xs
xsm
sm
md
lg

ยุทธศาสตร์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้: ความละเอียดอ่อนที่พรรคไทยรักไทยล้มเหลว (จบ)

เผยแพร่:   โดย: ว.ร.ฤทธาคนี

ในห้วงที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2501 นั้น มีการกดดันและปราบปรามกลุ่มที่เป็นศัตรูต่อรัฐ 3 กลุ่มคือ กลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์ หรือแนวร่วมหรือกลุ่มเสรีนิยมที่โจมตีเผด็จการทหาร กลุ่มที่ 2 ได้แก่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลหรือกลุ่มอำนาจเก่าที่คิดล้มล้างระบอบจอมพลสฤษดิ์ เช่น กบฏ 1 ธันวาคม 2501 กรณี พล.อ.อ.นักรบ บิณษรี และพวกถูกจับแต่ศาลให้ยกฟ้อง และกลุ่มสุดท้ายได้แก่ขบวนการแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่รัฐบาลปราบปรามด้วยกำลังทหารตำรวจอย่างเข้มข้น รุนแรงไม่ต่างกับการปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์ หรือกลุ่มที่ถูกข้อหาบ่อนทำลายชาติทั้งหลาย รวมถึงผู้ต้องหาวางเพลิงและค้าฝิ่น

มีการใช้กำลังปราบปรามอย่างเด็ดขาด ในเชิงการเมืองรัฐบาลสมัยจอมพลสฤษดิ์ และรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ใช้มาตรการผสมผสานคนต่างถิ่นโดยนำเอาคนภาคอีสานย้ายเข้าไปภาคใต้เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องวัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ขาดความเข้าใจซึ่งกันและไม่มีแผนที่ทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจการอยู่ร่วมกัน ตลอดจนเกิดความอยุติธรรม เพราะชาวไทยนับถือมุสลิมได้รับการดูแลเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง เพราะรัฐบาลเผด็จการทหารส่งข้าราชการชั้นเลวจากส่วนกลางไปปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นการลงโทษแต่กลับมีโอกาสใช้คนอีสานให้ทำงานหยาบๆได้ง่ายกว่า จึงเอาใจคนอีสานเท่ากับเพิ่มความน้อยเนื้อต่ำใจมากขึ้น แต่พลังของกระบวนการแยกดินแดนในช่วงนั้นไม่แข็งแกร่ง จนในห้วงที่โลกมุสลิมเปลี่ยนแนวการเมือง และใช้ขุมกำลังน้ำมันเป็นอำนาจต่อรองใน ค.ศ. 1973 เมื่อกลุ่มประเทศอาหรับที่ส่งออกน้ำมันประกาศไม่ส่งน้ำมันไปยังประเทศที่สนับสนุนอิสราเอล กรณีสงครามยัมคิปปูร์

และตั้งแต่นั้นมากลุ่มชาติอิสลามเริ่มให้การสนับสนุนมุสลิมชนกลุ่มน้อยและไม่ได้รับความเป็นธรรม รวมทั้งกลุ่มแยกดินแดนของไทยด้วยที่ได้รับเงินจากลิเบีย แต่คุณหญิงแสงดาว สยามวาลา เดินทางไปชี้แจงกับ พ.อ.กัดดาฟี ผู้นำลิเบียให้เข้าใจถึงหลักการปกครอง และพระเมตตาต่อคนไทยนับถือมุสลิมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยังทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ทุกศาสนาทำให้ พ.อ.กัดดาฟี ยุติการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายแยกดินแดน และปัจจุบันลิเบียเปลี่ยนมาสนับสนุนมูลนิธิอิสลามเพื่อพัฒนาสังคม และเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย และมูลนิธิช่วยเหลือเด็กกำพร้าของสตรีไทยมุสลิมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นับว่าเป็นการแสดงความรักชาติ และมีความต้องการให้โลกและประเทศไทยมีความสงบสุขของคุณหญิงแสงดาว สยามวาลาอย่างแท้จริงอันเรื่องที่ต้องสรรเสริญ

อย่างไรก็ดี ก็ยังมีภาคเอกชนมุสลิมต่างชาติที่ให้การสนับสนุนกระบวนการแยกดินแดนมาตลอด จนถึงห้วงสิ้นสงครามเย็นสถานการณ์โลกมีการเปลี่ยนแปลงเพราะขั้วสหภาพโซเวียตถูกทำลายแต่โลกอาหรับเฟื่องฟู เนื่องจากมูจาฮีดีนอัฟกานิสถานมีชัยชนะต่อกองทัพสหภาพโซเวียต ขบวนการมุสลิมโลกจึงมุ่งเน้นไปสู่กรณีปาเลสไตน์ซึ่งในห้วงปี 1970 มีการก่อการร้ายขั้นรุนแรง เช่น จี้เครื่องบิน สังหารหมู่ และระเบิดเครื่องบินหลายครั้ง รวมถึงแผนการบุกยึดสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2515 ซึ่งพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ รมช.ต่างประเทศร่วมกับพล.อ.อ.ทวี จุลทรัพย์ เสนาธิการทหารแก้ไขสถานการณ์จนจบลงอย่างสงบ แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้คือ การก่อการร้ายสากลต่อต้านอิสราเอลและตะวันตกในขณะนั้น ไม่มีความสัมพันธ์กับขบวนการแยกดินแดนใน 3 จังหวัดภาคใต้เลย แต่ความรุนแรงในลักษณะกองโจรก่อการร้ายก็ยังปรากฏขึ้นในพื้นที่บริเวณจังหวัดปัตตานี และนราธิวาสเป็นส่วนใหญ่

ในห้วงระยะเวลาระหว่าง พ.ศ. 2518-2526 ซึ่ง พล.ท.หาญ ลีนานนท์ แม่ทัพภาค 4 ในขณะนั้น ประกาศนโยบายใต้ร่มเย็นเมื่อเข้ารับตำแหน่ง และมีเข้าใจลึกซึ้งถึงปัญหาภาคใต้ ทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และขั้นตอนต่างๆ ทั้งทางการเมือง และการทหารที่กลุ่มแยกดินแดนต้องการคือยึด 3 จังหวัดภาคใต้ให้ได้ ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เอื้อให้ยุทธศาสตร์ทางการเมืองบรรลุผลเร็วขึ้น ตามระบอบประชาธิปไตย เพราะคนไทยนับถือมุสลิมในเขต 4 จังหวัดนี้มีมากกว่าร้อยละ 80 ดังนั้นการเข้าบริหาร อบต.จึงเป็นเรื่องง่ายที่แกนนำผู้แยกดินแดนต้องการและประกาศยุทธศาสตร์ที่ซ่อนเร้นในเรื่องการแบ่งแยกขนบประเพณี วัฒนธรรมที่เชื่อมกันระหว่างคนไทยสองศาสนามีมาแต่โบราณขาดสะบั้นลง

เมื่อเยาวชนไทยนับถือมุสลิมถูกห้ามมิให้เสวนา หรือร่วมกิจกรรมกับคนไทยพุทธมาเกือบ 20 ปีแล้วและ ตามการวิเคราะห์ของพล.อ.หาญ ลีนานนท์ ในบทความดับไฟใต้ภาค 2 และในฐานะ ส.ว.จังหวัดสตูล ได้ชี้แจงให้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เห็นถึงแนวทางการสร้างความเกลียดชัง การปิดกั้นเยาวชนไทยพุทธ-ไทยมุสลิมด้วยอ้างถึงบาป หากพูดไทยหรืออ่านหนังสือไทย

แต่หลักการใต้ร่มเย็นที่พล.อ.หาญ กำหนดไว้มีการสานต่อจะทำให้สถานการณ์เบาบางลงได้ ซึ่งในขณะนั้นมีการใช้หลักการเมือง สังคม และวัฒนธรรมตามหลักการอยู่ร่วมกันนำหน้าวิธีการปราบปรามด้วยอารมณ์ทำให้ใต้ร่มเย็นสัมฤทธิผล ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ได้ประกาศหลักการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือ ศอ.บต.ซึ่งเป็นการพัฒนานำหน้าการปราบปรามด้วยกำลังอาวุธตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2504

และต่อมาในวันที่ 23 เมษายน 2539 กำหนดบทบาทให้ ศอ.บต.ทำหน้าที่คล้ายกับรัฐบาลส่วนหน้า ทำหน้าที่หลักแทนรัฐบาลกลางเพื่อความเข้าถึงปัญหา และแก้ได้ทันท่วงทีแบบบูรณาการ จัดคนมีความรู้ความสามารถไปทำงานในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และโยกย้ายข้าราชการที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และอุปนิสัยเลวทรามออกจากพื้นที่ให้หมด ทำให้ ศอ.บต.ได้บุคคล เช่น ท่านพลากร สุวรรณรัฐองคมนตรี ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย แต่ไปเป็นผู้อำนวยการ ศอ.บต.อีกตำแหน่งหนึ่ง จึงมีอำนาจในการประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็มีความเด็ดขาดในการปกครอง และมีวินิจฉัยที่ดีเยี่ยมในการตัดสินใจแก้ไขเหตุการณ์รุนแรงกรณีที่พล.อ.กิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาค 4 ได้ยืนยันว่าก่อนปี 2538 ศอ.บต.ประสบความสำเร็จ จนทำให้ความเข้มข้นลดลง จึงมีการปรับเปลี่ยนนโยบายซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล เพราะทำให้โครงสร้างและแนวทางการแก้ไขเปลี่ยนหรือทำให้ความเข้มข้นในการกดดันกลุ่มหัวรุนแรงลดลงด้วยไปด้วย แต่ ศอ.บต.ก็ยังทำหน้าที่สมบูรณ์ และสามารถลดการขยายกำลังพลของฝ่ายแยกดินแดนได้ในระดับหนึ่ง เมื่อแรงกดดันของฝ่ายทหารโดยเฉพาะกรมนาวิกโยธิน ซึ่งกำลังหลักหน่วยหนึ่งของ พตท. 43 กดดันและกวาดล้างกองโจรแยกดินแดนในป่า ที่สำคัญได้แก่ ความต่อเนื่องและความสัมพันธ์ของข้อมูลข่าวสารข่าวกรองทางยุทธวิธีมีความสมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพทำให้สามารถกดดันให้แกนนำหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มพูโลใหม่ต้องแตกหนีไปอยู่ในมาเลเซียแล้วไปประกอบอาชีพสุจริตอื่น

จนในวันที่ 30 เมษายน 2545 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ปรับยุทธศาสตร์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรียุบ ศอ.บต. และ พตท. 43 ตามคำเสนอแนะของ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2545 ซึ่งมีวลี”โจรกระจอก”ที่ก่อให้เกิดความสับสน และความล้มเหลวสู่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และที่เลวร้ายคือการโอนความรับผิดชอบด้านการปราบปรามไปขึ้นอยู่กับตำรวจแทน ซึ่งตำรวจส่วนใหญ่เป็นตำรวจเมือง และทำงานร่วมกับ ตชด.ไม่ได้ เพราะ ตชด.ปฏิบัติการเยี่ยงทหาร นอกจากนั้นแล้วตำรวจภูธรดำเนินกลยุทธ์แบบจับโจรเพื่อล่าค่าหัว เนื่องจากโจรก่อการร้ายหลายคนมีค่าหัวดังเดิมมาแล้ว จึงเกิดการวิสามัญฆาตกรรมเพื่อเงินรางวัลทำให้ขบวนการข่าวกรองสูญหายไปพร้อมกับชีวิตของโจรก่อการร้ายแทนที่จะใช้ผู้ต้องหาขยายผลการข่าวกรองยุทธวิธี

พล.อ.กิตติ รัตนฉายา วิเคราะห์ชัดเจนว่า นโยบายที่ให้ตำรวจเป็นผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคงแทนทหาร เป็นข้อผิดพลาดและการยกเลิก ศอ.บต.และ พตท. 43 ทำให้ระบบการข่าวกรองถูกทำลายโดยตรงและโดยอ้อม เนื่องจากระบบข่าวกรองทางยุทธวิธีซึ่งถูกวางโดย พตท. 4 และ ศอ.บต.ตั้งแต่ 2524 ยาวนานถึง 20 ปี ล่มสลายทั้งโครงสร้างการข่าว เจ้าหน้าที่ข่าว แหล่งข่าว แหล่งข่าวลับ ที่รวมเป็นระบบข่าวกรองและความผิดพลาดนี้ทำให้ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของแต่ละจังหวัด CEO ทั้ง 3 จังหวัด ไม่สามารถเชื่อมโยงการข่าวกันได้เพราะขาดความชำนาญ ไม่มีฐานข้อมูลเดิม หรือไม่สามารถสานต่อข่าวเดิมเพื่อขยายผลได้จึงเกิดเหตุการณ์รุนแรงทุกวันโดยฝ่ายรัฐไม่รู้ที่มาที่ไปของฝ่ายก่อการร้าย ทุกระดับความเข้มข้น ทำให้องค์กรแยกดินแดนแตกตัว และขยายสู่โรงเรียนปอเนาะที่เป็นฐานล้างสมองอยู่แต่เดิมแล้วในการจัดขบวนการแยกดินแดนขึ้นใหม่ เช่น กลุ่ม RKK ในปัจจุบันที่จะแยกดินแดน

จะเป็นเพราะว่าพ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าเก่งกว่าพลเอก หาญและพลเอกกิตติหรืออย่างไรก็ตามความพินาศล้มเหลวในการบริหารความรุนแรงเกิดขึ้นแล้วในสมัยของพรรคไทยรักไทยซึ่งปฏิเสธไม่ได้

ใน ปีพ.ศ. 2549 กองทัพบกได้จัดตั้งกองกำลังศรีสุนทรขึ้น เพื่อใช้หลักการเดิมซึ่งสร้างความสำเร็จในการยุติการแพร่ขยายความคิดแยกดินแดน แต่ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติด้วยความเข้าใจ การเข้าถึง และการพัฒนาที่เป็นระบบแบบยั้งยืน กองกำลังศรีสุนทรนำโดย พล.ต.สำเร็จ ศรีหร่าย ที่กำลังผลักดันโมเมนตัมของสันติให้คืนสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยหลักการคลาสสิก คือการเมืองและ สันติวิธีนำหน้าการปราบปรามด้วยอารมณ์ และความเขลาเพื่อให้ประชาชนคนไทยนับถืออิสลามและคนไทยพุทธทุกคนมีความปลอดภัย และอยู่อย่างเป็นสุขสันติ ปลอดภัยจากกลุ่มก่อการร้ายซึ่งมีจำนวนน้อย แต่ก็พร้อมจะกลับมาสู่การสร้างสันติ สุขและอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่มีอะไรขว้างกัน และขจัดความเข้าใจผิดในเรื่องต่างๆ เสียให้สิ้น

แต่ที่สำคัญคือ รัฐบาลนี้ที่เพิ่งเข้ามาบริหารงาน ก็เริ่มที่แสดงอำนาจรัฐและคิดว่าหนทางของตนดีเลิศประเสริฐศรีจะทำอะไรก็ทำเถอะครับก็ทำไปเถอะครับ ยกเว้นภาคใต้อย่าเพิ่งยุ่งสักระยะหนึ่งเปิดโอกาสให้กองทัพบก และกองกำลังศรีสุนทรได้ใช้ยุทธศาสตร์เข้าใจเข้าถึง พัฒนาได้สำเร็จ หรืออย่างไรประชาชนใน 3 จังหวัดภาคใต้จะรู้เองครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น