"เสรีพิศุทธ์"เข้าพบ“นายกฯสมัคร”วันนี้ ยันไม่ท้อถูกสั่งย้าย ชี้เป็นธรรมดาของชีวิตข้าราชการ ส่วนจะฟ้องคดีอาญาหรือไม่ต้องรอดูผลสอบวินัยก่อน ขณะเดียวกันจะยังไม่ย้ายโต๊ะทำงานไปสำนักนายกฯ ด้าน “รักษาการ ผบ.ตร.” ปัดเรียก "จงรัก-ธีรเดช" หารือไม่เกี่ยวการสอบวินัย “เสรีพิศุทธ์” หยอดคำหวานเราสองเป็นพี่น้องกัน
วานนี้ (2 มี.ค.) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่บริเวณหน่วยเลือกตั้งที่ 11 แขวงบางขุนเทียน เขตบางกอกน้อย กทม.ถึงคำสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีว่า วันนี้ (3 มี.ค.) ตนจะเข้าพบเพื่อรายงานตัวกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตนคงจะไม่มีการสอบถามถึงรายละเอียดเรื่องที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงใน 3 ประเด็น เนื่องจากตนได้รับทราบข้อเท็จจริงหมดแล้ว
ส่วนจะดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งโยกย้ายในครั้งนี้หรือไม่นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า คงไม่ฟ้อง เพราะคิดว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร ส่วนจะฟ้องเป็นคดีอาญาหรือไม่คงต้องรอให้ผลการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการออกมาก่อน หากเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม คงจะต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะฟ้องเป็นคดีต่อศาลอาญาหรือไม่
"ผมไม่รู้สึกท้อใจกับการทำงาน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตราชการที่จะต้องถูกปรับย้าย หลังจากนี้จะเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสะสางงานที่เหลือให้เสร็จสิ้น ส่วนโครงการสำคัญๆที่ได้ดำเนินการมาคงไม่ได้ทำต่อแล้วเพราะตอนนี้ถือว่าผมหมดอำนาจไปแล้ว" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
ส่วนจะฝากอะไรถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือไม่นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนคงไม่พูดผ่านสื่อ แต่จะมีการหารือกันเป็นการส่วนตัวเพื่อมอบหมายงานต่างๆ ในวันนี้ (3)
ภายหลังให้สัมภาษณ์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เดินทางมายังห้องทำงานบริเวณชั้น 7 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อทำงานตามปกติภายหลังเสร็จสิ้นจากการใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ว. ทั้งนี้ สำนักงานของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จะไม่ถูกย้ายไปที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพราะถือว่ายังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่
ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ต้องถูกโยกย้ายในครั้งนี้ว่า สำหรับ 3 ข้อหาที่กล่าวหาตนนั้น ข้อที่ 1 เรื่องที่กล่าวหาเกี่ยวกับการเช่ารถประเภทต่างๆ 5 ประเภทด้วยกันนั้น เรื่องนี้ตนขอเรียนว่าไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของตน เป็นการทำตามระเบียบขั้นตอนถูกต้องทุกประการ อำนาจเป็นของนายกรัฐมนตรีคนเก่า และคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องอยู่ที่ตนเซ็นอนุมัติแล้วจบ ตนเพียงแค่เสนอความเห็นไปที่นายกรัฐมนตรี อีกทั้งเรื่องการเงินนั้น สำนักงบประมาณก็เป็นผู้มาตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่ เป็นไปตามระเบียบราชการหรือไม่
“เรื่องที่ 2 ที่ผมใช้คำพูดไม่สมควรกับผู้ใต้บังคับบัญชาของผมนั้น ผมทำงานกับลูกน้องมันก็มีปัญหารู้บ้างไม่รู้บ้าง จำได้บ้างจำไม่ได้บ้าง ก็ต้องมีด่ากันเป็นเรื่องธรรมดา ผมไม่ได้ไปด่าชาวบ้าน ด่าพี่น้องประชาชน ด่าผู้สื่อข่าว ผมจะด่าลูกน้องผมมันเป็นอะไร ในเมื่อผมรักลูกน้องผมมาก อย่างพรรคพวกเพื่อนฝูงผมก็เรียกไอ้ ฉะนั้น ไม่เห็นมีปัญหาเลยที่ผมจะด่าลูกน้องผม มันเรื่องของผม มันไม่บังควรอย่างไร ผมไม่ได้มาด่าในที่สาธารณะ”
ส่วนเรื่องที่ 3 ที่เกี่ยวกับเรื่องการกำหนดตำแหน่งแต่งตั้งโยกย้ายนั้น เรื่องนี้ตนยืนยันว่าทำถูกต้อง 100% อยู่แล้ว ไม่ถูกต้องไม่ทำแน่นอน หากคนเป็น ผบ.ตร.ทำผิดก็โง่แล้วที่ไม่รู้กฎระเบียบ ไม่รู้กฎหมาย มีแต่คนไม่รู้เท่านั้นที่พูดแล้วเอามาเป็นประเด็นในการตั้งกรรมการสอบสวน เพราะฉะนั้นเรื่องต่างๆ นั้นเป็นการหาเรื่องกันทั้งนั้น ตนไม่ใส่ใจและจะทำไปตามระเบียบโดยไปรายงานตัว ส่วนการตั้งกรรมการสอบนั้นก็แก้ไขไป
ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ได้เรียก พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ งานสืบสวนสอบสวนและกฎหมาย และ พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง จเรตำรวจ ส่วนตรวจราชการที่ 8 ซึ่งเป็นคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรพิศุทธ์ มาสอบถามข้อเท็จจริงเนื่องจากตนไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของรัฐบาล เชื่อว่าการเรียกกรรมการสอบสวนวินัยมาพบจะไม่มีปัญหากับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เพราะเป็นพี่น้องกัน
เมื่อถามว่าการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จะยังคงมาทำงานที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติในหน้าที่ ผบ.ตร.จะกระทบต่อการทำหน้าที่รรท.ผบ.ตร.หรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า องค์กรตำรวจเป็นองค์กรสำคัญต้องรักษาเสถียรภาพให้มากที่สุด
เมื่อถามอีกว่า การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในวันที่ 5 มีนาคมนี้ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า เท่าที่ทราบมีการแจ้งประชุม ส่วนจะเป็นการพิจารณาวาระแต่งตั้งโยกย้ายหรือไม่ เท่าที่เห็นยังไม่มี
วานนี้ (2 มี.ค.) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่บริเวณหน่วยเลือกตั้งที่ 11 แขวงบางขุนเทียน เขตบางกอกน้อย กทม.ถึงคำสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีว่า วันนี้ (3 มี.ค.) ตนจะเข้าพบเพื่อรายงานตัวกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตนคงจะไม่มีการสอบถามถึงรายละเอียดเรื่องที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงใน 3 ประเด็น เนื่องจากตนได้รับทราบข้อเท็จจริงหมดแล้ว
ส่วนจะดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งโยกย้ายในครั้งนี้หรือไม่นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า คงไม่ฟ้อง เพราะคิดว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร ส่วนจะฟ้องเป็นคดีอาญาหรือไม่คงต้องรอให้ผลการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการออกมาก่อน หากเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม คงจะต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะฟ้องเป็นคดีต่อศาลอาญาหรือไม่
"ผมไม่รู้สึกท้อใจกับการทำงาน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตราชการที่จะต้องถูกปรับย้าย หลังจากนี้จะเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสะสางงานที่เหลือให้เสร็จสิ้น ส่วนโครงการสำคัญๆที่ได้ดำเนินการมาคงไม่ได้ทำต่อแล้วเพราะตอนนี้ถือว่าผมหมดอำนาจไปแล้ว" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
ส่วนจะฝากอะไรถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือไม่นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนคงไม่พูดผ่านสื่อ แต่จะมีการหารือกันเป็นการส่วนตัวเพื่อมอบหมายงานต่างๆ ในวันนี้ (3)
ภายหลังให้สัมภาษณ์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เดินทางมายังห้องทำงานบริเวณชั้น 7 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อทำงานตามปกติภายหลังเสร็จสิ้นจากการใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ว. ทั้งนี้ สำนักงานของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จะไม่ถูกย้ายไปที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพราะถือว่ายังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่
ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ต้องถูกโยกย้ายในครั้งนี้ว่า สำหรับ 3 ข้อหาที่กล่าวหาตนนั้น ข้อที่ 1 เรื่องที่กล่าวหาเกี่ยวกับการเช่ารถประเภทต่างๆ 5 ประเภทด้วยกันนั้น เรื่องนี้ตนขอเรียนว่าไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของตน เป็นการทำตามระเบียบขั้นตอนถูกต้องทุกประการ อำนาจเป็นของนายกรัฐมนตรีคนเก่า และคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องอยู่ที่ตนเซ็นอนุมัติแล้วจบ ตนเพียงแค่เสนอความเห็นไปที่นายกรัฐมนตรี อีกทั้งเรื่องการเงินนั้น สำนักงบประมาณก็เป็นผู้มาตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่ เป็นไปตามระเบียบราชการหรือไม่
“เรื่องที่ 2 ที่ผมใช้คำพูดไม่สมควรกับผู้ใต้บังคับบัญชาของผมนั้น ผมทำงานกับลูกน้องมันก็มีปัญหารู้บ้างไม่รู้บ้าง จำได้บ้างจำไม่ได้บ้าง ก็ต้องมีด่ากันเป็นเรื่องธรรมดา ผมไม่ได้ไปด่าชาวบ้าน ด่าพี่น้องประชาชน ด่าผู้สื่อข่าว ผมจะด่าลูกน้องผมมันเป็นอะไร ในเมื่อผมรักลูกน้องผมมาก อย่างพรรคพวกเพื่อนฝูงผมก็เรียกไอ้ ฉะนั้น ไม่เห็นมีปัญหาเลยที่ผมจะด่าลูกน้องผม มันเรื่องของผม มันไม่บังควรอย่างไร ผมไม่ได้มาด่าในที่สาธารณะ”
ส่วนเรื่องที่ 3 ที่เกี่ยวกับเรื่องการกำหนดตำแหน่งแต่งตั้งโยกย้ายนั้น เรื่องนี้ตนยืนยันว่าทำถูกต้อง 100% อยู่แล้ว ไม่ถูกต้องไม่ทำแน่นอน หากคนเป็น ผบ.ตร.ทำผิดก็โง่แล้วที่ไม่รู้กฎระเบียบ ไม่รู้กฎหมาย มีแต่คนไม่รู้เท่านั้นที่พูดแล้วเอามาเป็นประเด็นในการตั้งกรรมการสอบสวน เพราะฉะนั้นเรื่องต่างๆ นั้นเป็นการหาเรื่องกันทั้งนั้น ตนไม่ใส่ใจและจะทำไปตามระเบียบโดยไปรายงานตัว ส่วนการตั้งกรรมการสอบนั้นก็แก้ไขไป
ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ได้เรียก พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ งานสืบสวนสอบสวนและกฎหมาย และ พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง จเรตำรวจ ส่วนตรวจราชการที่ 8 ซึ่งเป็นคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรพิศุทธ์ มาสอบถามข้อเท็จจริงเนื่องจากตนไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของรัฐบาล เชื่อว่าการเรียกกรรมการสอบสวนวินัยมาพบจะไม่มีปัญหากับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เพราะเป็นพี่น้องกัน
เมื่อถามว่าการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จะยังคงมาทำงานที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติในหน้าที่ ผบ.ตร.จะกระทบต่อการทำหน้าที่รรท.ผบ.ตร.หรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า องค์กรตำรวจเป็นองค์กรสำคัญต้องรักษาเสถียรภาพให้มากที่สุด
เมื่อถามอีกว่า การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในวันที่ 5 มีนาคมนี้ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า เท่าที่ทราบมีการแจ้งประชุม ส่วนจะเป็นการพิจารณาวาระแต่งตั้งโยกย้ายหรือไม่ เท่าที่เห็นยังไม่มี
