xs
xsm
sm
md
lg

วิธีสลายความแตกแยกในชาติ

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

วันก่อนผมอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง คอลัมนิสต์หน้า 4 เขียนถึงการออกมาเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า

หากไม่ห่วงบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย ทำร้ายหัวใจคนส่วนใหญ่ที่เรียกหา “ความสมานฉันท์” คิดเอาแต่มันเป็นที่ตั้ง เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯ “ประกาศเคลื่อน แล้วมี “ส.ส.พลังประชาชน” รวมพลสู้ ตามด้วยระดับ “เฉลิม อยู่บำรุง” เปิดตัวออกมาชนเอง สีสันทางการเมืองจะคึกคัก ไม่ใช่แค่น้ำลายท่วมเมือง” แต่โอกาส “เลือดจะท่วมหลัง” ใครหลายคน “สะใจซาดิสต์” แต่หากถามว่าแล้วประเทศชาติได้อะไรขึ้นมา คำตอบคือ “วังเวง”

ผมอ่านแล้ว แทบไม่เชื่อเลยว่า นี่เป็นหนังสือพิมพ์คุณภาพเพื่อคุณภาพของประเทศที่ชื่อว่า มติชน แม้ว่า พิจารณาเนื้อหาโดยส่วนใหญ่แล้ว ผมยังมั่นใจว่า มติชนคือ หนังสือพิมพ์ที่ยังคงเป็นความหวังในการนำทางสังคมไทยได้

คนเขียนคือ เจ้าของนามปากกา “ชโลธร” เพื่อนของผมเอง ผมคงไม่ต้องบอกชื่อจริงของเพื่อน แม้จะว่าไปแล้ว ภายใต้ชื่อจริงหรืออีกบางนามปากกา เพื่อนก็ไม่ได้มีทัศนคติที่แตกต่างไปจากนี้มากนัก

และการกล่าวข้างต้นก็เพื่อจะยืนยันว่า ภายใต้ความเห็นของผมถัดไปจากนี้ ผมไม่ได้ออกมาตอบโต้ ด้วยความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์หรืออคติอย่างแท้จริง

ผมยอมรับครับว่า วันนี้สังคมเกิดความแตกแยกเป็นฝักฝ่ายและมีการเลือกข้างกันอย่างชัดเจน แต่การจะให้คนทั้งสองข้างเลิกแล้วต่อกันหันหน้ามา “สมานฉันท์” กันนั้นผมคิดว่า ทางออกคือ การทำให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจทางการเมือง ซึ่งเป็นบทบาทที่สำคัญของสื่อมวลชน และผมเห็นว่า ความเห็นของเพื่อนข้างบนดังกล่าวต่างหาก ที่ยิ่งจะทำให้สังคมแตกแยก ไร้ทางออกในที่สุด

หากเราจะย้อนไปว่า การออกมาเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในช่วงขับไล่รัฐบาลทักษิณนั้นมีเหตุมีผลหรือไม่ คำตอบง่ายนิดเดียวครับ ย้อนไปอ่านข่าวเชิงสอบสวนสืบสวนซึ่งเป็นผลงานของสื่อในเครือมติชนดูไม่ว่า จะเป็นเรื่องซุกหุ้น เรื่องทุจริตเชิงนโยบาย เรื่องการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของตัวเองของรัฐบาลทักษิณ ฯลฯ

เพราะผมเชื่อว่า การนำเสนอข่าวเหล่านั้น คงไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อเอารางวัลมากกว่าให้คนในสังคมเชื่อว่า พฤติกรรมเช่นนั้นของรัฐบาล เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและหลักธรรมาภิบาล

หากสื่อนำเสนอในสิ่งที่ถูกต้องและให้ความรู้กับประชาชนว่า อะไรผิดอะไรถูก ให้สติสังคมว่า อะไรเป็นสิ่งที่พึงกระทำไม่พึงกระทำ คนในสังคมก็จะหันมามองปัญหาอย่างใช้สติและเหตุผล แยกแยะได้ถึงความถูกผิดชั่วดี เมื่อนั้นก็จะไม่เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมขึ้นอย่างแน่นอน

สื่อมวลชนพึงต้องทำให้ประชาชนเข้าใจว่า สิทธิในการแสดงความคิดเห็น ท้วงติงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล นอกจากเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นการรักษาอำนาจของตัวเองในฐานะเป็นเจ้าของอธิปไตยที่แท้จริง

ทำให้ประชาชนรู้จักแยกแยะด้วยเหตุผล ไม่ใช่คิดเพียงว่า การแสดงความเห็นเหล่านั้นเป็นเพียงสงครามน้ำลายที่น่าเบื่อหน่าย และทำให้เห็นว่า คนอีกกลุ่มหนึ่งแม้จะไม่เห็นด้วย ก็ต้องเคารพต่อสิทธิของคนอีกกลุ่มหนึ่ง

การนำเสนอให้ประชาชนเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริงของชาติ ทำให้พวกเขาเข้าใจว่านี่ไม่ใช่การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเหตุผลส่วนตัว ที่บอกว่า ให้เลิกราแล้วจบกันไป เหมือนตำรวจสมานฉันท์กับโจร คนถูกสมานฉันท์กับคนผิด

เราควรจะบอกกับประชาชนว่า การประกาศจัดสัมมนาประชาชนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งพยายามจำกัดวงอยู่ในห้องประชุมในรูปแบบของอภิปราย สัมมนา เป็นการแสดงออกและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และผมคิดว่า พันธมิตรฯ ก็พร้อมจะรับฟังหากสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผลว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ไม่มีความชอบธรรมอย่างไร มากกว่าน้ำเสียงแบบที่เพื่อนผมเขียนในคอลัมน์

และสิ่งที่เราควรจะบอกรัฐบาลมากกว่า ก็คือ การเปิดใจกว้างรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ทำตัวเป็นรัฐบาลเผด็จการอำนาจนิยม แต่อ้างว่าจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย หากเป็นเช่นนี้แล้ว การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็จะไม่มีความชอบธรรมทันที

เหตุการณ์ปะทะกันจนเกิดการนองเลือดของคนในชาติจะต้องไม่เกิดขึ้นแน่ ถ้าคนในฟากรัฐบาล ไม่ออกมายั่วยุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปากของสารวัตรเหลิม หรือลิ่วล้อ ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่า จะมีการจ้างคนออกมาชุมนุม หรือพูดจาแบบเยาะเย้ยถากถางว่า จะเอารถสุขามาให้บริการ ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่แตกต่างไปจากคำพูดของจอมพลประภาส จารุเสถียรในอดีตเลย

สื่อมวลชนควรจะท้วงติงรัฐบาลให้ห้ามปรามคนในฟากของตัวเองที่ประกาศว่า จะใช้นโยบายแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ดังเช่นพฤติกรรมที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคที่ทักษิณยังมีอำนาจ ไม่ว่าจะส่งแก๊งมอเตอร์ไซค์มาบุกขว้างปาสิ่งของเข้าไป ส่งคนมาคุกคาม ปาระเบิด ตะโกนด่าทอ หรือการขนประชาชนออกมาปะทะกัน เพื่อชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

และเมื่อโฆษกรัฐบาล พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ ออกมาเตือนพันธมิตรฯ ว่า บ้านเมืองมีขื่อมีแป จะเคลื่อนไหวจะชุมนุมอะไรก็แล้วแต่สามารถทำได้ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อไรที่ไปละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นทำให้เกิดความเสียหายกับประเทศชาติ ต่อระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทางฝ่ายบ้านเมืองที่บังคับใช้กฎหมายก็จะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะกฎหมายจะต้องรักษาสิทธิของคนส่วนใหญ่ในประเทศ

สื่อมวลชนพึงต้องบอกโฆษกรัฐบาลว่า คำพูดเหล่านี้ ควรที่จะออกมาเตือนฝ่ายของรัฐบาลที่ออกมาข่มขู่คุกคามต่างๆ นานา ต่อฝ่ายพันธมิตรฯ เสียมากกว่า

สื่อมวลชนพึงต้องทำให้ประชาชนเข้าใจว่า เราต้องสนับสนุนให้คนดีมีอำนาจ เข้ามาปกครองบ้านเมือง ต้องให้ความรู้แก่ประชาชนว่า พฤติกรรมของสารวัตรเหลิม พฤติกรรมของโฆษกรัฐบาลในอดีตที่เป็นผลเสียหายต่อประเทศชาติและส่วนรวมนั้นมีอะไรบ้าง เพื่อที่ประชาชนจะได้แยกแยะคนผิดออกจากคนถูก

เราจะต้องทำให้ประชาชนไม่ลืมว่า เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งมีโฆษกรัฐบาลรวมอยู่ด้วยนั้น ได้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่า เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 โดยพิพากษาให้จำคุกคนละ 2 ปี แต่ให้รอลงอาญาไว้

แล้วลองสังเกตดูซิครับว่า สิ่งที่คนในฟากรัฐบาลกำลังทำอยู่นี้ แตกต่างจากยุคที่รัฐบาลทักษิณยังไม่ล่มสลายตรงไหน

และผมยืนยันครับว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนที่จะต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น