หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้พักหนึ่ง (เพราะกำลังครึ้มอยู่กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีที่ถูกมองว่า เป็นหุ่นก็เริ่มจะสงบสติอารมณ์ไม่ได้เหมือนเดิม เขาระเบิดอารมณ์เอากับนักข่าว ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินเดินทางไปแนะนำตัวเองว่า เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต่อผู้นำของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
เรื่องของเรื่องเกิดจากคำถามของนักข่าวที่ถามถึงการเดินทางกลับมาสู้คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แรกทีเดียวนายสมัครก็ให้สัมภาษณ์นักข่าวด้วยดีว่า ได้พูดคุยกันแล้ว นักข่าวถามว่า ทางโทรศัพท์มือถือ นายสมัครตอบว่า จะให้คุยที่ไหน แต่ต่อไปก็จะมีโอกาสเจอกัน
เมื่อนักข่าวถามถึงรัฐมนตรีหลายคนจะเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เป็นที่ปรึกษา นายสมัครก็เริ่มออกอาการไม่พอใจด้วยการย้อนถามนักข่าวว่า กฎหมายห้ามไว้หรือเปล่า ช่วยไปดูกันหน่อยซิ ผมไม่เคยได้ยินข่าวนี้ นักข่าวบอกว่า รัฐมนตรีจะขอคำปรึกษาเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ
เท่านั้นแหละ ลมก็ออกหูนายสมัคร
นายสมัครกล่าวว่า ทำไมต้องตั้งคำถามอย่างนี้ มันเป็นอะไร
นักข่าวกล่าวว่า มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีผู้นำซ้อน
นายสมัครก็ออกอาการทันที “พวกคุณเขียนกันเอง หนังสือพิมพ์ไปเขียนว่านั่งเก้าอี้ซ้อนกัน มันเป็นความคิดของคนระดับพวกคุณเท่านั้นหรือ ขอย้ำเลยนะถ้าพวกคุณคิดกันอย่างนี้ ผมไม่อยากคิด คิดกันอย่างนี้กระแทกแดกดัน พูดจาเสียดสีให้เสียหาย ทำไมคิดกันได้แค่นั้นเอง ความคิดมีอยู่ระดับแค่นี้เองหรือ ทำไมไม่คิดอย่างคนธรรมดาคิดกันบ้างว่านี่คือนายกรัฐมนตรี และนั่นเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ทำไมต้องมาแดกดันเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน ผมไม่ได้พูดจาอย่างนี้มานาน ผมอ่านแล้วก็อมยิ้มว่า ทำไมสติปัญญาในการแสดงความคิดเห็นมันมีได้เพียงแค่นี้”
นักข่าวถามถึงการที่ลูกพรรคพลังประชาชนแห่แหนกันไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมัครตอบว่า แล้วมันเป็นอย่างไร ใครเดือดร้อน พวกคุณไปออกค่าเครื่องบินให้เขาบินไปฮ่องกงหรืออย่างไร
ก็ต้องยอมรับละครับว่า สติปัญญาของคอลัมนิสต์ก็ดี ของนักข่าวก็ดี มีและเป็นอยู่อย่างนี้ และที่มีและเป็นอยู่อย่างนี้ก็จากสภาพความเป็นจริงที่เห็น และเป็นอยู่
ถ้าหากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าเป็นหุ่น จะสงบสติอารมณ์ให้ดี ใคร่ครวญสักนิดก็จะเห็นจริงว่า การเป็นหัวหน้าพรรคประชากรไทยของนายสมัคร สุนทรเวช กับการเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนของนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนี้ มีความแตกต่างกันอย่างลิบลับ
พรรคประชากรไทยของนายสมัคร สุนทรเวช อาจจะไม่ได้เสียงข้างมาก มี ส.ส.ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ตามกระแสที่คนกรุงเทพมหานครนิยมนายสมัคร แต่พรรคประชากรไทยและนายสมัครก็มีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายสมัคร สุนทรเวช มีความสง่างามมีศักดิ์ศรีของความเป็นหัวหน้าพรรค มีสมาชิกพรรคที่ยกย่องให้เกียรตินายสมัคร
แต่การมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน คนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็รู้ว่า นายสมัคร สุนทรเวช ถูกอุปโลกน์ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยของคนอย่างนายสมัคร ที่เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีความเป็นตัวของตัวเอง
การที่นายสมัครยอมเป็นก็เพราะเล็งเห็นว่า ดี อยู่ๆ ก็มีคนมาสนับสนุนเป็นกลุ่มเป็นก้อน แถมมีเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไว้รอรับอีกต่างหาก เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคนวัย 72 ย่าง 73 ที่จะวางมือจากการเมืองอยู่แล้ว
เขากระแทกแดกดันดูหมิ่นดูแคลนนายสมัคร ก็ตรงจุดนี้ ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ?
การคัดสรรคนสมัครรับเลือกตั้งในแต่ละเขตเลือกตั้งที่ผ่านมา นายสมัคร ก็ย่อมประจักษ์แก่ใจตัวเองดีว่า ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรค มีอำนาจสิทธิขาดในการพิจารณาผู้คนลงสมัครรับเลือกตั้งกันสักแค่ไหนอย่างไร
ครั้นได้เสียงข้างมาก ได้จัดตั้งรัฐบาล นายสมัครในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ยังพูดออกมาให้ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองได้ยินในความเป็นหุ่นของนายสมัครอีกว่า ขี้เหร่หน่อย ก็ทำได้แค่นี้ และผมตัวคนเดียวในพรรค
คำพูดเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายทั้งปวงมองเห็นความเป็นหุ่นของนายสมัคร สุนทรเวช ได้อย่างชัดเจนขึ้น
สติปัญญานั้นเกิดจากสภาพการเรียนรู้ เกิดจากสภาพความเป็นจริง ที่คนคนนั้นได้สัมผัส
นักข่าว/คอลัมนิสต์ทั้งหลายไม่รู้นี่ครับว่า สมาชิกพรรคพลังประชาชนมาเลือกนายสมัคร เป็นหัวหน้าพรรค เพราะนิยมชมชอบนายสมัคร เห็นว่านายสมัคร เหมาะที่จะเป็นผู้นำ เห็นว่า นโยบายของนายสมัครจะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้
นักข่าว/คอลัมนิสต์ทั้งหลายไม่รู้นี่ครับว่า ประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนนั้นนิยมศรัทธาในตัวนายสมัคร พวกเขาโง่กันทั้งนั้นแหละครับ เพราะเข้าใจว่า เพราะอำนาจ บารมี เงินทุนของอำนาจเก่าให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งชนะการเลือกตั้ง
พวกเขายังโง่อีกว่า การโยกย้ายข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นกรมสืบสวนคดีพิเศษนั้น ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับคดีความที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอยู่ และรอให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง
คนทั้งประเทศเขาโง่หมดแหละครับ ถ้าหากจะคิดอย่างนายสมัคร สุนทรเวช
ซึ่งความโง่เง่าเต่าตุ่นนี่แหละครับก็อาจจะย้อนถามนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งควรจะมีเกียรติบ้างว่า สติปัญญาของคุณที่เป็นนายกรัฐมนตรี คิดได้แค่นี้แหละหรือ โกหกตอแหลได้แค่นี้ละหรือที่ว่า 6 ตุลาคม 2519 มีคนตายแค่คนเดียว
หรือที่นายสมัคร มักจะพูดอยู่เสมอในขณะนี้ว่า ตัวมาจากการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชนแล้ว ไอ้ที่มันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั่นมันไม่เผด็จการหรือ
ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ในพรรคพลังประชาชนช่วยเตือนความจำเขาหน่อย
หรือโง่ และลืมกันไปหมดแล้ว
เรื่องของเรื่องเกิดจากคำถามของนักข่าวที่ถามถึงการเดินทางกลับมาสู้คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แรกทีเดียวนายสมัครก็ให้สัมภาษณ์นักข่าวด้วยดีว่า ได้พูดคุยกันแล้ว นักข่าวถามว่า ทางโทรศัพท์มือถือ นายสมัครตอบว่า จะให้คุยที่ไหน แต่ต่อไปก็จะมีโอกาสเจอกัน
เมื่อนักข่าวถามถึงรัฐมนตรีหลายคนจะเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เป็นที่ปรึกษา นายสมัครก็เริ่มออกอาการไม่พอใจด้วยการย้อนถามนักข่าวว่า กฎหมายห้ามไว้หรือเปล่า ช่วยไปดูกันหน่อยซิ ผมไม่เคยได้ยินข่าวนี้ นักข่าวบอกว่า รัฐมนตรีจะขอคำปรึกษาเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ
เท่านั้นแหละ ลมก็ออกหูนายสมัคร
นายสมัครกล่าวว่า ทำไมต้องตั้งคำถามอย่างนี้ มันเป็นอะไร
นักข่าวกล่าวว่า มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีผู้นำซ้อน
นายสมัครก็ออกอาการทันที “พวกคุณเขียนกันเอง หนังสือพิมพ์ไปเขียนว่านั่งเก้าอี้ซ้อนกัน มันเป็นความคิดของคนระดับพวกคุณเท่านั้นหรือ ขอย้ำเลยนะถ้าพวกคุณคิดกันอย่างนี้ ผมไม่อยากคิด คิดกันอย่างนี้กระแทกแดกดัน พูดจาเสียดสีให้เสียหาย ทำไมคิดกันได้แค่นั้นเอง ความคิดมีอยู่ระดับแค่นี้เองหรือ ทำไมไม่คิดอย่างคนธรรมดาคิดกันบ้างว่านี่คือนายกรัฐมนตรี และนั่นเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ทำไมต้องมาแดกดันเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน ผมไม่ได้พูดจาอย่างนี้มานาน ผมอ่านแล้วก็อมยิ้มว่า ทำไมสติปัญญาในการแสดงความคิดเห็นมันมีได้เพียงแค่นี้”
นักข่าวถามถึงการที่ลูกพรรคพลังประชาชนแห่แหนกันไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมัครตอบว่า แล้วมันเป็นอย่างไร ใครเดือดร้อน พวกคุณไปออกค่าเครื่องบินให้เขาบินไปฮ่องกงหรืออย่างไร
ก็ต้องยอมรับละครับว่า สติปัญญาของคอลัมนิสต์ก็ดี ของนักข่าวก็ดี มีและเป็นอยู่อย่างนี้ และที่มีและเป็นอยู่อย่างนี้ก็จากสภาพความเป็นจริงที่เห็น และเป็นอยู่
ถ้าหากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าเป็นหุ่น จะสงบสติอารมณ์ให้ดี ใคร่ครวญสักนิดก็จะเห็นจริงว่า การเป็นหัวหน้าพรรคประชากรไทยของนายสมัคร สุนทรเวช กับการเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนของนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนี้ มีความแตกต่างกันอย่างลิบลับ
พรรคประชากรไทยของนายสมัคร สุนทรเวช อาจจะไม่ได้เสียงข้างมาก มี ส.ส.ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ตามกระแสที่คนกรุงเทพมหานครนิยมนายสมัคร แต่พรรคประชากรไทยและนายสมัครก็มีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายสมัคร สุนทรเวช มีความสง่างามมีศักดิ์ศรีของความเป็นหัวหน้าพรรค มีสมาชิกพรรคที่ยกย่องให้เกียรตินายสมัคร
แต่การมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน คนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็รู้ว่า นายสมัคร สุนทรเวช ถูกอุปโลกน์ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยของคนอย่างนายสมัคร ที่เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีความเป็นตัวของตัวเอง
การที่นายสมัครยอมเป็นก็เพราะเล็งเห็นว่า ดี อยู่ๆ ก็มีคนมาสนับสนุนเป็นกลุ่มเป็นก้อน แถมมีเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไว้รอรับอีกต่างหาก เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคนวัย 72 ย่าง 73 ที่จะวางมือจากการเมืองอยู่แล้ว
เขากระแทกแดกดันดูหมิ่นดูแคลนนายสมัคร ก็ตรงจุดนี้ ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ?
การคัดสรรคนสมัครรับเลือกตั้งในแต่ละเขตเลือกตั้งที่ผ่านมา นายสมัคร ก็ย่อมประจักษ์แก่ใจตัวเองดีว่า ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรค มีอำนาจสิทธิขาดในการพิจารณาผู้คนลงสมัครรับเลือกตั้งกันสักแค่ไหนอย่างไร
ครั้นได้เสียงข้างมาก ได้จัดตั้งรัฐบาล นายสมัครในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ยังพูดออกมาให้ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองได้ยินในความเป็นหุ่นของนายสมัครอีกว่า ขี้เหร่หน่อย ก็ทำได้แค่นี้ และผมตัวคนเดียวในพรรค
คำพูดเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายทั้งปวงมองเห็นความเป็นหุ่นของนายสมัคร สุนทรเวช ได้อย่างชัดเจนขึ้น
สติปัญญานั้นเกิดจากสภาพการเรียนรู้ เกิดจากสภาพความเป็นจริง ที่คนคนนั้นได้สัมผัส
นักข่าว/คอลัมนิสต์ทั้งหลายไม่รู้นี่ครับว่า สมาชิกพรรคพลังประชาชนมาเลือกนายสมัคร เป็นหัวหน้าพรรค เพราะนิยมชมชอบนายสมัคร เห็นว่านายสมัคร เหมาะที่จะเป็นผู้นำ เห็นว่า นโยบายของนายสมัครจะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้
นักข่าว/คอลัมนิสต์ทั้งหลายไม่รู้นี่ครับว่า ประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนนั้นนิยมศรัทธาในตัวนายสมัคร พวกเขาโง่กันทั้งนั้นแหละครับ เพราะเข้าใจว่า เพราะอำนาจ บารมี เงินทุนของอำนาจเก่าให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งชนะการเลือกตั้ง
พวกเขายังโง่อีกว่า การโยกย้ายข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นกรมสืบสวนคดีพิเศษนั้น ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับคดีความที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอยู่ และรอให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง
คนทั้งประเทศเขาโง่หมดแหละครับ ถ้าหากจะคิดอย่างนายสมัคร สุนทรเวช
ซึ่งความโง่เง่าเต่าตุ่นนี่แหละครับก็อาจจะย้อนถามนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งควรจะมีเกียรติบ้างว่า สติปัญญาของคุณที่เป็นนายกรัฐมนตรี คิดได้แค่นี้แหละหรือ โกหกตอแหลได้แค่นี้ละหรือที่ว่า 6 ตุลาคม 2519 มีคนตายแค่คนเดียว
หรือที่นายสมัคร มักจะพูดอยู่เสมอในขณะนี้ว่า ตัวมาจากการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชนแล้ว ไอ้ที่มันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั่นมันไม่เผด็จการหรือ
ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ในพรรคพลังประชาชนช่วยเตือนความจำเขาหน่อย
หรือโง่ และลืมกันไปหมดแล้ว