ใครที่คิดว่าคนไทยโง่เป็นควายอยู่ คนนั้นแหละโง่! ดังนั้นคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือนักการเมือง หากจะพูดจาสิ่งใดกับประชาชนก็ควรจะได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ไว้ให้จงดี และควรจะรำลึกไว้เสมอว่าประชาชนไม่มีวันโง่
ประชาชน 63 ล้านคนถึงจะมีคนโง่อยู่บ้างแต่ก็ย่อมมีคนฉลาดอยู่ด้วย และคนฉลาดนั้นก็อาจฉลาดกว่าคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือนักการเมืองก็ได้
ดังนั้นการเที่ยวตำหนิคนที่ไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำให้กินไก่แทนหมูว่ามีหัวสมองโตเท่าหัวแม่เท้าก็อาจจะถูกโต้กลับสักวันหนึ่งว่า คนพูดนั่นแหละหัวสมองโตเท่าหัวแม่เท้า เพราะถ้าถือเอาแต่ราคาอย่างเดียวการแนะนำให้กินไก่ก็ยังแพงอยู่มาก ทำไมไม่แนะนำให้กินข้าวเปล่า หรือกินข้าวกับเกลือ หรือกินข้าวกับรำไปเสียเลย
แต่ช่างเถอะ เมื่อถือเอาการทะเลาะเบาะแว้งและสร้างความขัดแย้งในบ้านเมืองเป็นเรื่องสนุกสนานกว่าการพัฒนาบ้านเมืองหรือแก้ไขปัญหาวิกฤตของชาติก็คงจะได้ผลดังปรารถนาแน่
เพราะทำกรรมอันใดไว้ก็ต้องได้รับวิบากกรรมนั้นโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อก่อกรรมในเรื่องสร้างเหตุแห่งความวิวาทบาดหมางด้วยมุสาวาจาเป็นนิตย์อย่างนี้ ก็คงได้ผลแห่งวิบากกรรมนี้โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ในวันนี้มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้บางคนมีอารมณ์ร้อนเดือดแค้น ในขณะที่บางคนกลับมีอารมณ์เย็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว เตะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ กระทั่งเปิดเผยท่าทีออกมาว่าอยากจะเป็นรัฐบาลไป 4 ปีหรือ 8 ปีโน่น
เสียง “ไอ้หุ่นทรยศ” จึงดังก้องกระหึ่มไปเข้าหูใครต่อใคร เพราะคนจำนวนหนึ่งก็รู้ดีว่าในรัฐบาลไทยในวันนี้มีพวกหนึ่งเป็นหุ่น คือเป็นหุ่นที่ประกาศตนต่อสาธารณะโดยเปิดเผยก็มี ไม่ประกาศตนแต่กระทำโดยเปิดเผยก็มี แอบทำตัวเป็นหุ่นก็มี
คนจำพวกหุ่นนี้แท้จริงก็เป็นคนไร้ค่า ไร้ศีล ขาดธรรม หาราคามิได้ ทั้งชีวิตมีแต่ความเสื่อม บางคนเคยเป็นหัวหน้าพรรค พรรคก็เจ๊ง บางคนเป็นนักการเมืองก็สอบตก ดังนั้นคุณค่าจึงไม่ต่างอันใดกับฟาง
ฟางธรรมดาก็ยังดี แต่บางทีก็ยังเป็นฟางที่เปื้อนขี้วัว ขี้ควาย หรือขี้หมาเสียอีก เพราะอยู่ที่ไหนเหม็นที่นั่น สกปรกที่นั่น เลอะเทอะเปรอะเปื้อนที่นั่น
แล้วอยู่มาวันดีคืนดีก็มีเหตุการณ์ประหลาดบังเกิดขึ้น มีคนเสกหุ่นฟางให้กลายเป็นผู้มีอำนาจอยู่ในบ้านเมือง
นักการเมืองหุ่นเหล่านี้เมื่อมีอำนาจวาสนาขึ้นแล้วก็สนุกสนานเป็นการใหญ่ เห็นหน้าสื่อมวลชนหรือโทรทัศน์หนังสือพิมพ์ที่ไหนเป็นต้องปรี่เข้าหาเพื่อแสดงวาสนาบารมีแห่งตนให้เป็นเกียรติยศแห่งวงศ์ตระกูล และให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของพวกพ้อง ทั้งเป็นการสร้างภาพลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ไพบูลย์ให้ประจักษ์ด้วย
คนพวกนี้ทำงานไม่เป็น ไม่ได้ทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ทำงานเพื่อจะเอาใจคนเสกหุ่นอย่างเดียวเท่านั้น
แต่อำนาจวาสนานั้นไม่เข้าใครออกใคร อำนาจวาสนามีที่ไหน ผลประโยชน์และข้าทาสบริวารก็บังเกิดขึ้นที่นั่น เรียกว่าลาภ ยศ สุข สรรเสริญประดังพรั่งพรูมาที่นั่น
บรรดาหุ่นทั้งหลายจึงลืมธาตุแท้เดิมของตัวที่เคยเป็นฟาง เหลิงระเริงว่าเป็นมนุษย์จริงๆ จึงยินดีเสพสมสันถวะกับลาภ ยศ สุข สรรเสริญอย่างสนุกสนานและอิ่มหมีพีมัน
จนลืมคำมั่นสัญญาที่ว่าตัวเองนั้นเป็นแค่หุ่นฟาง ถูกเสกให้เป็นหุ่นเพื่อมาทำหน้าที่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วจะต้องกลับกลายไปเป็นฟางตามเดิม โดยจะกลายเป็นปุ๋ยหรือจะเป็นฟูกรองนอนหรือที่เช็ดเท้าหรือเป็นอาหารของวัวควายก็สุดแท้แต่สถานะที่จะเกิดขึ้นในเวลานั้นๆ
กลับหลงความเป็นมนุษย์ หลงในอำนาจวาสนาและลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ดังนั้นคำมั่นสัญญาที่ว่าจะรีบออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ซึ่งรวมถึงคนเสกหุ่นอยู่ด้วย จึงลืมหรือถูกเพิกเฉยไปทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเสียดื้อๆ
ทำเป็นลืมยังพอให้อภัย แต่ที่ไหนได้ยังกลับส่อท่าทีว่าอยากจะเป็นมนุษย์ที่มีอำนาจวาสนาไปอีก 4 ปี 8 ปี ซึ่งมีความหมายว่าคนเสกหุ่นและสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีทางการเมืองไป 4 ปี และ 8 ปีด้วยนั่นเอง
อย่างนี้ใครจะใจเย็นอยู่ได้ หรือใครจะพอใจอยู่ไหว แต่อย่างว่านั่นแหละอำนาจเป็นใหญ่ในโลก หุ่นฟางก็เถอะ เมื่อมีอำนาจวาสนาเข้าแล้วก็ไม่แยแสต่อคนเสกหุ่นเท่าใดนัก ยังคงเพิกเฉยเรื่อยเจื้อยเพราะไม่อยากกลับไปเป็นฟางอีกแล้ว
ดังนั้นในวันนี้จึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่าบรรดาสมาชิกบ้านเลขที่ 111 คงจะต้องแหงนถ่อรอนกตกลงมาใส่ปาก หรืออาหารจากฟากฟ้าหล่นมาเข้าปากเองไปจนครบ 4 ปี 8 ปีโน่นแล้ว
ลองนึกดูดีๆ เถิดว่าถ้าเกิดมีกฎหมายนิรโทษกรรมสมาชิกบ้านเลขที่ 111 แล้วอะไรจะเกิดขึ้น?
ประการแรก จะเป็นปัญหาใหญ่ในทางกฎหมาย เพราะการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 111 นั้นเป็นคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันทุกองค์กรรวมทั้งรัฐสภาด้วย
คณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพรรคไทยรักไทยเป็นอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่มีอุดมการณ์ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้จริงใจต่อประชาชน จึงยุบพรรคนั้นเสีย และวินิจฉัยให้กรรมการบริหารพรรครับผิดชอบด้วย จึงเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี
คำวินิจฉัยนั้นจึงผูกพันรัฐสภา แล้วรัฐสภาจะไปออกกฎหมายลบล้างคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญก็อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้จึงย่อมเป็นปัญหาใหญ่ทางกฎหมายเรื่องหนึ่ง
ประการที่สอง จะเป็นปัญหาในทางการเมือง เพราะรัฐบาลก็ดี รัฐสภาก็ดี มีหน้าที่ต้องปฏิบัติการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่เลือกปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง
การออกกฎหมายเพื่อคน 111 คนจึงเป็นการขัดต่อหลักกฎหมายทั่วไป และจะทำให้เกิดการคัดค้านต่อต้านอย่างกว้างขวาง และอาจกลายเป็นชนวนวิกฤตครั้งใหญ่ในทางการเมืองก็เป็นได้
รัฐบาลและรัฐสภาจะเสี่ยงก่อวิกฤตเพื่อคน 111 คนหรือไม่? นี่เป็นปัญหาใหญ่ทางการเมืองที่ต้องติดตามดูให้ดี
ประการที่สาม เป็นปัญหาเรื่องผลประโยชน์ระหว่างผู้เสกหุ่นกับฟาง เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีการนิรโทษกรรมสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ก็จะเกิดปัญหาผลประโยชน์ขัดแย้งกันดังต่อไปนี้คือ
ข้อหนึ่ง อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เจ้าของพรรคตัวจริงได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ข้อสอง บรรดารัฐมนตรีหุ่นฟางทั้งหลายซึ่งมีอยู่ราวเกือบ 20 คนจะต้องถูกกดดันให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อให้รัฐมนตรีตัวจริงเขาเข้ามาครองตำแหน่งรัฐมนตรีแทน
ข้อสาม อาจมีการปรับปรุงรัฐมนตรีในหลายกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญที่พรรคร่วมรัฐบาลครองอยู่ตามข้อตกลงเดิม เพื่อให้พรรคร่วมย้ายไปครองกระทรวงเล็กๆ หรือกระทรวงที่ไม่สำคัญ แล้วตัวจริงเขามาครองกระทรวงที่สำคัญแทน
ข้อสี่ พวก ส.ส. หุ่นฟางที่เป็นนอมินีตัวจริงซึ่งเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อาจถูกกดดันให้ลาออก หรือไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งต่อไป เพราะเจ้าของตัวจริงเขาจะลงเลือกตั้งแทน
ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทั้งสี่ประการนี้เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายกระทรวง รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องนิรโทษกรรมแก่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จึงไม่ใช่เรื่องหมูๆ ที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ แน่
ไม่เห็นหรือว่าในตอนหาเสียงเลือกตั้งนั้น พูดกันปาวๆ ว่าจะนิรโทษกรรมสมาชิกบ้านเลขที่ 111 แล้ววันนี้เป็นอย่างไร?
ที่พูดกันบ้างก็พูดว่าไม่ใช่เรื่องด่วน เอาไว้ทำในปีสุดท้ายของรัฐบาลก็ได้ แต่ที่พูดให้คนเสกหุ่นเจ็บใจก็คือการพูดที่ส่อให้เห็นว่าอยากจะอยู่ในตำแหน่งไป 4 ปี 8 ปี นั่นเอง
ยิ่งมีปัญหาใหญ่ถึง 3 เรื่องและติดด้วยปัญหาผลประโยชน์ถึง 4 ข้อเช่นนี้แล้ว ก็พอจะเห็นได้ว่าดีร้ายประการใดในอายุของรัฐบาลนี้อาจจะไม่มีการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ก็เป็นได้
ขืนกดดันให้มีการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมกันมากๆ ก็เท่ากับเป็นการตีน้ำไล่ปลาให้ไปรวมตัวกันเป็นพวกเป็นพ้องขึ้นมาเท่านั้น
เพราะหากมีการกดดันมากๆ บรรดาหุ่นที่มีอำนาจวาสนาทั้งหลายทั้ง 4 พวกก็จะผนึกกำลังกันขัดขวางร่างกฎหมายนั้น หรือดำเนินการจนร่างกฎหมายนั้นตกไปทางใดทางหนึ่งก็ได้ ทำให้สายธารการเมืองเปลี่ยนทิศทางไหลไปหานายสมัคร สุนทรเวช มากขึ้นทุกที
และเมื่อร่างกฎหมายตกไปแล้ว ทีนี้แหละพวกหุ่นที่มีอำนาจวาสนาทั้งหลายก็จะรวมตัวเกาะกลุ่มกันเป็นขั้วอำนาจใหม่
ดูไปแล้วการเมืองไทยช่างสับสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยความขัดแย้งเหลือประมาณนัก
ความขัดแย้ง ความสับสนวุ่นวายเช่นนี้ ไหนเลยจะทำให้ชีวิตเป็นสุขได้
วันก่อนคุณบรรหาร ศิลปอาชา เปรยออกมาว่าไม่แยแสถ้าหากพรรคชาติไทยจะถูกยุบเพราะอายุมากแล้ว เดี๋ยวก็จะต้องไปวัดแล้ว
มันจะเกี่ยวอะไรกันตรงไหน ความสำนึกในความแก่และความตายไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการถูกยุบพรรค เพราะถึงพรรคชาติไทยจะถูกยุบหรือไม่ถูกยุบก็ตาม วันนี้คุณบรรหาร ศิลปอาชา ก็แก่แล้ว
เป็นผู้ที่อยู่ในอุ้งหัตถ์ของเอกทูตแล้ว เพราะคนเรานั้นเมื่อเกิดมาแล้ว ความแก่หรือชราก็เข้าครอบงำเรื่อยไปจนกระทั่งตาย บางคนก็มีความเจ็บป่วยเข้าครอบงำและเป็นเหตุให้ตาย และในที่สุดทุกคนก็ต้องตาย
ความแก่จัดเป็นเอกทูต ความเจ็บจัดเป็นโททูต ความตายจัดเป็นตรีทูต ในวันนี้คุณบรรหาร ศิลปอาชา อยู่ในอุ้งมือของเอกทูต และใกล้ความตายเต็มทีแล้ว หากจะมีเวลาอยู่ในโลกนี้ก็คงไม่ถึง 10,000 วัน ไฉนจึงต้องไปรอเรื่องยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค
สิ่งที่คุณบรรหาร ศิลปอาชา จะต้องคิดให้หนักในวันนี้ก็คือจะให้คนไทยในวันข้างหน้าพูดถึงคุณบรรหาร ศิลปอาชา ว่าเป็นต้นตำรับตำรานักการเมืองชั้นเลวของชาติ หรือว่าเป็นต้นตำรับตำรานักการเมืองที่เป็นแบบอย่างของชาติ
คนเราทุกคนเกิดมาย่อมต้องตาย แต่คุณค่าของการตายไม่เท่ากัน บ้างหนักกว่าขุนเขา บ้างเบากว่าขนนก ตายเพื่อรับใช้เผด็จการทรราชเป็นชีวิตที่เกิดมาและตายไปอย่างไร้ค่า เบาดุจขนนก แต่ถ้าเกิดมาแล้วได้รับใช้ชาติบ้านเมืองและประชาชน สร้างแบบอย่างที่ดีงามให้คนข้างหลังได้สรรเสริญ และถือเป็นแบบอย่างก็เป็นการเกิดมาและตายไปอย่างคุ้มค่า หนักยิ่งกว่าขุนเขา
พรรคชาติไทยจะถูกยุบหรือไม่ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณบรรหาร ศิลปอาชา จะกำหนดและทำให้บทบาทของพรรคชาติไทยเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนหรือไม่ต่างหาก.
ประชาชน 63 ล้านคนถึงจะมีคนโง่อยู่บ้างแต่ก็ย่อมมีคนฉลาดอยู่ด้วย และคนฉลาดนั้นก็อาจฉลาดกว่าคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือนักการเมืองก็ได้
ดังนั้นการเที่ยวตำหนิคนที่ไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำให้กินไก่แทนหมูว่ามีหัวสมองโตเท่าหัวแม่เท้าก็อาจจะถูกโต้กลับสักวันหนึ่งว่า คนพูดนั่นแหละหัวสมองโตเท่าหัวแม่เท้า เพราะถ้าถือเอาแต่ราคาอย่างเดียวการแนะนำให้กินไก่ก็ยังแพงอยู่มาก ทำไมไม่แนะนำให้กินข้าวเปล่า หรือกินข้าวกับเกลือ หรือกินข้าวกับรำไปเสียเลย
แต่ช่างเถอะ เมื่อถือเอาการทะเลาะเบาะแว้งและสร้างความขัดแย้งในบ้านเมืองเป็นเรื่องสนุกสนานกว่าการพัฒนาบ้านเมืองหรือแก้ไขปัญหาวิกฤตของชาติก็คงจะได้ผลดังปรารถนาแน่
เพราะทำกรรมอันใดไว้ก็ต้องได้รับวิบากกรรมนั้นโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อก่อกรรมในเรื่องสร้างเหตุแห่งความวิวาทบาดหมางด้วยมุสาวาจาเป็นนิตย์อย่างนี้ ก็คงได้ผลแห่งวิบากกรรมนี้โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ในวันนี้มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้บางคนมีอารมณ์ร้อนเดือดแค้น ในขณะที่บางคนกลับมีอารมณ์เย็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว เตะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ กระทั่งเปิดเผยท่าทีออกมาว่าอยากจะเป็นรัฐบาลไป 4 ปีหรือ 8 ปีโน่น
เสียง “ไอ้หุ่นทรยศ” จึงดังก้องกระหึ่มไปเข้าหูใครต่อใคร เพราะคนจำนวนหนึ่งก็รู้ดีว่าในรัฐบาลไทยในวันนี้มีพวกหนึ่งเป็นหุ่น คือเป็นหุ่นที่ประกาศตนต่อสาธารณะโดยเปิดเผยก็มี ไม่ประกาศตนแต่กระทำโดยเปิดเผยก็มี แอบทำตัวเป็นหุ่นก็มี
คนจำพวกหุ่นนี้แท้จริงก็เป็นคนไร้ค่า ไร้ศีล ขาดธรรม หาราคามิได้ ทั้งชีวิตมีแต่ความเสื่อม บางคนเคยเป็นหัวหน้าพรรค พรรคก็เจ๊ง บางคนเป็นนักการเมืองก็สอบตก ดังนั้นคุณค่าจึงไม่ต่างอันใดกับฟาง
ฟางธรรมดาก็ยังดี แต่บางทีก็ยังเป็นฟางที่เปื้อนขี้วัว ขี้ควาย หรือขี้หมาเสียอีก เพราะอยู่ที่ไหนเหม็นที่นั่น สกปรกที่นั่น เลอะเทอะเปรอะเปื้อนที่นั่น
แล้วอยู่มาวันดีคืนดีก็มีเหตุการณ์ประหลาดบังเกิดขึ้น มีคนเสกหุ่นฟางให้กลายเป็นผู้มีอำนาจอยู่ในบ้านเมือง
นักการเมืองหุ่นเหล่านี้เมื่อมีอำนาจวาสนาขึ้นแล้วก็สนุกสนานเป็นการใหญ่ เห็นหน้าสื่อมวลชนหรือโทรทัศน์หนังสือพิมพ์ที่ไหนเป็นต้องปรี่เข้าหาเพื่อแสดงวาสนาบารมีแห่งตนให้เป็นเกียรติยศแห่งวงศ์ตระกูล และให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของพวกพ้อง ทั้งเป็นการสร้างภาพลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ไพบูลย์ให้ประจักษ์ด้วย
คนพวกนี้ทำงานไม่เป็น ไม่ได้ทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ทำงานเพื่อจะเอาใจคนเสกหุ่นอย่างเดียวเท่านั้น
แต่อำนาจวาสนานั้นไม่เข้าใครออกใคร อำนาจวาสนามีที่ไหน ผลประโยชน์และข้าทาสบริวารก็บังเกิดขึ้นที่นั่น เรียกว่าลาภ ยศ สุข สรรเสริญประดังพรั่งพรูมาที่นั่น
บรรดาหุ่นทั้งหลายจึงลืมธาตุแท้เดิมของตัวที่เคยเป็นฟาง เหลิงระเริงว่าเป็นมนุษย์จริงๆ จึงยินดีเสพสมสันถวะกับลาภ ยศ สุข สรรเสริญอย่างสนุกสนานและอิ่มหมีพีมัน
จนลืมคำมั่นสัญญาที่ว่าตัวเองนั้นเป็นแค่หุ่นฟาง ถูกเสกให้เป็นหุ่นเพื่อมาทำหน้าที่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วจะต้องกลับกลายไปเป็นฟางตามเดิม โดยจะกลายเป็นปุ๋ยหรือจะเป็นฟูกรองนอนหรือที่เช็ดเท้าหรือเป็นอาหารของวัวควายก็สุดแท้แต่สถานะที่จะเกิดขึ้นในเวลานั้นๆ
กลับหลงความเป็นมนุษย์ หลงในอำนาจวาสนาและลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ดังนั้นคำมั่นสัญญาที่ว่าจะรีบออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ซึ่งรวมถึงคนเสกหุ่นอยู่ด้วย จึงลืมหรือถูกเพิกเฉยไปทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเสียดื้อๆ
ทำเป็นลืมยังพอให้อภัย แต่ที่ไหนได้ยังกลับส่อท่าทีว่าอยากจะเป็นมนุษย์ที่มีอำนาจวาสนาไปอีก 4 ปี 8 ปี ซึ่งมีความหมายว่าคนเสกหุ่นและสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีทางการเมืองไป 4 ปี และ 8 ปีด้วยนั่นเอง
อย่างนี้ใครจะใจเย็นอยู่ได้ หรือใครจะพอใจอยู่ไหว แต่อย่างว่านั่นแหละอำนาจเป็นใหญ่ในโลก หุ่นฟางก็เถอะ เมื่อมีอำนาจวาสนาเข้าแล้วก็ไม่แยแสต่อคนเสกหุ่นเท่าใดนัก ยังคงเพิกเฉยเรื่อยเจื้อยเพราะไม่อยากกลับไปเป็นฟางอีกแล้ว
ดังนั้นในวันนี้จึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่าบรรดาสมาชิกบ้านเลขที่ 111 คงจะต้องแหงนถ่อรอนกตกลงมาใส่ปาก หรืออาหารจากฟากฟ้าหล่นมาเข้าปากเองไปจนครบ 4 ปี 8 ปีโน่นแล้ว
ลองนึกดูดีๆ เถิดว่าถ้าเกิดมีกฎหมายนิรโทษกรรมสมาชิกบ้านเลขที่ 111 แล้วอะไรจะเกิดขึ้น?
ประการแรก จะเป็นปัญหาใหญ่ในทางกฎหมาย เพราะการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 111 นั้นเป็นคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันทุกองค์กรรวมทั้งรัฐสภาด้วย
คณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพรรคไทยรักไทยเป็นอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่มีอุดมการณ์ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้จริงใจต่อประชาชน จึงยุบพรรคนั้นเสีย และวินิจฉัยให้กรรมการบริหารพรรครับผิดชอบด้วย จึงเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี
คำวินิจฉัยนั้นจึงผูกพันรัฐสภา แล้วรัฐสภาจะไปออกกฎหมายลบล้างคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญก็อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้จึงย่อมเป็นปัญหาใหญ่ทางกฎหมายเรื่องหนึ่ง
ประการที่สอง จะเป็นปัญหาในทางการเมือง เพราะรัฐบาลก็ดี รัฐสภาก็ดี มีหน้าที่ต้องปฏิบัติการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่เลือกปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง
การออกกฎหมายเพื่อคน 111 คนจึงเป็นการขัดต่อหลักกฎหมายทั่วไป และจะทำให้เกิดการคัดค้านต่อต้านอย่างกว้างขวาง และอาจกลายเป็นชนวนวิกฤตครั้งใหญ่ในทางการเมืองก็เป็นได้
รัฐบาลและรัฐสภาจะเสี่ยงก่อวิกฤตเพื่อคน 111 คนหรือไม่? นี่เป็นปัญหาใหญ่ทางการเมืองที่ต้องติดตามดูให้ดี
ประการที่สาม เป็นปัญหาเรื่องผลประโยชน์ระหว่างผู้เสกหุ่นกับฟาง เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีการนิรโทษกรรมสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ก็จะเกิดปัญหาผลประโยชน์ขัดแย้งกันดังต่อไปนี้คือ
ข้อหนึ่ง อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เจ้าของพรรคตัวจริงได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ข้อสอง บรรดารัฐมนตรีหุ่นฟางทั้งหลายซึ่งมีอยู่ราวเกือบ 20 คนจะต้องถูกกดดันให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อให้รัฐมนตรีตัวจริงเขาเข้ามาครองตำแหน่งรัฐมนตรีแทน
ข้อสาม อาจมีการปรับปรุงรัฐมนตรีในหลายกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญที่พรรคร่วมรัฐบาลครองอยู่ตามข้อตกลงเดิม เพื่อให้พรรคร่วมย้ายไปครองกระทรวงเล็กๆ หรือกระทรวงที่ไม่สำคัญ แล้วตัวจริงเขามาครองกระทรวงที่สำคัญแทน
ข้อสี่ พวก ส.ส. หุ่นฟางที่เป็นนอมินีตัวจริงซึ่งเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อาจถูกกดดันให้ลาออก หรือไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งต่อไป เพราะเจ้าของตัวจริงเขาจะลงเลือกตั้งแทน
ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทั้งสี่ประการนี้เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายกระทรวง รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องนิรโทษกรรมแก่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จึงไม่ใช่เรื่องหมูๆ ที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ แน่
ไม่เห็นหรือว่าในตอนหาเสียงเลือกตั้งนั้น พูดกันปาวๆ ว่าจะนิรโทษกรรมสมาชิกบ้านเลขที่ 111 แล้ววันนี้เป็นอย่างไร?
ที่พูดกันบ้างก็พูดว่าไม่ใช่เรื่องด่วน เอาไว้ทำในปีสุดท้ายของรัฐบาลก็ได้ แต่ที่พูดให้คนเสกหุ่นเจ็บใจก็คือการพูดที่ส่อให้เห็นว่าอยากจะอยู่ในตำแหน่งไป 4 ปี 8 ปี นั่นเอง
ยิ่งมีปัญหาใหญ่ถึง 3 เรื่องและติดด้วยปัญหาผลประโยชน์ถึง 4 ข้อเช่นนี้แล้ว ก็พอจะเห็นได้ว่าดีร้ายประการใดในอายุของรัฐบาลนี้อาจจะไม่มีการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ก็เป็นได้
ขืนกดดันให้มีการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมกันมากๆ ก็เท่ากับเป็นการตีน้ำไล่ปลาให้ไปรวมตัวกันเป็นพวกเป็นพ้องขึ้นมาเท่านั้น
เพราะหากมีการกดดันมากๆ บรรดาหุ่นที่มีอำนาจวาสนาทั้งหลายทั้ง 4 พวกก็จะผนึกกำลังกันขัดขวางร่างกฎหมายนั้น หรือดำเนินการจนร่างกฎหมายนั้นตกไปทางใดทางหนึ่งก็ได้ ทำให้สายธารการเมืองเปลี่ยนทิศทางไหลไปหานายสมัคร สุนทรเวช มากขึ้นทุกที
และเมื่อร่างกฎหมายตกไปแล้ว ทีนี้แหละพวกหุ่นที่มีอำนาจวาสนาทั้งหลายก็จะรวมตัวเกาะกลุ่มกันเป็นขั้วอำนาจใหม่
ดูไปแล้วการเมืองไทยช่างสับสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยความขัดแย้งเหลือประมาณนัก
ความขัดแย้ง ความสับสนวุ่นวายเช่นนี้ ไหนเลยจะทำให้ชีวิตเป็นสุขได้
วันก่อนคุณบรรหาร ศิลปอาชา เปรยออกมาว่าไม่แยแสถ้าหากพรรคชาติไทยจะถูกยุบเพราะอายุมากแล้ว เดี๋ยวก็จะต้องไปวัดแล้ว
มันจะเกี่ยวอะไรกันตรงไหน ความสำนึกในความแก่และความตายไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการถูกยุบพรรค เพราะถึงพรรคชาติไทยจะถูกยุบหรือไม่ถูกยุบก็ตาม วันนี้คุณบรรหาร ศิลปอาชา ก็แก่แล้ว
เป็นผู้ที่อยู่ในอุ้งหัตถ์ของเอกทูตแล้ว เพราะคนเรานั้นเมื่อเกิดมาแล้ว ความแก่หรือชราก็เข้าครอบงำเรื่อยไปจนกระทั่งตาย บางคนก็มีความเจ็บป่วยเข้าครอบงำและเป็นเหตุให้ตาย และในที่สุดทุกคนก็ต้องตาย
ความแก่จัดเป็นเอกทูต ความเจ็บจัดเป็นโททูต ความตายจัดเป็นตรีทูต ในวันนี้คุณบรรหาร ศิลปอาชา อยู่ในอุ้งมือของเอกทูต และใกล้ความตายเต็มทีแล้ว หากจะมีเวลาอยู่ในโลกนี้ก็คงไม่ถึง 10,000 วัน ไฉนจึงต้องไปรอเรื่องยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค
สิ่งที่คุณบรรหาร ศิลปอาชา จะต้องคิดให้หนักในวันนี้ก็คือจะให้คนไทยในวันข้างหน้าพูดถึงคุณบรรหาร ศิลปอาชา ว่าเป็นต้นตำรับตำรานักการเมืองชั้นเลวของชาติ หรือว่าเป็นต้นตำรับตำรานักการเมืองที่เป็นแบบอย่างของชาติ
คนเราทุกคนเกิดมาย่อมต้องตาย แต่คุณค่าของการตายไม่เท่ากัน บ้างหนักกว่าขุนเขา บ้างเบากว่าขนนก ตายเพื่อรับใช้เผด็จการทรราชเป็นชีวิตที่เกิดมาและตายไปอย่างไร้ค่า เบาดุจขนนก แต่ถ้าเกิดมาแล้วได้รับใช้ชาติบ้านเมืองและประชาชน สร้างแบบอย่างที่ดีงามให้คนข้างหลังได้สรรเสริญ และถือเป็นแบบอย่างก็เป็นการเกิดมาและตายไปอย่างคุ้มค่า หนักยิ่งกว่าขุนเขา
พรรคชาติไทยจะถูกยุบหรือไม่ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณบรรหาร ศิลปอาชา จะกำหนดและทำให้บทบาทของพรรคชาติไทยเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนหรือไม่ต่างหาก.