สถานการณ์ที่แท้จริงในบ้านเมืองของเราในขณะนี้แม้จะมีมายาภาพมากหลาย แต่แท้จริงแล้วมีความชัดเจนและเป็นดังที่นักคิดและผู้นำทางความคิดของสังคมได้ชี้เอาไว้นั่นเอง คือเป็นสถานการณ์ที่กำลังก้าวไปสู่การเกิดกลียุคในอีกไม่นานข้างหน้านี้
สถานการณ์กำลังเป็นดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วก่อนการรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 และชะงักลงเพราะการรัฐประหาร และถูกบ่มเพาะให้ฟื้นคืนขึ้นมาใหม่โดยผลงานอภิมหาบรรลัยของรัฐบาลเต่า
สถานการณ์ในวันนี้คือการต่อสู้สองกระแส ระหว่างความพยายามฟื้นอำนาจพรรคไทยรักไทยเพื่อครองแผ่นดินอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กับความพยายามที่จะทำลายล้างอำนาจนั้นให้สิ้นซาก ปรากฏการณ์ทั้งปวงล้วนเป็นเรื่องปลีกย่อยหรือมายาภาพ หรือเป็นสิ่งประกอบของสถานการณ์ใหญ่ดังกล่าวนี้เท่านั้น
ดังนั้นประชาชนชาวไทยทั้งประเทศที่รักชาติบ้านเมืองและหวังให้แผ่นดินอยู่เย็นเป็นสุข จึงต้องเข้าใจสถานการณ์ให้ถูกต้องถ่องแท้ มิฉะนั้นก็จะไขว้เขวสับสนและมึนงง
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าสถานการณ์ใหญ่ของประเทศขณะนี้คือความพยายามฟื้นอำนาจพรรคไทยรักไทยเพื่อครองแผ่นดินอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กับความพยายามที่จะทำลายล้างอำนาจนั้นให้สิ้นซาก
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวนี้มันได้ชักพาประชาชนชาวไทยหลายสิบล้านคนเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้ง และพร้อมที่จะประหัตประหารกันในอนาคต เว้นแต่จะถูกหยุดยั้งเสียได้ทันท่วงทีก่อนที่จะสายเกินแก้
รัฐบาลหุ่นหรือรัฐบาลนอมินีกำลังกระชับอำนาจอย่างหน้ามืดตามัว กำลังสอยข้าราชการออกจากตำแหน่งอย่างกว้างขวาง สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงไปทั่วทุกหน่วยงาน เพื่อเอาพวกพ้องของตนเองเข้าไปครองอำนาจ
จับตาดูให้ดีตรงที่การฟื้นฟูรัฐตำรวจ เพราะตรงนี้จะเป็นชนวนระเบิดใหญ่ เช่นเดียวกับเหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างจอมตำรับรัฐตำรวจ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ กับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
มันเป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะซ้ำรอยเหตุการณ์ก่อนเกิด รสช. ที่คนกลุ่มหนึ่งพยายามสร้างกองทัพตำรวจเพื่อเป็นฐานกำลังอำนาจยันกับฝ่ายทหาร และเหิมเกริมถึงขนาดย่ำยีและดักฟัง ตลอดจนติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายทหาร
การฟื้นอำนาจพรรคไทยรักไทยกำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก ในขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็กำลังฟื้นคืนการเคลื่อนไหวในขอบเขตที่กว้างใหญ่ทั่วประเทศเช่นเดียวกัน ภายใต้การชี้นำการต่อสู้ครั้งนี้ว่า “ทุกรูปแบบและถึงที่สุด”
องค์กรประชาชนต่างๆ กำลังจับกลุ่มกันเชื่อมโยงประสานกันอย่างกว้างขวาง และกำลังปรึกษาหารือกันว่ากลุ่มของตนจะต่อสู้ทุกรูปแบบในแบบใดที่เหมาะสมที่สุดและมีประสิทธิผลมากที่สุด และที่ว่าจะต่อสู้จนถึงที่สุดนั้น ถึงที่สุดแค่ไหน
คือตีงูให้กากินแบบที่เคยเป็นมาตลอดระยะเวลา 60 ปีหรือว่าจะถึงที่สุดโดยมีเป้าหมายในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในอนาคตด้วย
ในขณะเดียวกัน เครือข่ายของรัฐบาลหุ่นก็ขยายงานมวลชนและกระชับอำนาจรัฐอย่างหนักหน่วง แต่ส่วนใหญ่ก็คงเป็นเรื่องกระชับอำนาจรัฐ โดยจะมุ่งเน้นที่ความเร่งด่วน 3 ขั้นตอนคือการสะสางปัญหาเก่าและคดีความ ขั้นตอนการฟื้นฟูรัฐตำรวจ และขั้นสุดท้ายคือการคุมกำลังทหารเพื่อการครองแผ่นดินในที่สุด
คนจำนวนหนึ่งคิดว่าการได้อำนาจรัฐแล้วจะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับได้แผ่นดินนี้มาครอบครองเป็นของตนเองแล้ว นี่คือสิ่งที่คนพวกนี้ไม่เข้าใจ และเป็นเหตุให้มีการรัฐประหารมาครั้งหนึ่งแล้ว หากไม่เข้าใจเรื่องนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะเกิดกลียุคจากการเผชิญหน้าและประหัตประหารกันของประชาชนคนไทยด้วยกันเท่านั้น ยังจะนำพาชาติบ้านเมืองให้ถอยหลังเข้าคลองครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
และคราวนี้มันคงไม่ใช่เรื่องหน่อมแน้ม เหลวไหล เลอะเทอะ
อีกต่อไปแล้ว
อันธรรมดาการเดินหมากรุกนั้น หากคิดคนเดียว เดินคนเดียว จะคิดอย่างไรก็ได้ จะเดินอย่างไรก็ได้ แม้กระนั้นแล้วบางทีก็ยังมีความพลิกผันพลาดพลั้งเกิดขึ้นได้ แล้วสำมะหาอะไรกับเหตุการณ์บ้านเมืองซึ่งไม่ใช่เรื่องที่คิดคนเดียวได้หรือทำคนเดียวได้ หากยังมีความผันแปรพลิกแพลงมากมายสุดคณานับ
เงินนั้นมีอำนาจและพลานุภาพมากก็จริง แต่บางครั้งเงินก็ทำอะไรไม่ได้ทุกสิ่ง ดังที่มีคำพังเพยไว้ว่า “เงินซื้อใครได้จริงทุกสิ่งหรือ ค่าเงินซื้อได้จริงเพียงสิ่งของ”
คนบางคนเงินซื้อได้ แต่คนบางคนเงินก็ซื้อไม่ได้ คนบางคนให้อำนาจวาสนาก็สามารถช่วงใช้ได้ แต่คนบางคนอำนาจวาสนาก็ไม่สามารถเป็นสิ่งล่อใจให้เขากลายเป็นทาสได้ ดังนั้นคนจึงเป็นความผันแปรในประการสำคัญ
ขงเบ้งเคยวิพากษ์วิถีขุนพลไว้ว่า ในประวัติศาสตร์ขุนพลที่ใช้กำลังมากชนะกำลังน้อยก็มีอยู่ ที่ใช้แข็งเอาชนะอ่อนก็มีอยู่ ที่ใช้กลอุบายเอาชนะศึกก็มีอยู่ แต่ที่จะใช้พลังในจักรวาลเอาชนะในศึกสงครามก็มีแต่ตัวเราเท่านั้น
โลซกสงสัยจึงซักถามขงเบ้งว่า ที่ว่าพลังในจักรวาลนั้นคือสิ่งใด
ขงเบ้งตอบว่า เมื่อครั้งยุทธการทุ่งพกบ๋อง เราใช้ไฟเผาทหารสิบหมื่นของโจโฉ ไฟมียุทธานุภาพมากกว่าทหารสิบหมื่นของโจโฉ เมื่อครั้งยุทธการแม่น้ำแปะโห เราใช้น้ำท่วมทหารโจโฉเสียสิบหมื่น น้ำมียุทธานุภาพมากกว่ากำลังทหารสิบหมื่นของโจโฉ
และยังอธิบายเพิ่มเติมได้ด้วยว่า เมื่อครั้งที่ขงเบ้งอาสาจิวยี่ใช้กลอุบายไปลวงเอาเกาทัณฑ์จากกองทัพเรือโจโฉกว่าสิบหมื่นดอกนั้น ก็ได้อาศัยหมอกบังตาทหารโจโฉให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นการยกกองทัพเรือเข้าโจมตี เป็นเหตุให้โจโฉสั่งยิงเกาทัณฑ์สกัด ดังนี้หมอกก็มียุทธานุภาพสามารถปิดตาทหารร้อยหมื่นของโจโฉได้
ขงเบ้งอธิบายว่า ไฟ น้ำ หมอก เมฆ ดาว เดือน ความมืด ความสว่าง ความกลัว ความกล้า ความศรัทธา ล้วนเป็นพลังในจักรวาลที่สามารถใช้ในการศึกได้ทั้งสิ้น
และก็เพราะพลังในจักรวาลไม่ใช่หรือ มวลมหาประชาชนกว่าสิบล้านคนจึงเคยลงคะแนนเสียง no vote ในการเลือกตั้งให้เห็นมาแล้ว และก็เพราะพลังในจักรวาลไม่ใช่หรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ไม่มีทั้งเงินและอาวุธกลับสามารถระดมมวลชนได้ร่วม 500,000 คนในการเดินขบวนขับไล่อำนาจรัฐ
ปรากฏการณ์เสื้อเหลืองก็คือปรากฏการณ์หนึ่งของพลังในจักรวาลที่ก่อตัวจากพลังศรัทธาของมวลมหาประชาราษฎร์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เหล่านี้คือความผันแปรอย่างหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ และสามารถทำลายล้างการวางแผนหรือการคิดอ่านที่ไม่เคารพธรรม ไม่ตั้งอยู่ในธรรม และไม่ถือธรรมเป็นใหญ่ให้พินาศไปได้
หลายคืนก่อนอาการป่วยยังมากอยู่ นอนไม่ค่อยหลับ จึงลุกมาดูรายการยามเฝ้าแผ่นดินของคุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ยินการยกเอาเรื่องธรรมาธรรมะสงคราม และผลการต่อสู้ของจอมเทพแห่งอธรรมกับจอมเทพแห่งธรรม อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ก็มีความปีติบังเกิดขึ้นกับใจ
เป็นปีติที่เกิดขึ้นว่า สัจธรรม โลกธรรม และกฎแห่งธรรมอันไม่อาจผันแปรได้นั้นก็คือธรรมย่อมชนะอธรรมในที่สุดเสมอ มีแต่ผู้ที่กรรมบังตาเท่านั้นที่มองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจในเรื่องนี้
แม้ในเบื้องต้นจะดูประหนึ่งว่ากำลังอธรรมเข้มแข็ง แต่ผลที่สุดอธรรมก็ต้องพินาศ
แม้ในเบื้องต้นเหตุผลของฝ่ายอธรรมจะดูเข้าท่า แต่ในที่สุดก็ไม่เป็นเหตุเป็นผลอะไรแก่กันเลย ดังเช่นเหตุผลของคำสอนบางตอนของจอมเทพแห่งอธรรมที่ว่า
“ยามจนจะทนยาก จะลำบากไปไยมี พึงปองข้าวของดี ณ ผู้อื่นอันเก็บงำ”
ซึ่งเป็นคำสอนที่หมายความว่า คนจนจะลำบากไปทำไม ให้ไปปล้นชิงข้าวของคนอื่นจะดีกว่า
แล้วมาดูความเป็นจริงในบ้านเมืองขณะนี้ ถ้อยคำพูดที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรมนั้น แม้จะดูว่าเป็นเหตุผลพอไปได้ แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องเหลวไหลผายลมทั้งนั้น
เช่น เหตุผลการย้ายอธิบดีกรมดีเอสไอว่าให้ไปทำงานในหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ทั้งๆ ที่ไม่มีกฎหมายรองรับว่ามีหน่วยงานนี้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาโดยไม่ครบองค์ประชุม หรือเหตุผลการย้ายเลขาธิการ อย. แล้วเอาคนที่เคยถูกสอบสวนเรื่องการทุจริตในการจัดซื้อคอมพิวเตอร์มาทำหน้าที่แทน หรือการย้ายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ว่าให้ไปทำสถานีโทรทัศน์อาเชียน เป็นต้น
การกระทำเช่นนี้ยิ่งทำมากเท่าใดก็เหมือนจุดไฟไว้ในบ้านมากขึ้นเท่านั้น ลมโชยมาหน่อยเดียวมีหรือที่ไฟจะไม่ไหม้บ้านจนพินาศสิ้น
ข้าราชการทั้งประเทศจึงไม่มีทางที่จะทนยอมเป็นโต๊ะเก้าอี้ให้ถูกโยนขว้างไปไหนตามอำเภอใจได้อีกต่อไปแล้ว เพราะถ้าขืนปล่อยไปในที่สุดก็เหมือนกับกรณีที่ยุโรปเคยเพิกเฉยให้ฮิตเลอร์รุกรานบางประเทศเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง จนในที่สุดทุกประเทศก็ต้องเดือดร้อนด้วยกันหมด
ข้าราชการทั้งประเทศจึงมีแต่ต้องร่วมมือกัน ผนึกกำลังกันต่อต้านระบบอันธพาลครองเมือง ต่อสู้กับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมทุกรูปแบบจนถึงที่สุด
คอยดูกันให้ดีๆ การต่อสู้ของข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นแบบอย่างของการต่อสู้ให้กับข้าราชการไทยในท่ามกลางกระแสความขัดแย้งใหญ่ต่อไป
ต้องขอตำหนิฝ่ายบริหารที่ไม่น้อมใจรับฟังความรู้สึกนึกคิดของข้าราชการและที่ต้องประณามก็คือการท้าทายให้ข้าราชการถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นเรื่องมิบังควรเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือเหตุการณ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทยที่รัฐมนตรีท้าทายให้ข้าราชการถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะนี่คือการไม่ถวายความเคารพสักการะต่อองค์พระประมุขของชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาถึงพฤติกรรมดังกล่าวว่าเหมาะสมและสมควรหรือไม่ แล้วจะจัดการอย่างไร
การกระชับอำนาจรัฐกำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก การเช็กบิลข้าราชการก็ดำเนินไปอย่างคึกคัก
การโยกย้ายพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ อาจจะเป็นการเริ่มต้นเช็กบิล คมช. ตรงจุดที่อ่อนที่สุดก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นการประลองกำลังครั้งแรกระหว่างนายกฯ ในทำเนียบ กับนายกฯ นอกทำเนียบก็ได้
ติดตามดูกันให้ใกล้ชิด สถานการณ์จะชี้ไปทางไหน ให้สังเกตดูจากใครมาแทนพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ว่าเป็นนายตำรวจที่มีความใกล้ชิดกับนายกฯ นอกทำเนียบหรือไม่
การก่อตัวและการเคลื่อนตัวของข้าราชการไทยทั่วประเทศกำลังก่อเกิดเป็นพลังในจักรวาลอีกกลุ่มก้อนหนึ่ง
การก่อตัวและการเคลื่อนตัวของกลุ่ม “ส” ในพรรคพลังประชาชนและในพรรคร่วมรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นตัวของตัวเอง และทำหน้าที่เป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สมบูรณ์ ก็เป็นพลังในจักรวาลอีกกลุ่มก้อนหนึ่ง
สำหรับภาคประชาชนก็เป็นพลังในจักรวาลอีกกลุ่มก้อนหนึ่ง โดยในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมมีภารกิจ 2 ประการคือ
ด้านหนึ่ง คือการติดตามดูสถานการณ์ที่กลุ่มพลังในจักรวาลต่างๆ ได้ก่อตัวและขับเคลื่อนไปในทางที่จะผันแปรพลิกพลิ้วสถานการณ์การเมืองไทยให้ใกล้ชิด และสนับสนุนความถูกต้อง ความเป็นธรรม เพื่อความสงบร่มเย็นและความรุ่งเรืองของบ้านเมือง
อีกด้านหนึ่ง คือการเกาะกลุ่มรวมตัวกันแล้วปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิดว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร จะทำอะไรกันอย่างไรที่จะได้ผลที่สุดในการรักษาชาติบ้านเมืองให้มีความสงบร่มเย็น และจะทำให้ถึงที่สุดอย่างไร
มีแต่ต้องเกาะกลุ่มรวมตัวกัน เชื่อมโยงกันและก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้องอย่างพร้อมเพรียงกันเท่านั้น ชาติบ้านเมืองของเราจึงจะอยู่รอดได้และจะป้องกันกลียุคไม่ให้เกิดขึ้นได้.
สถานการณ์กำลังเป็นดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วก่อนการรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 และชะงักลงเพราะการรัฐประหาร และถูกบ่มเพาะให้ฟื้นคืนขึ้นมาใหม่โดยผลงานอภิมหาบรรลัยของรัฐบาลเต่า
สถานการณ์ในวันนี้คือการต่อสู้สองกระแส ระหว่างความพยายามฟื้นอำนาจพรรคไทยรักไทยเพื่อครองแผ่นดินอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กับความพยายามที่จะทำลายล้างอำนาจนั้นให้สิ้นซาก ปรากฏการณ์ทั้งปวงล้วนเป็นเรื่องปลีกย่อยหรือมายาภาพ หรือเป็นสิ่งประกอบของสถานการณ์ใหญ่ดังกล่าวนี้เท่านั้น
ดังนั้นประชาชนชาวไทยทั้งประเทศที่รักชาติบ้านเมืองและหวังให้แผ่นดินอยู่เย็นเป็นสุข จึงต้องเข้าใจสถานการณ์ให้ถูกต้องถ่องแท้ มิฉะนั้นก็จะไขว้เขวสับสนและมึนงง
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าสถานการณ์ใหญ่ของประเทศขณะนี้คือความพยายามฟื้นอำนาจพรรคไทยรักไทยเพื่อครองแผ่นดินอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กับความพยายามที่จะทำลายล้างอำนาจนั้นให้สิ้นซาก
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวนี้มันได้ชักพาประชาชนชาวไทยหลายสิบล้านคนเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้ง และพร้อมที่จะประหัตประหารกันในอนาคต เว้นแต่จะถูกหยุดยั้งเสียได้ทันท่วงทีก่อนที่จะสายเกินแก้
รัฐบาลหุ่นหรือรัฐบาลนอมินีกำลังกระชับอำนาจอย่างหน้ามืดตามัว กำลังสอยข้าราชการออกจากตำแหน่งอย่างกว้างขวาง สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงไปทั่วทุกหน่วยงาน เพื่อเอาพวกพ้องของตนเองเข้าไปครองอำนาจ
จับตาดูให้ดีตรงที่การฟื้นฟูรัฐตำรวจ เพราะตรงนี้จะเป็นชนวนระเบิดใหญ่ เช่นเดียวกับเหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างจอมตำรับรัฐตำรวจ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ กับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
มันเป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะซ้ำรอยเหตุการณ์ก่อนเกิด รสช. ที่คนกลุ่มหนึ่งพยายามสร้างกองทัพตำรวจเพื่อเป็นฐานกำลังอำนาจยันกับฝ่ายทหาร และเหิมเกริมถึงขนาดย่ำยีและดักฟัง ตลอดจนติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายทหาร
การฟื้นอำนาจพรรคไทยรักไทยกำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก ในขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็กำลังฟื้นคืนการเคลื่อนไหวในขอบเขตที่กว้างใหญ่ทั่วประเทศเช่นเดียวกัน ภายใต้การชี้นำการต่อสู้ครั้งนี้ว่า “ทุกรูปแบบและถึงที่สุด”
องค์กรประชาชนต่างๆ กำลังจับกลุ่มกันเชื่อมโยงประสานกันอย่างกว้างขวาง และกำลังปรึกษาหารือกันว่ากลุ่มของตนจะต่อสู้ทุกรูปแบบในแบบใดที่เหมาะสมที่สุดและมีประสิทธิผลมากที่สุด และที่ว่าจะต่อสู้จนถึงที่สุดนั้น ถึงที่สุดแค่ไหน
คือตีงูให้กากินแบบที่เคยเป็นมาตลอดระยะเวลา 60 ปีหรือว่าจะถึงที่สุดโดยมีเป้าหมายในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในอนาคตด้วย
ในขณะเดียวกัน เครือข่ายของรัฐบาลหุ่นก็ขยายงานมวลชนและกระชับอำนาจรัฐอย่างหนักหน่วง แต่ส่วนใหญ่ก็คงเป็นเรื่องกระชับอำนาจรัฐ โดยจะมุ่งเน้นที่ความเร่งด่วน 3 ขั้นตอนคือการสะสางปัญหาเก่าและคดีความ ขั้นตอนการฟื้นฟูรัฐตำรวจ และขั้นสุดท้ายคือการคุมกำลังทหารเพื่อการครองแผ่นดินในที่สุด
คนจำนวนหนึ่งคิดว่าการได้อำนาจรัฐแล้วจะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับได้แผ่นดินนี้มาครอบครองเป็นของตนเองแล้ว นี่คือสิ่งที่คนพวกนี้ไม่เข้าใจ และเป็นเหตุให้มีการรัฐประหารมาครั้งหนึ่งแล้ว หากไม่เข้าใจเรื่องนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะเกิดกลียุคจากการเผชิญหน้าและประหัตประหารกันของประชาชนคนไทยด้วยกันเท่านั้น ยังจะนำพาชาติบ้านเมืองให้ถอยหลังเข้าคลองครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
และคราวนี้มันคงไม่ใช่เรื่องหน่อมแน้ม เหลวไหล เลอะเทอะ
อีกต่อไปแล้ว
อันธรรมดาการเดินหมากรุกนั้น หากคิดคนเดียว เดินคนเดียว จะคิดอย่างไรก็ได้ จะเดินอย่างไรก็ได้ แม้กระนั้นแล้วบางทีก็ยังมีความพลิกผันพลาดพลั้งเกิดขึ้นได้ แล้วสำมะหาอะไรกับเหตุการณ์บ้านเมืองซึ่งไม่ใช่เรื่องที่คิดคนเดียวได้หรือทำคนเดียวได้ หากยังมีความผันแปรพลิกแพลงมากมายสุดคณานับ
เงินนั้นมีอำนาจและพลานุภาพมากก็จริง แต่บางครั้งเงินก็ทำอะไรไม่ได้ทุกสิ่ง ดังที่มีคำพังเพยไว้ว่า “เงินซื้อใครได้จริงทุกสิ่งหรือ ค่าเงินซื้อได้จริงเพียงสิ่งของ”
คนบางคนเงินซื้อได้ แต่คนบางคนเงินก็ซื้อไม่ได้ คนบางคนให้อำนาจวาสนาก็สามารถช่วงใช้ได้ แต่คนบางคนอำนาจวาสนาก็ไม่สามารถเป็นสิ่งล่อใจให้เขากลายเป็นทาสได้ ดังนั้นคนจึงเป็นความผันแปรในประการสำคัญ
ขงเบ้งเคยวิพากษ์วิถีขุนพลไว้ว่า ในประวัติศาสตร์ขุนพลที่ใช้กำลังมากชนะกำลังน้อยก็มีอยู่ ที่ใช้แข็งเอาชนะอ่อนก็มีอยู่ ที่ใช้กลอุบายเอาชนะศึกก็มีอยู่ แต่ที่จะใช้พลังในจักรวาลเอาชนะในศึกสงครามก็มีแต่ตัวเราเท่านั้น
โลซกสงสัยจึงซักถามขงเบ้งว่า ที่ว่าพลังในจักรวาลนั้นคือสิ่งใด
ขงเบ้งตอบว่า เมื่อครั้งยุทธการทุ่งพกบ๋อง เราใช้ไฟเผาทหารสิบหมื่นของโจโฉ ไฟมียุทธานุภาพมากกว่าทหารสิบหมื่นของโจโฉ เมื่อครั้งยุทธการแม่น้ำแปะโห เราใช้น้ำท่วมทหารโจโฉเสียสิบหมื่น น้ำมียุทธานุภาพมากกว่ากำลังทหารสิบหมื่นของโจโฉ
และยังอธิบายเพิ่มเติมได้ด้วยว่า เมื่อครั้งที่ขงเบ้งอาสาจิวยี่ใช้กลอุบายไปลวงเอาเกาทัณฑ์จากกองทัพเรือโจโฉกว่าสิบหมื่นดอกนั้น ก็ได้อาศัยหมอกบังตาทหารโจโฉให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นการยกกองทัพเรือเข้าโจมตี เป็นเหตุให้โจโฉสั่งยิงเกาทัณฑ์สกัด ดังนี้หมอกก็มียุทธานุภาพสามารถปิดตาทหารร้อยหมื่นของโจโฉได้
ขงเบ้งอธิบายว่า ไฟ น้ำ หมอก เมฆ ดาว เดือน ความมืด ความสว่าง ความกลัว ความกล้า ความศรัทธา ล้วนเป็นพลังในจักรวาลที่สามารถใช้ในการศึกได้ทั้งสิ้น
และก็เพราะพลังในจักรวาลไม่ใช่หรือ มวลมหาประชาชนกว่าสิบล้านคนจึงเคยลงคะแนนเสียง no vote ในการเลือกตั้งให้เห็นมาแล้ว และก็เพราะพลังในจักรวาลไม่ใช่หรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ไม่มีทั้งเงินและอาวุธกลับสามารถระดมมวลชนได้ร่วม 500,000 คนในการเดินขบวนขับไล่อำนาจรัฐ
ปรากฏการณ์เสื้อเหลืองก็คือปรากฏการณ์หนึ่งของพลังในจักรวาลที่ก่อตัวจากพลังศรัทธาของมวลมหาประชาราษฎร์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เหล่านี้คือความผันแปรอย่างหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ และสามารถทำลายล้างการวางแผนหรือการคิดอ่านที่ไม่เคารพธรรม ไม่ตั้งอยู่ในธรรม และไม่ถือธรรมเป็นใหญ่ให้พินาศไปได้
หลายคืนก่อนอาการป่วยยังมากอยู่ นอนไม่ค่อยหลับ จึงลุกมาดูรายการยามเฝ้าแผ่นดินของคุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ยินการยกเอาเรื่องธรรมาธรรมะสงคราม และผลการต่อสู้ของจอมเทพแห่งอธรรมกับจอมเทพแห่งธรรม อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ก็มีความปีติบังเกิดขึ้นกับใจ
เป็นปีติที่เกิดขึ้นว่า สัจธรรม โลกธรรม และกฎแห่งธรรมอันไม่อาจผันแปรได้นั้นก็คือธรรมย่อมชนะอธรรมในที่สุดเสมอ มีแต่ผู้ที่กรรมบังตาเท่านั้นที่มองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจในเรื่องนี้
แม้ในเบื้องต้นจะดูประหนึ่งว่ากำลังอธรรมเข้มแข็ง แต่ผลที่สุดอธรรมก็ต้องพินาศ
แม้ในเบื้องต้นเหตุผลของฝ่ายอธรรมจะดูเข้าท่า แต่ในที่สุดก็ไม่เป็นเหตุเป็นผลอะไรแก่กันเลย ดังเช่นเหตุผลของคำสอนบางตอนของจอมเทพแห่งอธรรมที่ว่า
“ยามจนจะทนยาก จะลำบากไปไยมี พึงปองข้าวของดี ณ ผู้อื่นอันเก็บงำ”
ซึ่งเป็นคำสอนที่หมายความว่า คนจนจะลำบากไปทำไม ให้ไปปล้นชิงข้าวของคนอื่นจะดีกว่า
แล้วมาดูความเป็นจริงในบ้านเมืองขณะนี้ ถ้อยคำพูดที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรมนั้น แม้จะดูว่าเป็นเหตุผลพอไปได้ แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องเหลวไหลผายลมทั้งนั้น
เช่น เหตุผลการย้ายอธิบดีกรมดีเอสไอว่าให้ไปทำงานในหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ทั้งๆ ที่ไม่มีกฎหมายรองรับว่ามีหน่วยงานนี้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาโดยไม่ครบองค์ประชุม หรือเหตุผลการย้ายเลขาธิการ อย. แล้วเอาคนที่เคยถูกสอบสวนเรื่องการทุจริตในการจัดซื้อคอมพิวเตอร์มาทำหน้าที่แทน หรือการย้ายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ว่าให้ไปทำสถานีโทรทัศน์อาเชียน เป็นต้น
การกระทำเช่นนี้ยิ่งทำมากเท่าใดก็เหมือนจุดไฟไว้ในบ้านมากขึ้นเท่านั้น ลมโชยมาหน่อยเดียวมีหรือที่ไฟจะไม่ไหม้บ้านจนพินาศสิ้น
ข้าราชการทั้งประเทศจึงไม่มีทางที่จะทนยอมเป็นโต๊ะเก้าอี้ให้ถูกโยนขว้างไปไหนตามอำเภอใจได้อีกต่อไปแล้ว เพราะถ้าขืนปล่อยไปในที่สุดก็เหมือนกับกรณีที่ยุโรปเคยเพิกเฉยให้ฮิตเลอร์รุกรานบางประเทศเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง จนในที่สุดทุกประเทศก็ต้องเดือดร้อนด้วยกันหมด
ข้าราชการทั้งประเทศจึงมีแต่ต้องร่วมมือกัน ผนึกกำลังกันต่อต้านระบบอันธพาลครองเมือง ต่อสู้กับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมทุกรูปแบบจนถึงที่สุด
คอยดูกันให้ดีๆ การต่อสู้ของข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นแบบอย่างของการต่อสู้ให้กับข้าราชการไทยในท่ามกลางกระแสความขัดแย้งใหญ่ต่อไป
ต้องขอตำหนิฝ่ายบริหารที่ไม่น้อมใจรับฟังความรู้สึกนึกคิดของข้าราชการและที่ต้องประณามก็คือการท้าทายให้ข้าราชการถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นเรื่องมิบังควรเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือเหตุการณ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทยที่รัฐมนตรีท้าทายให้ข้าราชการถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะนี่คือการไม่ถวายความเคารพสักการะต่อองค์พระประมุขของชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาถึงพฤติกรรมดังกล่าวว่าเหมาะสมและสมควรหรือไม่ แล้วจะจัดการอย่างไร
การกระชับอำนาจรัฐกำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก การเช็กบิลข้าราชการก็ดำเนินไปอย่างคึกคัก
การโยกย้ายพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ อาจจะเป็นการเริ่มต้นเช็กบิล คมช. ตรงจุดที่อ่อนที่สุดก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นการประลองกำลังครั้งแรกระหว่างนายกฯ ในทำเนียบ กับนายกฯ นอกทำเนียบก็ได้
ติดตามดูกันให้ใกล้ชิด สถานการณ์จะชี้ไปทางไหน ให้สังเกตดูจากใครมาแทนพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ว่าเป็นนายตำรวจที่มีความใกล้ชิดกับนายกฯ นอกทำเนียบหรือไม่
การก่อตัวและการเคลื่อนตัวของข้าราชการไทยทั่วประเทศกำลังก่อเกิดเป็นพลังในจักรวาลอีกกลุ่มก้อนหนึ่ง
การก่อตัวและการเคลื่อนตัวของกลุ่ม “ส” ในพรรคพลังประชาชนและในพรรคร่วมรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นตัวของตัวเอง และทำหน้าที่เป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สมบูรณ์ ก็เป็นพลังในจักรวาลอีกกลุ่มก้อนหนึ่ง
สำหรับภาคประชาชนก็เป็นพลังในจักรวาลอีกกลุ่มก้อนหนึ่ง โดยในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมมีภารกิจ 2 ประการคือ
ด้านหนึ่ง คือการติดตามดูสถานการณ์ที่กลุ่มพลังในจักรวาลต่างๆ ได้ก่อตัวและขับเคลื่อนไปในทางที่จะผันแปรพลิกพลิ้วสถานการณ์การเมืองไทยให้ใกล้ชิด และสนับสนุนความถูกต้อง ความเป็นธรรม เพื่อความสงบร่มเย็นและความรุ่งเรืองของบ้านเมือง
อีกด้านหนึ่ง คือการเกาะกลุ่มรวมตัวกันแล้วปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิดว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร จะทำอะไรกันอย่างไรที่จะได้ผลที่สุดในการรักษาชาติบ้านเมืองให้มีความสงบร่มเย็น และจะทำให้ถึงที่สุดอย่างไร
มีแต่ต้องเกาะกลุ่มรวมตัวกัน เชื่อมโยงกันและก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้องอย่างพร้อมเพรียงกันเท่านั้น ชาติบ้านเมืองของเราจึงจะอยู่รอดได้และจะป้องกันกลียุคไม่ให้เกิดขึ้นได้.