ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมอ่านพบชื่อตัวเองจากหนังสือพิมพ์วันอาทิตย์เช้าว่า บัดนี้ผมได้กลายเป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำของสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ความจริงผมไม่ใช่ ผมเพียงแต่รับปากอดีตรัฐมนตรีชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่ขอให้ผมเป็นที่ปรึกษาฝ่ายต่างประเทศ ผมรับปากอีกด้วยว่าผมจะจัดทีมงานที่เข้มแข็งฝ่ายต่างประเทศให้กับสมัชชา
ผมเห็นว่า คมช.และรัฐบาลสุรยุทธ์ล้มเหลวสิ้นเชิงในสงครามข้อมูลทั้งในต่างประเทศ และในประเทศไทย จนกระทั่งชาวโลกเข้าใจผิดว่ารัฐบาลทักษิณเป็นประชาธิปไตย ถูกเผด็จการทหารกลั่นแกล้ง ทำให้การยอมรับรัฐบาลใหม่ (ภายใต้อิทธิพลของทักษิณ) ว่าเป็นประชาธิปไตยพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย
ยิ่งได้ทนายหน้าหอคนสำคัญของทักษิณมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การสร้างความชอบธรรมให้ทักษิณกับรัฐบาลปัจจุบัน โดยกลไกของรัฐและมือเท้าของทุนก็ยิ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นี่คือปัญหาใหญ่อันหนึ่งที่พวกเราอาจจะคิดไม่ถึง คนไทยทุกคนหากยังมีสติดีอยู่ คงไม่อยากทำลายภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศ คงอยากเห็นกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ ความอ่อนแอและล้มเหลวของกระทรวงการต่างประเทศในยุคพลเอกสุรยุทธ์อาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดที่กล่าวนี้ และความสองจิตสองใจไม่อยากจะถือหางเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้โจ่งแจ้ง จึงปล่อยให้กลไกของทุนป่าวข่าวให้ข้อมูลทำลายชื่อเสียงของประเทศชาติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองเหนือชาติอย่างมิรู้จักละอาย
ครั้งนี้ ก็มีข่าวว่าจะมีการโยกย้ายข้าราชการต่างประเทศก่อนฤดูกาลเป็นการใหญ่ ถึงแม้จะไม่บอกว่าเป็นการล้างแค้น แต่ก็อ้างว่าเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องที่ทูตทั้งหลายเป็นใจรับใช้รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ไม่ให้ความเป็นธรรมหรือปกป้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชะรอยกระทรวงการต่างประเทศจะต้องฝ่ามรสุมการเมืองโหด และไร้จริยธรรมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
นี่กลายเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่สมัชชาประชาชนจะต้องคอยจับตาดู และเข้ามาช่วยเมื่อถึงคราวจำเป็น ผมถูกขอร้องให้เป็นที่ปรึกษาเรื่องนี้ จึงยินดีรับด้วยความเต็มใจ และได้บอกกล่าวแล้วว่าผมยังคงรักษาความเป็นนักวิชาการอิสระเป็นกลาง มิได้สังกัดหรือตกอยู่ใต้อิทธิพลของฝ่ายใด จะช่วยกันต่อสู้สิ่งที่ผิดโดยไม่คำนึงว่าใครเป็นผู้กระทำ
ผมอ่านหนังสือพิมพ์ต่างประเทศหลายๆ ฉบับเป็นประจำทุกวัน รู้สึกดีใจแทนสมัชชาประชาชนที่ยังไม่ได้ลงมือทำงานเลย ก็ได้แต้มต่อในต่างประเทศเสียแล้ว ทั้งนี้ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ (1) การกระทำอันมิบังควรของรัฐบาลเอง กับ (2)วัฒนธรรมการยอมรับองค์กรอาสาสมัครและหรือการเมืองภาคประชาชนในประเทศประชาธิปไตย คราวนี้รัฐบาลสมัครจะต้องตกเป็นฝ่ายรับและเป้าสายตา
ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมา ไม่มีสื่อต่างประเทศที่ไหนเชื่อว่า พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคการเมืองแท้ๆ ชนะมาได้ด้วยบารมีของนายสมัคร ต่างก็เชื่อว่านี่เป็นพรรคนอมินีของทักษิณ และทักษิณเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคและการเมืองไทยในขณะนี้ การที่ทักษิณทำตัวเสมือนโป๊ปหรือดาราฮอลลีวูดในการก้มลงกราบแผ่นดิน และการประกาศว่าจะล้างมือทางการเมือง ไม่มีสื่อต่างประเทศฉบับใดเชื่อ เกือบทุกฉบับพากัน Skeptical หรือ Cynical แปลได้รุนแรงกว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ไม่เชื่อมากกว่า
หนังสือพิมพ์ยักษ์รายสัปดาห์คือ Newsweek เสนอบทความว่า ฮวน เปรอน เผด็จการเจ้าตำรับประชานิยมที่ถูกทหารขับไล่ใช้เวลา 18 ปีจึงจะกลับประเทศมารื้อฟื้นประชานิยม ซึ่งในที่สุดก็ล้มเหลว แต่ Christopher Bruton นักวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเมืองรายงานใน Newsweek ว่า Thaksin thinks he can make that 18 months แปลว่าทักษิณอ้างว่าจะกลับมาเถลิงอำนาจได้ใน 18 เดือน นั่นก็คือภายในเดือนมีนาคม 2551
หนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน รายงานว่า “But Thaksin, from exile in London and Hong Kong, has managed to reoccupy the leadership vacuum-belying his claim to have quit politics and underscoring the generals’ failure to reestablish the old order in the country which tey and the bureaucrats ruled supreme”
แปลเอาความว่า “แต่ทักษิณ ซึ่งหนีไปอยู่ลอนดอนและฮ่องกงสามารถใช้ภาวะการขาดผู้นำแทรกตนกลับเข้ามา แสดงให้เห็นว่าคำแก้เกี้ยวของเขาที่จะไม่เล่นการเมืองเป็นเรื่องโกหก แถมยังประจานความล้มเหลวของบรรดานายพลที่จะรื้อฟื้นระบบอำนาจเก่าซึ่งทหารกับข้าราชการเป็นผู้ปกครองสูงสุด”
ผมรู้สึกว่าหนังสือพิมพนี้มีหางเสียงโปรทักษิณและแอนตี้พระเจ้าอยู่หัวอยู่ในที ท่านผู้อ่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่โปรดลองอ่านดู
“Like Peron, Thaksin came to power by shattering a long established political order and energiszing the dormant countryside with a raft of pro-poor policies. Dubbed “Thaksinomics”, the program infuriated the national bureaucracy, business elites, the military and ultimately King Bhumibol Adulyadej-who approved the Army's 2006 power grab.”
As with Peron, Thaksin’s enemies denounced him as a corrupt populist despot. In a counterintuitive twist, they even cast his ouster as a victory for democracy; as Anand Panyarachun, who was appointed prime minister after an earlier putsch, told Newsweek in 2006,“a coup d’etat in the Thai context is not like a coup in Africa and Latin America.”
“เช่นเดียวกับเปรอน ทักษิณขึ้นสู่อำนาจด้วยการทะลายระบบการเมืองเก่า และปลุกพลังเงียบของชนบทให้ตื่นด้วยนโยบายเอาใจคนจนมากมาย นโยบายที่มีฉายาว่าทักษิโณมิกส์นี้สร้างความเดือดดาลให้กับระบบราชการ ผู้นำธุรกิจ ทหาร และในที่สุดกษัตริย์ภูมิพล ผู้อนุมัติให้ทหารยึดอำนาจ”
เช่นเดียวกับเปรอน ศัตรูประณามว่าทักษิณเป็นทรราชประชานิยมที่คอร์รัปชันคดโกง ซ้ำยังเผลอตัวประกาศว่า การยึดอำนาจไล่ทักษิณ เป็นชัยชนะของประชาธิป ไตย ดูแต่ อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีที่มาจากการยึดอำนาจครั้งก่อน ยังให้สัมภาษณ์นิวสวีคในปี 2006 ว่า “การรัฐประหารแบบไทยนั้นไม่เหมือนกับการยึดอำนาจในแอฟริกาและละตินอเมริกา”
ท่านผู้อ่านที่เคารพ คนที่พอเข้าใจและเคยสอนฝรั่งมา ย่อมเข้าใจเป็นอย่างอื่นมิได้ ว่านี่คือการคิดแบบทวิลักษณะหรือ dichoytomy แบบฝรั่งซึ่งมีบทสรุปกลายๆในตัวว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งเป็นเทพ “Hero” อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเป็นมาร “Villain” บทความนี้แม้ผู้เขียนอาจไม่รู้ เข้าใจผิด หรือเข้าใจอยู่แต่จงใจ ผู้อ่านจำนวนมากที่พาซื่อคิดแบบฝรั่งไร้เดียงสาจะต้องเห็นทักษิณเป็นเทวดาอย่างแน่นอน
ถ้าเป็นเช่นนั้น ในตอนต้นทำไมผมจึงบอกว่าดีใจแทนสมัชชาประชาชน ผมอยากจะอธิบายว่า การแก้ต่างให้การยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งยากแค่ไหน การแก้ตัวที่รัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งไล่ข้าราชการออกเป็นตับก็ยากแค่นั้น และอาจจะยากกว่าด้วยซ้ำ
ในประเทศประชาธิปไตยเขาต้องแยกข้าราชการประจำออกจากการเมืองโดยเด็ดขาด ใครจะไปใช้อำนาจการเมืองรังแกข้าราชการประจำมิได้
ต่อให้กระทรวงต่างประเทศของนายนพดลเก่งกว่านี้ 10 เท่า ก็ไม่สามารถแก้ข้อหาหรืออธิบายได้ว่าทำไมรัฐบาลนายสมัครจึงรังแกข้าราชการประจำ ในเมื่อรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ที่มาจากการยึดอำนาจแท้ๆ แทบจะมิได้แตะต้องข้าราชการประจำที่เป็นข้าราชการพลเรือนเลย
ผมอยากทำหน้าที่แนะนำสมัชชาประชาชนผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ดังต่อไปนี้
1. เชิญผู้ที่รู้เรื่องต่างประเทศและรู้ทันทักษิณดี เช่น นายสุลักษณ์ ศิวะลักษณ์ อดีตเอกอัครราชทูตกษิต ภิรมย์ อัษฎา ชัยนาม สุรพงษ์ ชัยนาม ให้มาเป็นที่ปรึกษา และตัวแทนฝ่ายต่างประเทศคอยพูดจา ชี้แจง และเดินทางไปปาฐกถาในต่างประเทศ
2. เชิญนักศึกษาไทยในประเทศต่างๆ ให้ทำหน้าที่ผู้แทนและผู้กระจายข่าวเป็นประจำให้กับวงวิชาการ สถานศึกษาและสื่อ
3. ให้ทำการศึกษาเรื่องความเป็นกลาง และการห้ามมิให้นักการเมืองแทรกแซงระบบหรือข้าราชการประจำ ในอังกฤษซึ่งไทยอ้างว่าเป็นแม่แบบนั้น รัฐมนตรีจะไม่มีอำนาจแต่งตั้ง (hire) หรือปลด (fire) ข้าราชการพลเรือนเลย
4. ให้มหาวิทยาลัยและสื่อ และองค์กรภาคประชาชน ทำการศึกษากรณีการโยกย้ายนายสุนัย นายแพทย์ศิริวัฒน์ นายปราโมช และพลตำรวจเอกเสรีพิสุทธ์ โดยละเอียด ให้ทำการวิเคราะห์ประวัติการศึกษาและผลงานของผู้ที่เกี่ยวข้อง คือนายสมพงษ์ นายไชยา นายจักรภพ และนายสมัคร เปรียบเทียบกับข้าราชที่ถูกย้าย ตลอดจนศึกษาทฤษฎีและกรณีการที่การเมืองแทรกแซงระบบราชการพลเรือนในประเทศต่างๆ
5. ศึกษาว่าการแก้ไขความผิดพลาดทั้งโดยวิถีทางทางกฎหมายและการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจะกระทำได้อย่างไรบ้าง และมีอุปสรรคอย่างไร
ผมจะกลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีกในโอกาสหน้า ในโอกาสนี้ขอเตือนสมุนบริวารของทักษิณ รวมทั้งนายสมัครที่อ้างว่าไม่ได้ขึ้นกับทักษิณ ว่าอย่าสักแต่อ้างความชอบธรรมและอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง การเลือกตั้งนั้นอดีตรุ่นพี่นายสมัครคือ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน บอกว่า เลือกตั้งโจรเข้าไป ก็ต้องได้สภาโจร สภาโจรแต่งตั้ง ครม.เข้าไปก็จะได้ ครม.โจร ผมไม่อยากด่วนสรุปว่า ครม.นี้เป็น ครม.โจร แต่ได้ยินเสียงบ่นไม่น้อยว่ามีรัฐมนตรีขี้เหร่และรัฐมนตรีกุ๋ยหลายคน ผมไม่ทราบว่ามีใครบ้าง
ผมขอร้องให้นักวิชาการ สื่อ และการเมืองภาคประชาชน ช่วยเอาไฟฉายส่องดูบุคคลทั้งสี่ที่ใช้อำนาจก่อน อย่าด่วนสรุปว่า สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อตระกูล ว่าใช่แล้วพวกนี้ ถ้าดูจากคำพูดมันกุ๋ยทั้งนั้น ผมอยากให้ดูกระบวนการ หลักฐาน และข้อมูลในการที่แก๊งออฟโฟร์ตัดสินใจโยกย้ายข้าราชการประจำทั้งสี่ท่าน ว่าสอดคล้องกับคำแถลงนโยบายสมานฉันท์ กับคำแถลงว่า รัฐบาลจะ “ประเมินผลการปฏิบัติงานฯ ที่เป็นธรรมตามผลงาน เพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจและแรงจูงใจในการพัฒนาผลงานของข้าราชการ” หรือไม่
พวกเราลองใช้กฎหมายสิทธิข้อมูลฯ ขอดูรายงานการประชุมและขั้นตอนการประเมินผลประกอบการตัดสินใจของแก๊งออฟโฟร์ดูก่อนบ้างจะดีไหม
บางทีอาจจะได้รู้ว่า คนพวกไหนที่มันโกหกจนติดสันดานทั้งก๊ก.
ผมเห็นว่า คมช.และรัฐบาลสุรยุทธ์ล้มเหลวสิ้นเชิงในสงครามข้อมูลทั้งในต่างประเทศ และในประเทศไทย จนกระทั่งชาวโลกเข้าใจผิดว่ารัฐบาลทักษิณเป็นประชาธิปไตย ถูกเผด็จการทหารกลั่นแกล้ง ทำให้การยอมรับรัฐบาลใหม่ (ภายใต้อิทธิพลของทักษิณ) ว่าเป็นประชาธิปไตยพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย
ยิ่งได้ทนายหน้าหอคนสำคัญของทักษิณมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การสร้างความชอบธรรมให้ทักษิณกับรัฐบาลปัจจุบัน โดยกลไกของรัฐและมือเท้าของทุนก็ยิ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นี่คือปัญหาใหญ่อันหนึ่งที่พวกเราอาจจะคิดไม่ถึง คนไทยทุกคนหากยังมีสติดีอยู่ คงไม่อยากทำลายภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศ คงอยากเห็นกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ ความอ่อนแอและล้มเหลวของกระทรวงการต่างประเทศในยุคพลเอกสุรยุทธ์อาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดที่กล่าวนี้ และความสองจิตสองใจไม่อยากจะถือหางเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้โจ่งแจ้ง จึงปล่อยให้กลไกของทุนป่าวข่าวให้ข้อมูลทำลายชื่อเสียงของประเทศชาติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองเหนือชาติอย่างมิรู้จักละอาย
ครั้งนี้ ก็มีข่าวว่าจะมีการโยกย้ายข้าราชการต่างประเทศก่อนฤดูกาลเป็นการใหญ่ ถึงแม้จะไม่บอกว่าเป็นการล้างแค้น แต่ก็อ้างว่าเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องที่ทูตทั้งหลายเป็นใจรับใช้รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ไม่ให้ความเป็นธรรมหรือปกป้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชะรอยกระทรวงการต่างประเทศจะต้องฝ่ามรสุมการเมืองโหด และไร้จริยธรรมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
นี่กลายเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่สมัชชาประชาชนจะต้องคอยจับตาดู และเข้ามาช่วยเมื่อถึงคราวจำเป็น ผมถูกขอร้องให้เป็นที่ปรึกษาเรื่องนี้ จึงยินดีรับด้วยความเต็มใจ และได้บอกกล่าวแล้วว่าผมยังคงรักษาความเป็นนักวิชาการอิสระเป็นกลาง มิได้สังกัดหรือตกอยู่ใต้อิทธิพลของฝ่ายใด จะช่วยกันต่อสู้สิ่งที่ผิดโดยไม่คำนึงว่าใครเป็นผู้กระทำ
ผมอ่านหนังสือพิมพ์ต่างประเทศหลายๆ ฉบับเป็นประจำทุกวัน รู้สึกดีใจแทนสมัชชาประชาชนที่ยังไม่ได้ลงมือทำงานเลย ก็ได้แต้มต่อในต่างประเทศเสียแล้ว ทั้งนี้ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ (1) การกระทำอันมิบังควรของรัฐบาลเอง กับ (2)วัฒนธรรมการยอมรับองค์กรอาสาสมัครและหรือการเมืองภาคประชาชนในประเทศประชาธิปไตย คราวนี้รัฐบาลสมัครจะต้องตกเป็นฝ่ายรับและเป้าสายตา
ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมา ไม่มีสื่อต่างประเทศที่ไหนเชื่อว่า พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคการเมืองแท้ๆ ชนะมาได้ด้วยบารมีของนายสมัคร ต่างก็เชื่อว่านี่เป็นพรรคนอมินีของทักษิณ และทักษิณเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคและการเมืองไทยในขณะนี้ การที่ทักษิณทำตัวเสมือนโป๊ปหรือดาราฮอลลีวูดในการก้มลงกราบแผ่นดิน และการประกาศว่าจะล้างมือทางการเมือง ไม่มีสื่อต่างประเทศฉบับใดเชื่อ เกือบทุกฉบับพากัน Skeptical หรือ Cynical แปลได้รุนแรงกว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ไม่เชื่อมากกว่า
หนังสือพิมพ์ยักษ์รายสัปดาห์คือ Newsweek เสนอบทความว่า ฮวน เปรอน เผด็จการเจ้าตำรับประชานิยมที่ถูกทหารขับไล่ใช้เวลา 18 ปีจึงจะกลับประเทศมารื้อฟื้นประชานิยม ซึ่งในที่สุดก็ล้มเหลว แต่ Christopher Bruton นักวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเมืองรายงานใน Newsweek ว่า Thaksin thinks he can make that 18 months แปลว่าทักษิณอ้างว่าจะกลับมาเถลิงอำนาจได้ใน 18 เดือน นั่นก็คือภายในเดือนมีนาคม 2551
หนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน รายงานว่า “But Thaksin, from exile in London and Hong Kong, has managed to reoccupy the leadership vacuum-belying his claim to have quit politics and underscoring the generals’ failure to reestablish the old order in the country which tey and the bureaucrats ruled supreme”
แปลเอาความว่า “แต่ทักษิณ ซึ่งหนีไปอยู่ลอนดอนและฮ่องกงสามารถใช้ภาวะการขาดผู้นำแทรกตนกลับเข้ามา แสดงให้เห็นว่าคำแก้เกี้ยวของเขาที่จะไม่เล่นการเมืองเป็นเรื่องโกหก แถมยังประจานความล้มเหลวของบรรดานายพลที่จะรื้อฟื้นระบบอำนาจเก่าซึ่งทหารกับข้าราชการเป็นผู้ปกครองสูงสุด”
ผมรู้สึกว่าหนังสือพิมพนี้มีหางเสียงโปรทักษิณและแอนตี้พระเจ้าอยู่หัวอยู่ในที ท่านผู้อ่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่โปรดลองอ่านดู
“Like Peron, Thaksin came to power by shattering a long established political order and energiszing the dormant countryside with a raft of pro-poor policies. Dubbed “Thaksinomics”, the program infuriated the national bureaucracy, business elites, the military and ultimately King Bhumibol Adulyadej-who approved the Army's 2006 power grab.”
As with Peron, Thaksin’s enemies denounced him as a corrupt populist despot. In a counterintuitive twist, they even cast his ouster as a victory for democracy; as Anand Panyarachun, who was appointed prime minister after an earlier putsch, told Newsweek in 2006,“a coup d’etat in the Thai context is not like a coup in Africa and Latin America.”
“เช่นเดียวกับเปรอน ทักษิณขึ้นสู่อำนาจด้วยการทะลายระบบการเมืองเก่า และปลุกพลังเงียบของชนบทให้ตื่นด้วยนโยบายเอาใจคนจนมากมาย นโยบายที่มีฉายาว่าทักษิโณมิกส์นี้สร้างความเดือดดาลให้กับระบบราชการ ผู้นำธุรกิจ ทหาร และในที่สุดกษัตริย์ภูมิพล ผู้อนุมัติให้ทหารยึดอำนาจ”
เช่นเดียวกับเปรอน ศัตรูประณามว่าทักษิณเป็นทรราชประชานิยมที่คอร์รัปชันคดโกง ซ้ำยังเผลอตัวประกาศว่า การยึดอำนาจไล่ทักษิณ เป็นชัยชนะของประชาธิป ไตย ดูแต่ อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีที่มาจากการยึดอำนาจครั้งก่อน ยังให้สัมภาษณ์นิวสวีคในปี 2006 ว่า “การรัฐประหารแบบไทยนั้นไม่เหมือนกับการยึดอำนาจในแอฟริกาและละตินอเมริกา”
ท่านผู้อ่านที่เคารพ คนที่พอเข้าใจและเคยสอนฝรั่งมา ย่อมเข้าใจเป็นอย่างอื่นมิได้ ว่านี่คือการคิดแบบทวิลักษณะหรือ dichoytomy แบบฝรั่งซึ่งมีบทสรุปกลายๆในตัวว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งเป็นเทพ “Hero” อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเป็นมาร “Villain” บทความนี้แม้ผู้เขียนอาจไม่รู้ เข้าใจผิด หรือเข้าใจอยู่แต่จงใจ ผู้อ่านจำนวนมากที่พาซื่อคิดแบบฝรั่งไร้เดียงสาจะต้องเห็นทักษิณเป็นเทวดาอย่างแน่นอน
ถ้าเป็นเช่นนั้น ในตอนต้นทำไมผมจึงบอกว่าดีใจแทนสมัชชาประชาชน ผมอยากจะอธิบายว่า การแก้ต่างให้การยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งยากแค่ไหน การแก้ตัวที่รัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งไล่ข้าราชการออกเป็นตับก็ยากแค่นั้น และอาจจะยากกว่าด้วยซ้ำ
ในประเทศประชาธิปไตยเขาต้องแยกข้าราชการประจำออกจากการเมืองโดยเด็ดขาด ใครจะไปใช้อำนาจการเมืองรังแกข้าราชการประจำมิได้
ต่อให้กระทรวงต่างประเทศของนายนพดลเก่งกว่านี้ 10 เท่า ก็ไม่สามารถแก้ข้อหาหรืออธิบายได้ว่าทำไมรัฐบาลนายสมัครจึงรังแกข้าราชการประจำ ในเมื่อรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ที่มาจากการยึดอำนาจแท้ๆ แทบจะมิได้แตะต้องข้าราชการประจำที่เป็นข้าราชการพลเรือนเลย
ผมอยากทำหน้าที่แนะนำสมัชชาประชาชนผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ดังต่อไปนี้
1. เชิญผู้ที่รู้เรื่องต่างประเทศและรู้ทันทักษิณดี เช่น นายสุลักษณ์ ศิวะลักษณ์ อดีตเอกอัครราชทูตกษิต ภิรมย์ อัษฎา ชัยนาม สุรพงษ์ ชัยนาม ให้มาเป็นที่ปรึกษา และตัวแทนฝ่ายต่างประเทศคอยพูดจา ชี้แจง และเดินทางไปปาฐกถาในต่างประเทศ
2. เชิญนักศึกษาไทยในประเทศต่างๆ ให้ทำหน้าที่ผู้แทนและผู้กระจายข่าวเป็นประจำให้กับวงวิชาการ สถานศึกษาและสื่อ
3. ให้ทำการศึกษาเรื่องความเป็นกลาง และการห้ามมิให้นักการเมืองแทรกแซงระบบหรือข้าราชการประจำ ในอังกฤษซึ่งไทยอ้างว่าเป็นแม่แบบนั้น รัฐมนตรีจะไม่มีอำนาจแต่งตั้ง (hire) หรือปลด (fire) ข้าราชการพลเรือนเลย
4. ให้มหาวิทยาลัยและสื่อ และองค์กรภาคประชาชน ทำการศึกษากรณีการโยกย้ายนายสุนัย นายแพทย์ศิริวัฒน์ นายปราโมช และพลตำรวจเอกเสรีพิสุทธ์ โดยละเอียด ให้ทำการวิเคราะห์ประวัติการศึกษาและผลงานของผู้ที่เกี่ยวข้อง คือนายสมพงษ์ นายไชยา นายจักรภพ และนายสมัคร เปรียบเทียบกับข้าราชที่ถูกย้าย ตลอดจนศึกษาทฤษฎีและกรณีการที่การเมืองแทรกแซงระบบราชการพลเรือนในประเทศต่างๆ
5. ศึกษาว่าการแก้ไขความผิดพลาดทั้งโดยวิถีทางทางกฎหมายและการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจะกระทำได้อย่างไรบ้าง และมีอุปสรรคอย่างไร
ผมจะกลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีกในโอกาสหน้า ในโอกาสนี้ขอเตือนสมุนบริวารของทักษิณ รวมทั้งนายสมัครที่อ้างว่าไม่ได้ขึ้นกับทักษิณ ว่าอย่าสักแต่อ้างความชอบธรรมและอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง การเลือกตั้งนั้นอดีตรุ่นพี่นายสมัครคือ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน บอกว่า เลือกตั้งโจรเข้าไป ก็ต้องได้สภาโจร สภาโจรแต่งตั้ง ครม.เข้าไปก็จะได้ ครม.โจร ผมไม่อยากด่วนสรุปว่า ครม.นี้เป็น ครม.โจร แต่ได้ยินเสียงบ่นไม่น้อยว่ามีรัฐมนตรีขี้เหร่และรัฐมนตรีกุ๋ยหลายคน ผมไม่ทราบว่ามีใครบ้าง
ผมขอร้องให้นักวิชาการ สื่อ และการเมืองภาคประชาชน ช่วยเอาไฟฉายส่องดูบุคคลทั้งสี่ที่ใช้อำนาจก่อน อย่าด่วนสรุปว่า สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อตระกูล ว่าใช่แล้วพวกนี้ ถ้าดูจากคำพูดมันกุ๋ยทั้งนั้น ผมอยากให้ดูกระบวนการ หลักฐาน และข้อมูลในการที่แก๊งออฟโฟร์ตัดสินใจโยกย้ายข้าราชการประจำทั้งสี่ท่าน ว่าสอดคล้องกับคำแถลงนโยบายสมานฉันท์ กับคำแถลงว่า รัฐบาลจะ “ประเมินผลการปฏิบัติงานฯ ที่เป็นธรรมตามผลงาน เพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจและแรงจูงใจในการพัฒนาผลงานของข้าราชการ” หรือไม่
พวกเราลองใช้กฎหมายสิทธิข้อมูลฯ ขอดูรายงานการประชุมและขั้นตอนการประเมินผลประกอบการตัดสินใจของแก๊งออฟโฟร์ดูก่อนบ้างจะดีไหม
บางทีอาจจะได้รู้ว่า คนพวกไหนที่มันโกหกจนติดสันดานทั้งก๊ก.