.
ดูข่าวคุณสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไม่พอใจที่นักข่าวตั้งคำถามในทำนองว่า ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีสองคน แล้วอดสงสารลุงหมักไม่ได้ครับ เพราะลุงแกพยายามจะตอบจะชี้แจงอย่างไร ว่าแกเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงถูกต้องตามกฎหมาย ผู้สื่อข่าวก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อน้ำคำของลุงแกเสียเลย
แถมตอนนี้ผู้สื่อข่าวพากันไปมะรุมมะตุ้มทักษิณกันหมด สำนักข่าวต่างประเทศยังต้องซูฮกว่า กลับมาเที่ยวนี้ ทักษิณยิงแผนการตลาดปูพรมออกมาเป็นชุดๆ ยึดพื้นที่ข่าวมาเป็นของตัวเองเสียเกือบหมด
ขนาดลุงหมักต้องยืนยันกับ คริสโตเฟอร์ ฮิลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ด้านกิจการเอเชียและแปซิฟิก ว่า “Today is my day วันนี้ คือ วันของผมที่เป็นนายกรัฐมนตรี”
บอกตรงๆครับ เห็นภาพลุงหมักแบบนี้แล้ว แม้ผมจะเป็นคนออกไปทางไม่ค่อยชอบลีลาแบบชิมไปบ่นไปของลุงหมักมาก่อน ก็อดจะสงสารลุงแกไม่ได้ และว่าไปแล้วที่ผมไม่ค่อยชอบลุงหมักก็คือ เรื่องราวของเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่ลุงหมักยืนยันนอนยันและเถียงยันว่า "ศพเดียว"นั่นแหละ
เอาเถอะครับมาถึงขนาดนี้แล้ว คนเดือนตุลาที่ผ่านความเป็นความตายเอาชีวิตรอดมาได้ วันนี้ก็ร่วมหัวจมท้ายกับลุงหมักแกแล้ว ผมยังได้ยินลุงหมักพูดถึงพรรคพลังประชาชนที่แกเป็นหัวหน้าพรรค(จริงๆนะ) ว่า ระหว่างแกที่เป็นขวาสุดขอบกับหมอเลี๊ยบที่เป็นซ้ายสุดขอบก็ยังมารวมกันได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นคนไม่ได้ผ่าน 6 ตุลา เพราะยังละอ่อนอย่างผมก็คงต้องทำใจหันมาเชียร์ลุงหมักสู้ๆกับเขาด้วยคน
และถ้าจะว่าไปแล้ว ลุงหมักไม่ได้มีคุณสมบัติด้อยกว่าทักษิณตรงไหนเลย นอกเสียจากจนกว่าและคนใช้กับคนขับรถที่บ้านลุงหมักไม่ได้รวยเหมือนคนใช้กับคนขับรถที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ครอบครัวลุงหมักก็เป็นแบบอย่างครอบครัวนักการเมืองที่ดี ลุงหมักเล่นการเมืองมาทั้งชีวิตไม่เคยเห็นลูกเมียออกยุ่มย่ามออกนอกหน้าให้เอิกเกริกเลย
เท่าที่เห็น ลุงหมักแกเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่ชอบอบรมบ่มนิสัยลูกหลานนักข่าว เป็นคนหยิบเรื่องราวต่างๆมาเปรียบเปรยอุปมาอุปไมยได้แบบหาตัวจับยาก รอบรู้เรื่องเก่าหยิบมาเล่าใหม่ได้สนุกสนานไม่แพ้ใคร
และผมว่าแกเป็นคนใช้ได้ตั้งแต่ออกมาปรามลูกพรรค รัฐมนตรีในพรรคว่าอย่างแห่แหนกันไปต้อนรับทักษิณกันจนเกินงาม แม้ว่า ใครต่อใครในพรรคจะไม่ฟังลุงหมักก็ต้องถือว่า ลุงหมักเป็นคนที่รู้เรื่องกาละเทศะอย่างน่านับถือ
ผมนั่งอ่านรายงานพิเศษของ "คมชัดลึก"เรื่อง ผ่าแผนรปภ.ทักษิณ คุ้มกันเข้มยิ่งกว่าไข่ในหิน แล้วอดจะนึกย้อนถึงคำเตือนของลุงหมักไม่ได้
คมชัดลึกบอกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้กองร้อยควบคุมฝูงชน กองบังคับตำรวจปฏิบัติการพิเศษ(191) 150 นาย กระจายกำลังอยู่รอบโรงแรมที่พัก หน่วยอรินทราชอีก 2 ผลัดๆละ 12 นาย มีการนำคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับกรมการขนส่งทางบกมาสนับสนุนเพื่อตรวจสอบป้ายทะเบียน สี รถทุกรุ่นที่เข้าออก ว่าต้องตรงกับข้อมูลทะเบียนรถจนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยไม่ได้เลย
นอกจากนั้นยังมีการเตรียมพร้อมเฮลิคอปเตอร์ที่จะเดินทางมาถึงดาดฟ้าภายใน 5 นาที ตำรวจน้ำพร้อมเรือเร็วมาคอยลาดตระเวณบริเวณหน้าโรงแรม ไม่ต้องบอกว่ามีตำรวจสันติบาลนอกเครื่องแบบอีกเท่าไหร่ที่ถูกวางไว้ในแผนการอารักขาอดีตทั่นผู้นำ
ผมว่า ลุงหมักที่รู้ประมาณตนก็อาจจะรู้สึกอยู่ลึกๆ พอนักข่าวถามลุงหมักว่า เมื่อไหร่จะเจอกับทักษิณ ลุงแกเลยไม่ค่อยจะเอ็นจอยนัก
"ไม่ต้องมาถามว่าจะไปหาอดีตนายกฯเมื่อไหร่ คนสองคนเจอกันก็เป็นข่าว ต่างคนต่างอยู่ก็ อดีตนายกฯกลับมาก็ยินดี ไม่ต้องไปตามหรือไปหา ผมจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่คนที่ยุ่งคือสื่อมวลชน"ลุงหมักว่า
ผมว่า ลุงหมักทำถูกแล้วครับ ชัดถ้อยชัดคำชัดความ ขืนวิ่งไปหาทักษิณ คนเป็นถึงนายกรัฐมนตรีก็จะถูกนินทาว่า เป็นนอมินีไม่สิ้นสุด
เพราะขนาดสื่อต่างประเทศที่ข้ามน้ำข้ามแดนมาจากทั่วโลกก็ยังพากันเชื่ออย่างไม่เคลือบแคลงว่า หัวหน้าพรรคตัวจริงก็คือ ทักษิณ นี่ขนาดทักษิณวิงวอนกับสื่อครั้งแล้วครั้งเล่าว่า แกเลิกเล่นการเมืองแล้ว ไม่เอาแล้วถอยดีกว่า ก็ยังไม่เชื่อทั้งสื่อไทยสื่อฝรั่ง
แต่ลุงหมักอย่าไปน้อยใจสื่อเขาเลยครับ เพราะคนรุ่นเก่าที่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรมอย่างลุงหมักต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่า ที่ทักษิณพูดแล้วสื่อไม่เชื่อนั้น เพราะเป็นเรื่องกรรมเก่าของทักษิณนั่นเอง
ผมคิดว่าทางออกเดียวของลุงหมักก็คือ ต้องแสดงความเป็นตัวเองออกมาให้มากขึ้นไปอีก เป็นลุงหมักคนที่ตรงไปตรงมาไม่ยอมลดราวาศอกให้ใคร
อย่างน้อยรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ชัดว่า ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีได้เพียงคนเดียว มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฝ่ายค้านเป็นนายกรัฐมนตรีเงาคอยเกาหลังก็พอทำเนา นี่พอทักษิณกลับมาสื่อก็พยายามสร้างภาพให้เห็นว่า เป็นนายกรัฐมนตรีซ้อนเข้าไปอีก
ดังนั้นผมจึงคิดว่า เพื่อไม่ให้สับสน ต่อไปให้เข้าใจว่า ถ้าเอ่ยชื่อ สมัคร สุนทรเวช ให้หมายถึงนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าเอยชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ก็ให้เข้าใจกันว่า เป็นนายกรัฐมนโท แม้จะข่มกันอยู่นิดๆเหลื่อมๆกันหน่อยๆ ผมคิดว่านี่จะทำให้ลุงหมักสบายใจ ไม่ต้องกวนใจเรื่อง นายกรัฐมนตรีซ้อนอีกต่อไป
นอกจากนี้ เราต้องส่งกำลังใจให้ลุงหมักมากๆ เพราะว่าไปแล้ว เมื่อทักษิณกลับมาลุงหมักของผมก็กลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ แถมตอนนี้รัฐมนตรีที่ร่วมรัฐบาลก็พยายามสร้างภาพให้ลุงหมักเป็นยักษ์เป็นมาร แข่งกันเด็ดหัวข้าราชการประจำเพื่อสังเวยการกลับมาของทักษิณ แต่ความหนักอึ้งตกอยู่บนบ่าของลุงหมักคนเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเด้ง พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ ที่ลุงหมักจำใจต้องเซ็นสั่งย้ายด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพราะเป็นตำแหน่งที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
และดูเหมือนว่า ความถูกต้องชอบธรรมจะถูกมองข้าม ทุกคนบอกว่า เป็นเรื่องปกติของรัฐบาลใหม่ แม้กระทั่งสื่อมวลชนก็ใบ้แบะๆกลับมาสู่ยุคที่เรียกว่า เซ็นเซอร์ตัวเองกันแล้ว ในจอทีวีก็มีแต่สื่ออมพะนำเต็มไปหมด
ผมจึงรู้สึกสงสารข้าราชการที่ถูกมองว่า เป็นผลผลิตของอำมาตยธิปไตยและเป็นส่วนเกินของประชาธิปไตย และสงสารประเทศไทยไปพร้อมกัน
ผมสงสาร พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เพราะนอกจากจะถูกตั้งกรรมการสอบพ่วงด้วยแล้ว สื่อบางค่ายก็ไม่ค่อยชอบแก ดังนั้นไม่ว่าการย้ายจะถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ก็ตาม ก็คงหาความเห็นอกเห็นใจจากสื่อค่ายนั้นๆได้ยาก ถ้าไม่ถูกเตะตามน้ำซ้ำเข้าอีกก็ต้องถือว่าบุญหัวโขแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่า ผมสงสารลุงหมักมากกว่าใครอยู่ดี
“เขาเสนอมาดุเดือดเลือดพล่าน 1 2 3 ผมเลือกอันที่สามที่เบาที่สุด รักษาไมตรีไว้ดีที่สุด และคุณเสรีพิสุทธิ์ก็ปลอดภัยที่สุด ผมเคยเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจมาก่อน สมัยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พอมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ดูตำรวจอีก ผมป้องกันผู้ใต้บังคับบัญชา เขาเสนอมา 1 2 3 มันแรง ผมก็เอาเบาที่สุด เพื่อที่ไม่มีอะไรจะได้จบกันอย่างดีเท่านั้นเอง”ลุงหมักว่า
ไม่รู้ใครนะครับที่ใหญ่ถึงขนาดสั่งนายกรัฐมนตรีได้
สู้นะครับ ลุงหมักผมจะเอาใจช่วย
ดูข่าวคุณสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไม่พอใจที่นักข่าวตั้งคำถามในทำนองว่า ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีสองคน แล้วอดสงสารลุงหมักไม่ได้ครับ เพราะลุงแกพยายามจะตอบจะชี้แจงอย่างไร ว่าแกเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงถูกต้องตามกฎหมาย ผู้สื่อข่าวก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อน้ำคำของลุงแกเสียเลย
แถมตอนนี้ผู้สื่อข่าวพากันไปมะรุมมะตุ้มทักษิณกันหมด สำนักข่าวต่างประเทศยังต้องซูฮกว่า กลับมาเที่ยวนี้ ทักษิณยิงแผนการตลาดปูพรมออกมาเป็นชุดๆ ยึดพื้นที่ข่าวมาเป็นของตัวเองเสียเกือบหมด
ขนาดลุงหมักต้องยืนยันกับ คริสโตเฟอร์ ฮิลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ด้านกิจการเอเชียและแปซิฟิก ว่า “Today is my day วันนี้ คือ วันของผมที่เป็นนายกรัฐมนตรี”
บอกตรงๆครับ เห็นภาพลุงหมักแบบนี้แล้ว แม้ผมจะเป็นคนออกไปทางไม่ค่อยชอบลีลาแบบชิมไปบ่นไปของลุงหมักมาก่อน ก็อดจะสงสารลุงแกไม่ได้ และว่าไปแล้วที่ผมไม่ค่อยชอบลุงหมักก็คือ เรื่องราวของเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่ลุงหมักยืนยันนอนยันและเถียงยันว่า "ศพเดียว"นั่นแหละ
เอาเถอะครับมาถึงขนาดนี้แล้ว คนเดือนตุลาที่ผ่านความเป็นความตายเอาชีวิตรอดมาได้ วันนี้ก็ร่วมหัวจมท้ายกับลุงหมักแกแล้ว ผมยังได้ยินลุงหมักพูดถึงพรรคพลังประชาชนที่แกเป็นหัวหน้าพรรค(จริงๆนะ) ว่า ระหว่างแกที่เป็นขวาสุดขอบกับหมอเลี๊ยบที่เป็นซ้ายสุดขอบก็ยังมารวมกันได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นคนไม่ได้ผ่าน 6 ตุลา เพราะยังละอ่อนอย่างผมก็คงต้องทำใจหันมาเชียร์ลุงหมักสู้ๆกับเขาด้วยคน
และถ้าจะว่าไปแล้ว ลุงหมักไม่ได้มีคุณสมบัติด้อยกว่าทักษิณตรงไหนเลย นอกเสียจากจนกว่าและคนใช้กับคนขับรถที่บ้านลุงหมักไม่ได้รวยเหมือนคนใช้กับคนขับรถที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ครอบครัวลุงหมักก็เป็นแบบอย่างครอบครัวนักการเมืองที่ดี ลุงหมักเล่นการเมืองมาทั้งชีวิตไม่เคยเห็นลูกเมียออกยุ่มย่ามออกนอกหน้าให้เอิกเกริกเลย
เท่าที่เห็น ลุงหมักแกเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่ชอบอบรมบ่มนิสัยลูกหลานนักข่าว เป็นคนหยิบเรื่องราวต่างๆมาเปรียบเปรยอุปมาอุปไมยได้แบบหาตัวจับยาก รอบรู้เรื่องเก่าหยิบมาเล่าใหม่ได้สนุกสนานไม่แพ้ใคร
และผมว่าแกเป็นคนใช้ได้ตั้งแต่ออกมาปรามลูกพรรค รัฐมนตรีในพรรคว่าอย่างแห่แหนกันไปต้อนรับทักษิณกันจนเกินงาม แม้ว่า ใครต่อใครในพรรคจะไม่ฟังลุงหมักก็ต้องถือว่า ลุงหมักเป็นคนที่รู้เรื่องกาละเทศะอย่างน่านับถือ
ผมนั่งอ่านรายงานพิเศษของ "คมชัดลึก"เรื่อง ผ่าแผนรปภ.ทักษิณ คุ้มกันเข้มยิ่งกว่าไข่ในหิน แล้วอดจะนึกย้อนถึงคำเตือนของลุงหมักไม่ได้
คมชัดลึกบอกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้กองร้อยควบคุมฝูงชน กองบังคับตำรวจปฏิบัติการพิเศษ(191) 150 นาย กระจายกำลังอยู่รอบโรงแรมที่พัก หน่วยอรินทราชอีก 2 ผลัดๆละ 12 นาย มีการนำคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับกรมการขนส่งทางบกมาสนับสนุนเพื่อตรวจสอบป้ายทะเบียน สี รถทุกรุ่นที่เข้าออก ว่าต้องตรงกับข้อมูลทะเบียนรถจนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยไม่ได้เลย
นอกจากนั้นยังมีการเตรียมพร้อมเฮลิคอปเตอร์ที่จะเดินทางมาถึงดาดฟ้าภายใน 5 นาที ตำรวจน้ำพร้อมเรือเร็วมาคอยลาดตระเวณบริเวณหน้าโรงแรม ไม่ต้องบอกว่ามีตำรวจสันติบาลนอกเครื่องแบบอีกเท่าไหร่ที่ถูกวางไว้ในแผนการอารักขาอดีตทั่นผู้นำ
ผมว่า ลุงหมักที่รู้ประมาณตนก็อาจจะรู้สึกอยู่ลึกๆ พอนักข่าวถามลุงหมักว่า เมื่อไหร่จะเจอกับทักษิณ ลุงแกเลยไม่ค่อยจะเอ็นจอยนัก
"ไม่ต้องมาถามว่าจะไปหาอดีตนายกฯเมื่อไหร่ คนสองคนเจอกันก็เป็นข่าว ต่างคนต่างอยู่ก็ อดีตนายกฯกลับมาก็ยินดี ไม่ต้องไปตามหรือไปหา ผมจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่คนที่ยุ่งคือสื่อมวลชน"ลุงหมักว่า
ผมว่า ลุงหมักทำถูกแล้วครับ ชัดถ้อยชัดคำชัดความ ขืนวิ่งไปหาทักษิณ คนเป็นถึงนายกรัฐมนตรีก็จะถูกนินทาว่า เป็นนอมินีไม่สิ้นสุด
เพราะขนาดสื่อต่างประเทศที่ข้ามน้ำข้ามแดนมาจากทั่วโลกก็ยังพากันเชื่ออย่างไม่เคลือบแคลงว่า หัวหน้าพรรคตัวจริงก็คือ ทักษิณ นี่ขนาดทักษิณวิงวอนกับสื่อครั้งแล้วครั้งเล่าว่า แกเลิกเล่นการเมืองแล้ว ไม่เอาแล้วถอยดีกว่า ก็ยังไม่เชื่อทั้งสื่อไทยสื่อฝรั่ง
แต่ลุงหมักอย่าไปน้อยใจสื่อเขาเลยครับ เพราะคนรุ่นเก่าที่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรมอย่างลุงหมักต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่า ที่ทักษิณพูดแล้วสื่อไม่เชื่อนั้น เพราะเป็นเรื่องกรรมเก่าของทักษิณนั่นเอง
ผมคิดว่าทางออกเดียวของลุงหมักก็คือ ต้องแสดงความเป็นตัวเองออกมาให้มากขึ้นไปอีก เป็นลุงหมักคนที่ตรงไปตรงมาไม่ยอมลดราวาศอกให้ใคร
อย่างน้อยรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ชัดว่า ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีได้เพียงคนเดียว มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฝ่ายค้านเป็นนายกรัฐมนตรีเงาคอยเกาหลังก็พอทำเนา นี่พอทักษิณกลับมาสื่อก็พยายามสร้างภาพให้เห็นว่า เป็นนายกรัฐมนตรีซ้อนเข้าไปอีก
ดังนั้นผมจึงคิดว่า เพื่อไม่ให้สับสน ต่อไปให้เข้าใจว่า ถ้าเอ่ยชื่อ สมัคร สุนทรเวช ให้หมายถึงนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าเอยชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ก็ให้เข้าใจกันว่า เป็นนายกรัฐมนโท แม้จะข่มกันอยู่นิดๆเหลื่อมๆกันหน่อยๆ ผมคิดว่านี่จะทำให้ลุงหมักสบายใจ ไม่ต้องกวนใจเรื่อง นายกรัฐมนตรีซ้อนอีกต่อไป
นอกจากนี้ เราต้องส่งกำลังใจให้ลุงหมักมากๆ เพราะว่าไปแล้ว เมื่อทักษิณกลับมาลุงหมักของผมก็กลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ แถมตอนนี้รัฐมนตรีที่ร่วมรัฐบาลก็พยายามสร้างภาพให้ลุงหมักเป็นยักษ์เป็นมาร แข่งกันเด็ดหัวข้าราชการประจำเพื่อสังเวยการกลับมาของทักษิณ แต่ความหนักอึ้งตกอยู่บนบ่าของลุงหมักคนเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเด้ง พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ ที่ลุงหมักจำใจต้องเซ็นสั่งย้ายด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพราะเป็นตำแหน่งที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
และดูเหมือนว่า ความถูกต้องชอบธรรมจะถูกมองข้าม ทุกคนบอกว่า เป็นเรื่องปกติของรัฐบาลใหม่ แม้กระทั่งสื่อมวลชนก็ใบ้แบะๆกลับมาสู่ยุคที่เรียกว่า เซ็นเซอร์ตัวเองกันแล้ว ในจอทีวีก็มีแต่สื่ออมพะนำเต็มไปหมด
ผมจึงรู้สึกสงสารข้าราชการที่ถูกมองว่า เป็นผลผลิตของอำมาตยธิปไตยและเป็นส่วนเกินของประชาธิปไตย และสงสารประเทศไทยไปพร้อมกัน
ผมสงสาร พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เพราะนอกจากจะถูกตั้งกรรมการสอบพ่วงด้วยแล้ว สื่อบางค่ายก็ไม่ค่อยชอบแก ดังนั้นไม่ว่าการย้ายจะถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ก็ตาม ก็คงหาความเห็นอกเห็นใจจากสื่อค่ายนั้นๆได้ยาก ถ้าไม่ถูกเตะตามน้ำซ้ำเข้าอีกก็ต้องถือว่าบุญหัวโขแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่า ผมสงสารลุงหมักมากกว่าใครอยู่ดี
“เขาเสนอมาดุเดือดเลือดพล่าน 1 2 3 ผมเลือกอันที่สามที่เบาที่สุด รักษาไมตรีไว้ดีที่สุด และคุณเสรีพิสุทธิ์ก็ปลอดภัยที่สุด ผมเคยเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจมาก่อน สมัยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พอมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ดูตำรวจอีก ผมป้องกันผู้ใต้บังคับบัญชา เขาเสนอมา 1 2 3 มันแรง ผมก็เอาเบาที่สุด เพื่อที่ไม่มีอะไรจะได้จบกันอย่างดีเท่านั้นเอง”ลุงหมักว่า
ไม่รู้ใครนะครับที่ใหญ่ถึงขนาดสั่งนายกรัฐมนตรีได้
สู้นะครับ ลุงหมักผมจะเอาใจช่วย