนอทางแก้ด้วย และต้องทำโดยด่วน เพราะชาวบ้านรอความหวังจากรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่กลับไม่มีอะไรชัดเจน ทั้งๆ ที่หลายพรรคร่วมรัฐบาลนำประเด็นนี้ไปหาเสียงอย่างต่อเนื่องก่อนได้เป็นรัฐบาล"
จวก รมต.ไม่เคยโผล่หน้าเลย
ขณะที่นายแวดือราแม มะมิงจิ ส.ว.สรรหา และประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี เรียกร้องให้รัฐบาลส่งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ และศึกษาข้อมูลเพื่อนำไปกำหนดเป็นนโยบายการแก้ปัญหาที่ชัดเจนโดยเร่งด่วนเนื่องจากภายหลังการเลือกตั้งยังไม่มีรัฐมนตรีคนใดเดินทางลงพื้นที่ แม้แต่คนเดียว
"จนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนสำหรับการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะ ส.ส.ในพื้นที่ ซึ่งอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล เช่น พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคชาติไทย ที่ก่อนหน้านี้มีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน แต่ยังไม่มีใครกล้าออกมาผลักดันให้นโยบายการแก้ปัญหาเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม หรือนั่นเป็นแค่คำพูดและวิสัยทัศน์ที่สวยหรู เพื่อหวังคะแนนเสียงส่งตัวเองเข้าสภาอันทรงเกียรติเพียงเท่านั้น"
วานนี้ (18 มี.ค.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตนได้หารือกับ ส.ส.ร่วมรัฐบาลที่อยู่ในพื้นที่อยู่เป็นระยะ ซึ่งวันนี้ต้องยกให้เป็นเครดิตของฝ่ายกองทัพไทย ให้เขารับผิดชอบทั้งหมด ซึ่งกองทัพก็ดำเนินการมาเป็นลำดับ
ทั้งนี้ ในพื้นที่ภาคใต้ แม่ทัพภาคที่ 4 มีอำนาจสั่งการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ใช่ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งสถานการณ์ในพื้นที่นั้นพลิกผันตลอดเวลา เนื่องจากเกิดจากความเชื่อว่า เป็นแผ่นดินของเขา และเชื่อว่าเขาถูกข่มเหงรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ และไม่วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งตนไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งเพิ่มกำลัง ตนมีเพียงผู้ว่าฯ เท่านั้นที่จะสนับสนุน และช่วยในเรื่องงานด้านมวลชน เพราะว่ากระทรวงมหาดไทย เป็นตัวเสริมไม่ใช่กำลังหลัก และขณะนี้ก็กำลังปลุกจิตสำนึกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีมวลชนของกระทรวงมหาดไทยเท่าไร ก็เคลียร์เต็มหน้าตัก
"พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่กึ่งความโหดร้าย เมื่อเจ้าหน้าที่ทำแรงก็หาว่าไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน ถ้าเจ้าหน้าที่เงียบ คนร้ายก็ไม่กลัว เมื่อเจ้าหน้าที่เข้มแข็ง มีล้มตายบ้างเจ้าหน้าที่สมานฉันท์ด่าตั้งแต่หาดใหญ่ยันดอนเมือง อย่างนี้ก็ลำบาก รู้เยอะก็ปวดหัว รู้น้อยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร"
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านแนะให้เร่งแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยว่า ฝ่ายค้านพูดเราก็ต้องฟัง และก็ให้ความสำคัญ ตนเดินทางออกจากบ้านมาก็คุยโทรศัพท์กับ ผบก.ปัตตานี จนกระทั่งถึงทำเนียบฯ เพราะท่านเคยทำงานกับตนสมัยที่ตนเป็นตำรวจ รู้รายละเอียดอย่างครบถ้วน แต่สถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แก้โดยรัฐบาล กลาโหม หรือมหาดไทย เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเป็นองคายพายพ เพราะถึงแม้ว่าจะรู้ แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ ซึ่งในวันที่ 21 มี.ค.นี้ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้นัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ และการแก้ไขปัญหายาเสพติด
"เราเคยไปขอความอนุเคราะห์จากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมี ส.ส.ในพื้นที่มาก ก็คิดว่าน่าจะรู้สถานการณ์ในพื้นที่ดี ซึ่งผมก็ไม่ได้อับอาย และเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ รู้มากกว่าผม และผมก็ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกวัน เพราะว่าผมมีตำรวจในพื้นที่ ลูกน้องเก่าที่เป็นผู้กำกับอยู่ในพื้นที่หลายคน ก็ทราบรายละเอียด ไม่ใช่ว่าผมมาสนใจอะไร"
อ้างน้ำขุนที่แท้ไม่กล้าลงภาคใต้
ส่วนความไม่สงบที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรัฐบาลไม่มีนโยบายแก้ปัญหาที่ชัดเจนนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ รัฐบาลมีนโยบาย มีแผนยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีทุกอย่างชัดเจน เรื่องปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยไม่แก้ได้อย่างไร แต่พอตนพูดอะไรไปก็มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ คือ เราต้องยอมรับว่าวิธีการในขณะนี้ เมื่อแก้แล้วมันเกิดปัญหา มันต้องหาวิธีการใหม่ๆ แต่พอจะมีวิธีการใหม่ก็บอกว่าอันนี้อันนั้นทำไม่ได้ อย่าไปพูดเดี๋ยวเสียหาย ตนก็เลยไม่ได้คิด ก็เหมือนกับการทำธุรกิจ ถ้าทำอยู่ขาดทุนก็ต้องเปลี่ยนวิธีการ ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีการก็ซ้ำซากซ้ำซ้อน ปัญหาก็เกิด ไม่ใช่ว่าตนไม่อยากไปภาคใต้ ตนอยากไป ตนจับโจรมาทั้งชีวิต ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว แต่ปัญหาก็คือว่า เมื่อเราไปก็ไปฟังบรรยายสรุป เป็นเรื่องที่เรารู้อยู่แล้ว ซึ่งไม่มีประโยชน์จะทำให้เจ้าหน้าที่เขาเดือนร้อน เพราะว่าจะต้องนำกำลังเจ้าหน้าที่มาดูแลรักษาความสงบ
"โธ่ทำไมจะไม่ห่วง ใครอยากจะให้คนล้มตาย แต่มันลึกซึ้งจริงๆ ผมบอกตรงๆ ผมไม่อาย ลำพังมหาดไทย ก็แก้ลำบากที่สำคัญที่สุดต้องแก้นอกประเทศเข้ามา ซึ่งผมก็กำลังหาวิธีอยู่ พูดไปก่อนก็โดนด่า เลยไม่ต้องทำ ก็ต้องมาตอบคำถามซ้ำซากอยู่อย่างนั้น ฝ่ายค้านคิดอย่างไรว่ารัฐบาลไม่สนใจ เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย งานนี้ฝ่ายค้านต้องช่วยรัฐบาล ส่วนจะช่วยมากช่วยน้อย ก็เป็นเรื่องของฝ่ายค้าน แต่ว่าต้องช่วยกัน"
เมื่อถามว่า หลังเกิดระเบิดที่โรงแรมซี.เอส.ปัตตานี ทำไมนายกรัฐมนตรี หรือ รมว.มหาดไทย ถึงไม่ลงไปตรวจสอบในพื้นที่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า แล้วที่ผ่านมาลงไปแล้วเกิดความสงบหรือไม่ ก็มีแต่แรงขึ้นหนักขึ้น ตนรู้ลึกไม่น้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์ รู้หรอก
"ผมรู้รายละเอียดทั้งหมด แม้กระทั้งว่ารถที่เอาระเบิดก็รู้ว่าเอามาจากไหน ส่วนจะแก้ปัญหากันอย่างไรต้องรอที่ประชุมกันก่อน เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ที่พูดไม่ได้ หากพูดไปก็พังเลย"
ก่อนหน้านี้ รมว.มหาดไทยผู้นี้ ได้เสนอแนวคิดเรื่องเขตปกครองพิเศษสำหรับแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ แต่ถูกคัดค้านและถูกโจมตีอย่างหนัก เนื่องจากเกรงว่าจะนำไปสู่การแยกดินแดน
"หมัก"สั่ง"เหลิม"ลงใต้แก้ปัญหา
ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ตนได้รับรายงานอย่างละเอียดมาโดยตลอด แต่มีคนไม่ต้องการให้ตนแสดงความเห็น หรือวิพากวิจารณ์อะไร และวันนี้ในที่ประชุม ครม.ตนก็ได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม ลงพื้นที่เพื่อดูแลและรับฟังรายงานสถานการณ์แทนตน
ส่วนที่มีการะบุว่าสถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการต้อนรับรัฐบาลใหม่นั้นคงไม่จริง เพราะเราทำงานมาได้เดือนครึ่งแล้ว จากการรายงานของพื้นที่ระบุว่าฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบจะก่อเหตุร้ายประมาณวันที่ 13-15 มี.ค.แต่สุดท้ายก็มาก่อเหตุในวันที่ 16 มี.ค.แล้วก็มีการเผื่อไปถึงวันที่ 20 มี.ค.และที่ไม่มีข่าวออกมานั้นไม่ใช่รัฐบาลไม่ทำงาน ที่ผ่านมาเราดำเนินการเป็นการภายในมาโดยตลอดและตนก็ทำหน้าที่ของตัวเองและสามารถทำได้ แม้ตัวจะอยู่ที่กรุงเทพฯก็ตาม
"ผมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ผบ.ทบ. แม่ทัพภาค 4 และนายพระนาย สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการ ศอ.บต.ได้ประชุมแก้ปัญหาและติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด แต่ไม่ได้แถลง ซึ่งผมได้เห็นถึงความโหดร้ายรุนแรง ดุเดือดเลือดพล่าน พระสงฆ์องคเจ้าบรรลัยวายวอด ถูกฟันหัวแบะหมด พระถูกฆ่ากลางถนน ถึงขนาดกลับไปกินข้าวไม่ได้ เห็นแล้วน้ำตาตกใน ดูแล้วเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ในหัวอก แต่ไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ เพราะถ้าพูดแล้วก็จะถูกต่อว่า อ้าปากไปทีโดนไปที ยืนยันว่ารัฐบาลทำงานอยู่และโปรดเห็นใจกันบ้าง"
นายสมัคร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาได้บอกให้ระวังวันที่ 12-13 มี.ค.แต่มาเกิดระเบิดในวันที่ 16 มี.ค.แต่เคราะห์ดีที่คนร้ายทิ้งหลักฐานไว้จากระเบิดที่ไม่ทำงาน 1 ลูก จึงทำให้รู้ว่าเหตุระเบิดที่โรงแรมซี.เอส.ปัตตานีนั้นถังดับเพลิงที่ใช้ในการก่อเหตุเป็น 1 ใน 21 ถังที่ถูกขโมยและลำเลียงจากทางเรือมาจากจ.ตราด ทำให้เราได้รู้รายละเอียดว่าเป็นใคร แต่ไม่ขอบอกว่าเป็นใคร นับถือศาสนาไหน เพราะทุกวันนี้สถานีโทรทัศน์ และวิทยุทำตัวเป็นพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็อยากออกโทรทัศน์อยากดังตอบคำถามเกือบทั้งหมด
"ความจริงไม่ใช่หน้าที่ของสื่อที่จะอ้างว่าจะให้ประชาชนรู้ ของบางอย่างควรให้สถานการณ์ฟักตัวเอง ไม่ใช่หน้าที่สื่อจะมาตั้งคำถามและตำรวจก็ตอบคำถามทั้งหมด สำหรับผมจะแถลงให้ทราบความคืบหน้า เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย สำหรับการแก้ปัญหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการกันอยู่"
เผยโจรใต้ 2 กลุ่มเคลื่อนไหวที่สวิส
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สถานการณ์ความรุนแรงทางภาคใต้นั้นมีความพยายามที่จะดึงให้เป็นเรื่องของนานาชาติ ฝ่ายรัฐบาลไทยก็พยายามให้เป็นเรื่องภายใน ในพื้นที่มีอยู่ 6 กลุ่มและมี 2 กลุ่มที่เคลื่อนไหวพยายามทำให้เป็นเรื่องเอิกเกริกเป็นเรื่องของนานาชาติ
ขณะนี้เรารู้ว่ากำลังมีการเจรจาอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตนได้อ่านคำเจรจากันแล้ว แต่ไทยได้ยืนยันและไม่ยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของนานาชาติ แต่ตนคงไม่กล้าอวดว่าวันนี้รู้แล้วทั้งหมดว่าใครเป็นแกนนำแต่ยอมรับว่าพอรู้ในรายละเอียดแล้ว ไม่ใช่นั่งหลับตาแล้วไม่ได้ทำงาน
เมื่อถามว่า เท่าที่ผ่านมากลุ่มก่อความไม่สงบมีการพัฒนาในการก่อเหตุมากขึ้น รัฐบาลมีความมั่นใจขนาดไหนในการควบคุมสถานการณ์เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นายสมัคร กล่าวว่า ตนจะมาอวดศักดาได้อย่างไร เพราะมีบทเรียนมาแล้ว อย่างที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีพูดออกมาคำเดียวว่า "โจรกระจอก" บัดนี้ผ่านมากี่ปีแล้วไปหาว่าเขาเป็นโจรกระจอก ไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ ทางศาสนาก็ไม่ใช่
"เขาต้องการให้สถานการณ์ตรงนี้เป็นสถานการณ์นานาชาติ ผมพูดได้มากสุดเท่านี้ แต่เขากำลังจัดการให้มันเสร็จ บอกได้เลยว่าประชาชนเขาอยู่ข้างรัฐบาล อย่างเมื่อเช้า(18) ระเบิดที่มัสยิดอิสลามทั้งนั้น แปลว่าเขาฆ่ากันเอง แปลว่าคนไทยก็ไทยอิสลาม คนที่ฆ่าต้องไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่อิสลาม เพราะอิสลามพระอัญเลาะห์เขาบอกว่า ไม่ฆ่ากันเอง เห็นได้ชัดเจน วันหนึ่งผมว่า พระเจ้าไม่เข้าข้างคนผิดไม่ว่าศาสนาไหนทั้งนั้นวันหนึ่ง คนผิดต้องถูกลงโทษ ให้มันรู้ว่าบ้านเมืองของเราไม่มีใครมาทำอะไรได้ตามใจชอบ ผมอยากจะพูดคำนั้นออกไป แต่มีคนบอกว่ากรุณาหน่อย ยิ่งมาอยู่ตรงนี้ยิ่งต้องพูดน้อยหน่อย" นายสมัครกล่าว
"เหลิม"สนอง"หมัก"เตรียมลงใต้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายสมัคร มอบหมายให้ รมว.มหาดไทย ลงพื้นที่ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ได้เรียก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รักษาการ ผบ.ตร.เข้าพบทันที หลังจากนั้นได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตนรู้สึกภูมิใจที่นายกรัฐมนตรีไว้วางใจ และตนจะแก้ปัญหาสุดความสามารถ และจะไม่นำการเมืองมาเกี่ยวข้อง
"ส่วนตัวเห็นว่า หากไม่จำเป็นผู้นำรัฐบาลและรัฐมนตรีไม่ควรลงพื้นที่เพราะจะทำให้ผู้ก่อความไม่สงบมองว่าเป็นการท้าทาย เมื่อกลับมาจะมีเหตุรุนแรงทุกครั้ง นอกจากนี้ ปัญหาจะต้องแก้จากนอกประเทศ ส่วนการถือสองสัญชาติเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่จะต้องมาประกอบการพิจารณา ซึ่งได้เตรียมแนวทางไว้แล้ว"
"เทพเทือก"เย้ย"เหลิม"กลัวตาย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ รมว.มหาดไทยเงา กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้ รมว.มหาดไทย ใช้เวลาสงบสติอารมณ์ให้ดีและตั้งหลักพิจารณาตัวเองให้ชัดว่ามีบทบาท มีภาระหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง อย่าทำให้ประชาชนผิดหวัง ในความคาดหมายและในความเชื่อมั่นของประชาชน ถือว่า รมว.มหาดไทย ต้องมีหน้าที่ในการดูแลความสงบสุขของบ้านเมือง และเรื่องความมั่นคงภายในประเทศ กรณีปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นภาระหน้าที่ของ รมว.มหาดไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้รมว.มหาดไทยไปทบทวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้ดี
"ผมเคยเตือนสติไปบ้างแล้วว่า อย่าเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาตีสำนวนโวหาร ออกทีวี ออกวิทยุ หนังสือพิมพ์ แต่อยากให้ลงไปทำงานจริงจัง เรื่องของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาร้องแรกแหกกระเชอผ่านสื่อ แต่เป็นเรื่องที่ต้องลงไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ผมเห็นรัฐบาลนี้อ้างแนวทางพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการแก้ปัญหาภาคใต้มาโดยตลอด แต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติจริงจัง ที่จริงเมื่อได้อ้างแนวพระราชดำรัสแล้วควรศึกษาพระราชกรณียกิจทั้งหลายที่ทรงได้อุทิศพระองค์ทำงานให้กับภาคใต้มาหลายสิบปี รมว.มหาดไทยต้องลงไปดูแลอย่ากลัวตายจะทำเป็นปากกล้าอยู่ที่กรุงเทพฯไม่ได้ถ้าเป็น รมว.มหาดไทย แล้วลงไปพื้นที่ตายก็ช่างมัน ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้ ถ้ามัวแต่เต้นที่กรุงเทพฯคงไม่ได้เรื่อง"
ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม เคยระบุว่าไม่ลงพื้นที่ภาคใต้ เพราะเกรงเป็นภาระของเจ้าหน้าที่นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ได้ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนก็ตาม หนีไม่พ้นที่ต้องลงไปสัมผัสสถานการณ์จริงในพื้นที่ การอ้างว่าไม่อยากเป็นภาระของเจ้าหน้าที่นั้นประชาชนอาจจะรู้สึกว่า รมว.มหาดไทย กลัวตาย เพราะฉะนั้นอย่ากลัว ต้องมีขัตติยะมานะ เมื่อมาเป็น รมว.มหาดไทยแล้วตายก็ช่างมัน ตำรวจ ทหาร และข้าราชการ ลงไปปฏิบัติหน้าที่ เสี่ยงภัยอยู่ตลอดเวลา ทำไมจะให้ รมว.มหาดไทยลงไปเสี่ยงภัยบ้างไม่ได้ ถ้าลงไปแล้วจะเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น
อัดซ้ำความคิด"เหลิม"คับแคบ
นายสุเทพ กล่าวว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิม โยนปัญหาให้เป็นภาระกับกองทัพอย่างเดียว เป็นความคิดที่คับแคบ การแก้ปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ ต้องใช้ทุกภาคส่วนของราชการและต้องระดมความร่วมมือจากภาคเอกชนด้วย ในส่วนของข้าราชการ กองทัพก็ดูเฉพาะเรื่องการปฏิบัติการที่ต้องใช้กองกำลัง ซึ่งอาจมีทั้งทหารและตำรวจ แต่กำลังหลักในการแก้ปัญหาภาคใต้ คือกำลังของฝ่ายพลเรือน ที่มีหน้าที่ในการพัฒนา ในการอำนวยความผาสุกให้กับประชาชน ในการส่งเสริมด้านอาชีพ ซึ่งคนที่จะเป็นตัวหลักคือ รมว.มหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ตามลำดับ ถ้า รมว.มหาดไทยถอดใจแล้วผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ก็คงว้าเหว่
ส่วนนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็น รมว.กลาโหมควรต้องลงพื้นที่ด้วยตัวเองหรือไม่นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เพราะต้องดูแลทั้งระบบ หากนายกรัฐมนตรีจะลงไปหรือจะไปประชุม ตรวจเยี่ยม ก็ต้องทำ และที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ รมว.มหาดไทยลงพื้นที่ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว และการที่ ร.ต.อ.เฉลิม มาสนใจเรื่อง กทม. ลงทุนเดินทางไปศาลาว่าการ กทม.ด้วยตัวเองก็น่าจะลงทุนเดินทางไปภาคใต้ด้วยตัวเองบ้าง จะได้ดูว่า ได้ผลอย่างไร
"มาร์ค"ยื่นญัตติด่วนดับไฟใต้
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงหลังการประชุม ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคว่า ที่ประชุมพรรคมีมติให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นญัตติด่วนเรื่องปัญหาความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าสู่ที่ประชุมสภาในวันนี้ เพื่อให้ ส.ส.ทุกคนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เนื่องจากขณะนี้พัฒนาการความรุนแรงได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งขณะนี้ได้ขยายวงกว่างออกไปยังโรงแรม ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสูง เกรงว่าจะมีการขยายไปยังพื้นที่สาธารณะอื่น ประกอบกับแนวทางของรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนและไม่กระตือรือล้นเพียงกับสถานการณ์คามรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เฉพาะ ส.ส.ในพื้นที่เท่านั้นที่ให้ความสนใจแต่ ส.ส.ทั้งประเทศจะต้องร่วมมือกันหาทางออกให้ได้มากที่สุด จึงหวังว่ารัฐบาลจะให้ความร่วมมือกับ ญัตติดังกล่าว
นายองอาจ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคได้เตรียมไว้สองแนวทางคือ ให้วิปฝ่ายค้านไปหารือกับวิปรัฐบาลเพื่อยื่นญัติและนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ และ ให้ส.ส.ของพรรคในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอความร่วมมือจาก ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในจังหวัดชายแดนภาคใต้หนุนญัตติดังกล่าว
อัดชูนโยบายหาเสียงหลอกปชช.
ด้านนายมิมะนาเซา สามะอารี นายกสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลมัวแต่แก้ปัญหาของตัวเองจนลืมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และท่าทีของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่โยนเรื่องนี้ให้เป็นภาระของกองทัพเพียงฝ่ายเดียวนั้น ก็จะยังคงทำให้สถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อเนื่องก็จะยังคงเกิดขึ้นอยู่เหมือนเดิม เนื่องจากนโยบายจากส่วนกลางไม่ชัดเจน และเมื่อโยนปัญหาให้กองทัพดูแลเพียงฝ่ายเดียว การแก้ปัญหาก็จะยังเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปัญหาก็จะไม่จบ
สิ่งที่รัฐบาลควรต้องเร่งปฏิบัติโดยด่วนในขณะนี้ คือ การทบทวนมาตรการการแก้ปัญหาต่างๆ เนื่องจากบางเรื่องยังไม่ได้ผล และควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจนให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน
"ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองทุกพรรคต่างชูนโยบายการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะนี้รัฐบาลซึ่งมาจากการร่วมมือกันของพรรคการเมือง 6 พรรค แต่ละพรรคก็ล้วนมีนโยบายแก้ปัญหาทั้งนั้น แต่จนขณะนี้ก็ยังไม่เห็นพรรคไหนในรัฐบาลออกมาผลักดันนโยบายที่เคยประกาศไว้กับประชาชนเลย โดยเฉพาะพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีการทำสัญญาประชาคมไว้กับประชาชน มีการพูดถึงเรื่องความฝัน เรื่องพันธกิจ อยากให้นำมาใช้บ้าง กองทัพคงทำอะไรได้ไม่มาก พรรคร่วมรัฐบาลต้องเสนอทางแก้ด้วย และต้องทำโดยด่วน เพราะชาวบ้านรอความหวังจากรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่กลับไม่มีอะไรชัดเจน ทั้งๆ ที่หลายพรรคร่วมรัฐบาลนำประเด็นนี้ไปหาเสียงอย่างต่อเนื่องก่อนได้เป็นรัฐบาล"
จวก รมต.ไม่เคยโผล่หน้าเลย
ขณะที่นายแวดือราแม มะมิงจิ ส.ว.สรรหา และประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี เรียกร้องให้รัฐบาลส่งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ และศึกษาข้อมูลเพื่อนำไปกำหนดเป็นนโยบายการแก้ปัญหาที่ชัดเจนโดยเร่งด่วนเนื่องจากภายหลังการเลือกตั้งยังไม่มีรัฐมนตรีคนใดเดินทางลงพื้นที่ แม้แต่คนเดียว
"จนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนสำหรับการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะ ส.ส.ในพื้นที่ ซึ่งอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล เช่น พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคชาติไทย ที่ก่อนหน้านี้มีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน แต่ยังไม่มีใครกล้าออกมาผลักดันให้นโยบายการแก้ปัญหาเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม หรือนั่นเป็นแค่คำพูดและวิสัยทัศน์ที่สวยหรู เพื่อหวังคะแนนเสียงส่งตัวเองเข้าสภาอันทรงเกียรติเพียงเท่านั้น"