ซีพี ออลล์ เล็งลงทุนเปิดสาขา 7 –Eleven 10-20 สาขา ในเวียดนาม หลังขายสินทรัพย์ทั้งหมดที่ลงทุนในโลตัส เซี่ยงไฮ้ เล็งโรดโชว์ฮ่องกง มี.ค.นี้ ผู้บริหาร เผยปีนี้เน้นขายสินค้าอาหารมากขึ้น คาดรายได้โต 13-15% จากปีก่อน 8.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิดีขึ้นจากรับรู้ขาดทุน โลตัส เซียงไฮ้ 5 เดือนแรกเท่านั้น พร้อมทุ่มงบลงทุน 4.1-4.3 พันล้านบาท
นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือ CPALL เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาจะเปิดร้าน7 –Eleven ในประเทศเวียดนาม 10-20 แห่ง ซึ่งทางคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ในเบื้องต้นเห็นชอบแล้ว แต่ต้องพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง เนื่องจาก ประเทศเวียดนามมีประชากรจำนวนมากและเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตสูง โดยบริษัทจะต้องมีการขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจในประเทศเวียดนามก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ จะไม่รับรู้ผลขาดทุนจากการเข้าไปลงทุนในบริษัท Shanghai Lotus Supermarket Chain Store Company Limited หรือ โลตัส เซี่ยงไฮ้ ที่ประเทศจีน จากที่บริษัทได้ขายสินทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลขาดทุนจากการลงทุนในโลตัส เซี่ยงไฮ้ ปีละ 1,000 ล้านบาท จึงทำให้งบรวมของบริษัทมีกำไรสุทธิดีขึ้น แม้จะรับรู้ผลขาดทุนเพียง 5 เดือนแรกของปีนี้
สำหรับแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกปีนี้คาดว่าจะเติบโต 5% จากปี 2550 ที่มีมูลค่า 2.4 ล้านล้านบาท เนื่องจาก เชื่อว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ถึงหรือมากกว่า 5% และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนีผู้บริโภคในเดือนมกราคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 78% จากเดือนธันวาคม ที่70% เพราะการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำให้เป็นที่ยอมรับจากนักลงทุนต่างประเทศ
นายปิยะวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทจะเน้นจำหน่ายอาหารมากขึ้น โดยเพิ่มการขายอาหารแช่เย็นอีก 40 สาขา จากในปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการทดลองตลาดซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก และเพิ่มการขายสินค้าเบเกอรี่อีก 20-30 สาขา จากเดิมที่มีการทดลองขาย 10 สาขา โดยทยอยเปิดให้ครบทั้ง 4,000 สาขา ซึ่งคาดว่าสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปีนี้จะมาจากสินค้าอาหาร 70% และคาดว่ารายได้ของบริษัทซึ่งไม่รวมบริษัทย่อยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 13-15% จากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 81,807 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการเปิดสาขาเพิ่ม 400-450 สาขา คิดเป็นรายได้โต 8% และรายได้จากสาขาเดิมที่มีอัตรา5%
สำหรับปีนี้ บริษัทจะลงทุนรวม 4,100 –4,300 ล้านบาท โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งสิ้นปี 2550 บริษัทมีกำไรสะสม 4,700 ล้านบาท โดยจะลงทุนในการเปิดสาขาใหม่ 400-450 สาขา ลงทุนซอฟแวร์ ขยายร้านหนังสือบุ๊คสมายปรับปรุงคลังสินค้า และ สร้างคลังสินค้าใหม่ ใช้เงินลงทุนแห่งละ 250 ล้านบาท ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และขอนแก่น
ทั้งนี้ จากการที่ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น 7 –Eleven จะปรับสินค้าตามที่รัฐบาลกำหนดและจะปรับเพิ่มขึ้นเป็นรายสุดท้าย เพราะบริษัทมีการเจรจากับผู้ขายสินค้าให้กับบริษัท เพื่อที่จะทำให้มีประชาชนเข้ามาซื้อสินค้ากับบริษัท โดยในปี2552 บริษัทตั้งเป้าจะมีสาขาเพิ่มเป็น 5,000 สาขา และอีก 6 ปีข้างหน้าจะมีสาขาเพิ่มเป็น 7,000 สาขา
อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน)หรือ PTT เข้าไปซื้อสถานีบริการน้ำมัน (JET)นั้น บริษัทก็จะเข้าไปเปิดสาขาแทนร้านJFFYที่อยู่ในปั้ม JET
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ CPALLกล่าวว่า เดือนมีนาคมนี้ บริษัทจะเดินทางไปนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนที่ฮ่องกง ซึ่งจะไปกับ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เครดิต สวิส เฟิร์สท์ บอสตัน ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลของบริษัท โดยนักลงทุน 50%ที่เราไปให้ข้อมูลนั้นเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทอยู่แล้ว
นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือ CPALL เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาจะเปิดร้าน7 –Eleven ในประเทศเวียดนาม 10-20 แห่ง ซึ่งทางคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ในเบื้องต้นเห็นชอบแล้ว แต่ต้องพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง เนื่องจาก ประเทศเวียดนามมีประชากรจำนวนมากและเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตสูง โดยบริษัทจะต้องมีการขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจในประเทศเวียดนามก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ จะไม่รับรู้ผลขาดทุนจากการเข้าไปลงทุนในบริษัท Shanghai Lotus Supermarket Chain Store Company Limited หรือ โลตัส เซี่ยงไฮ้ ที่ประเทศจีน จากที่บริษัทได้ขายสินทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลขาดทุนจากการลงทุนในโลตัส เซี่ยงไฮ้ ปีละ 1,000 ล้านบาท จึงทำให้งบรวมของบริษัทมีกำไรสุทธิดีขึ้น แม้จะรับรู้ผลขาดทุนเพียง 5 เดือนแรกของปีนี้
สำหรับแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกปีนี้คาดว่าจะเติบโต 5% จากปี 2550 ที่มีมูลค่า 2.4 ล้านล้านบาท เนื่องจาก เชื่อว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ถึงหรือมากกว่า 5% และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนีผู้บริโภคในเดือนมกราคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 78% จากเดือนธันวาคม ที่70% เพราะการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำให้เป็นที่ยอมรับจากนักลงทุนต่างประเทศ
นายปิยะวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทจะเน้นจำหน่ายอาหารมากขึ้น โดยเพิ่มการขายอาหารแช่เย็นอีก 40 สาขา จากในปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการทดลองตลาดซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก และเพิ่มการขายสินค้าเบเกอรี่อีก 20-30 สาขา จากเดิมที่มีการทดลองขาย 10 สาขา โดยทยอยเปิดให้ครบทั้ง 4,000 สาขา ซึ่งคาดว่าสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปีนี้จะมาจากสินค้าอาหาร 70% และคาดว่ารายได้ของบริษัทซึ่งไม่รวมบริษัทย่อยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 13-15% จากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 81,807 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการเปิดสาขาเพิ่ม 400-450 สาขา คิดเป็นรายได้โต 8% และรายได้จากสาขาเดิมที่มีอัตรา5%
สำหรับปีนี้ บริษัทจะลงทุนรวม 4,100 –4,300 ล้านบาท โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งสิ้นปี 2550 บริษัทมีกำไรสะสม 4,700 ล้านบาท โดยจะลงทุนในการเปิดสาขาใหม่ 400-450 สาขา ลงทุนซอฟแวร์ ขยายร้านหนังสือบุ๊คสมายปรับปรุงคลังสินค้า และ สร้างคลังสินค้าใหม่ ใช้เงินลงทุนแห่งละ 250 ล้านบาท ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และขอนแก่น
ทั้งนี้ จากการที่ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น 7 –Eleven จะปรับสินค้าตามที่รัฐบาลกำหนดและจะปรับเพิ่มขึ้นเป็นรายสุดท้าย เพราะบริษัทมีการเจรจากับผู้ขายสินค้าให้กับบริษัท เพื่อที่จะทำให้มีประชาชนเข้ามาซื้อสินค้ากับบริษัท โดยในปี2552 บริษัทตั้งเป้าจะมีสาขาเพิ่มเป็น 5,000 สาขา และอีก 6 ปีข้างหน้าจะมีสาขาเพิ่มเป็น 7,000 สาขา
อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน)หรือ PTT เข้าไปซื้อสถานีบริการน้ำมัน (JET)นั้น บริษัทก็จะเข้าไปเปิดสาขาแทนร้านJFFYที่อยู่ในปั้ม JET
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ CPALLกล่าวว่า เดือนมีนาคมนี้ บริษัทจะเดินทางไปนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนที่ฮ่องกง ซึ่งจะไปกับ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เครดิต สวิส เฟิร์สท์ บอสตัน ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลของบริษัท โดยนักลงทุน 50%ที่เราไปให้ข้อมูลนั้นเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทอยู่แล้ว