นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึง กรณีที่นายวัฒนา เซ่งไพเราะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม พรรคพลังประชาชน ระบุว่าจะเข้าชื่อถอดถอน กกต.เนื่องจากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่ได้สอบปากคำพยาน ปากสุดท้าย เพื่อประกอบการพิจารณาสำนวนร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งของ นายยุงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า ไม่กังวลกับการที่จะถูกถอดถอน เพราะ กกต.ทำหน้าที่เต็มที่แล้ว และไม่คิดว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะพยานที่นายยงยุทธขอให้ กกต.สอบปากคำเพิ่มเติม กกต.ก็สอบปากคำให้แล้ว นอกจากนี้ กกต.ก็ได้นำสำนวนไปศึกษาก่อนลงมตินานถึง 1 สัปดาห์ จึงไม่กังวล เพราะถือว่าเป็นการทำหน้าที่ตามตรงและสมบูรณ์แล้ว โดยให้โอกาสแก่ทุกฝ่ายตามสมควร และเหมาะสมแล้ว
เรื่องการขอสอบปากคำพยานเพิ่ม ได้นำมาพิจารณาในที่ประชุมก่อนลงมติ แล้ว ก็เห็นว่าเมื่อตอนที่นายยงยุทธขอให้สอบปากคำเพิ่ม 1 ปาก เราก็ได้ให้โอกาส ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่นายยงยุทธก็ขอให้ กกต.สอบปากคำเพิ่มอีก 1 ปาก ซึ่งเราเห็นว่าไม่ควรให้สอบสวนเพิ่มแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นเรื่องก็จะไม่จบสิ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าเท่ากับกกต.มองว่าการขอสอบพยานเพิ่มของนายยงยุทธ เป็นความพยายามต้องการยื้อเวลาใช่หรือไม่ นายอภิชาต กล่าวว่า ใช่ เพราะดูแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็น เพราะหลักฐานต่างๆ มีความชัดเจนแล้ว โดยหลักการทำงานของกกต.ก็คล้ายกับศาล ซึ่งไม่สามารถอ้างพยานเพิ่มเติมเรื่อยๆ ได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้านายยงยุทธยังจะอ้างพยานเพิ่มเติม ก็ให้ไปอ้างที่ศาลฎีกาฯ เพราะการพิจารณาของศาลมีความแตกต่างจาก กกต. เนื่องจากกกต. มีเวลาทำงานที่รวบรัด
ส่วนที่มีข่าวว่า นายไชยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย พยานปากสำคัญในสำนวนนายยงยุทธ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และครอบครัวถูกข่มขู่นั้น นายอภิชาต กล่าวว่าการคุ้มครองพยานก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายทั่วไป แต่ไม่มีกฎหมายที่มอบอำนาจให้กกต. จัดความคุ้มครองให้พยานเป็นพิเศษได้ ซึ่งก็เห็นใจ และอยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยรักษาความปลอดภัยให้พยาน เหล่านี้ด้วย ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะไม่สามารถรักษากฎหมายไว้ได้ และไม่มีใครกล้าจะเป็นพยาน
อย่างไรก็ตาม กกต.ได้ประสานเรื่องนี้กับตำรวจอยู่แล้ว เพราะกกต.เอง ก็ต้องมีตำรวจคุ้มครอง ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องและตามหน้าที่ และ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ใครก็สามารถประสบได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่มีความกังวลหลังมีข่าวถูกข่มขู่ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เจ้าหน้าที่ส่งให้เราพิจารณา และไม่จบแค่นี้ เช่น การประชุมครั้งนี้ก็มี 1 เรื่อง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องอะไร
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่าไม่ทราบเรื่อง ที่จะมีการยื่นถอดถอน กกต.ออกจากตำแหน่ง ซึ่งบุคคลที่จะถอดถอนได้คือ ส.ว.เท่านั้น ตนยืนยันว่าการพิจารณาสำนวนของนายยงยุทธ เป็นการทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และพร้อมที่จะเป็นพยานหากศาลฎีกาฯมีหมายเรียก อย่างไรก็ตามสำนวนนายยงยุทธยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการของศาลฎีกา กกต.จะไม่ก้าวก่ายอำนาจศาล และจะปล่อยให้ทั้ง 2 ฝ่ายต่อสู่ทางคดีกันอย่างเต็มที่
ส่วนที่มีบุคคลลึกลับโทรศัพท์ข่มขู่ กกต.นั้น นางสดศรี กล่าวว่า เรื่องการข่มขู่มีอยู่ทุกระยะ ตั้งแต่เข้ามาทำงานก็ถูกข่มขู่ในทุกด้านอยู่แล้ว เช่น บัตรสนเทห์ และการโทรศัพท์มาต่อว่า แต่เมื่อเป็น กกต.แล้ว ก็ต้องทำใจ เพราะรู้ดีว่า เหตุการณ์แบบนี้ ไม่ว่า กกต.จะให้ใบแดงหรือใบเหลือง ก็โดนหมดทั้ง 2 ทาง เพราะการเมืองก็คือการเมือง ที่ไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองถูกหรือผิด ดังนั้นการเป็นกกต. จึงต้องหนักแน่น และมีความอดทนไม่เช่นนั้นก็อยู่ตรงนี้ไม่ได้
กกต.ทุกคน มีความหนักแน่น การเมืองก็คือการเมือง จะไม่มีใครยอมรับว่า มีใครถูกหรือผิด และกกต.อยู่ตรงกลางก็ถูกผลักไปผลักมาอย่างนี้ หากไม่หนักแน่นและอดทน ก็จะอยู่ตรงจุดนี้ไม่ได้ เราทำหน้าที่ดีที่สุด จะโดยข่มขู่และกล่าวหาอย่างไร ก็ต้องอดทน นายสดศรีกล่าวและว่าได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลที่บ้านแล้ว แต่จริงๆ แล้ว อยากให้ตำรวจไปดูแลปากท้องประชาชนมากกว่า
วานนี้ (28 ก.พ.) พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ต่อประธานกกต. เพื่อขอไม่ให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนบางรายเข้ามาจัดทำคำร้องและดำเนินการตามกระบวนการพิจารณาในชั้นศาลฎีกา
ทั้งนี้หนังสือร้องเรียนดังกล่าวอ้างว่า กรรมการสอบสวนฯบางคน มีความใกล้ชิดกับ กกต.เสียงข้างมากที่ให้ใบแดงนายยงยุทธทั้ง 3 คน เช่น 1.นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนและวินิจฉัยชุดที่ 9 มีความใกล้ชิดกับนายสุเมธ อุปนิสากร 2. นายอิสระ หลิมศิริวงษ์ คณะอนุกรรมการไต่สวนและวินิจฉัยคณะที่ 10 ใกล้ชิดกับ นายสุเมธ และนายประพันธ์ นัยโกวิท และ3.พ.ท.จักรกฤช บุปผศิริ ผอ.ฝ่ายสืบสวนที่ 10 ของ กกต.ใกล้ชิดและเป็นหน้าห้องของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ซึ่งจากความใกล้ชิดดังกล่าว เกรงว่าจะทำให้การทำสำนวนคำร้องต่อศาลฎีกาไม่มีความเป็นธรรม
เรื่องการขอสอบปากคำพยานเพิ่ม ได้นำมาพิจารณาในที่ประชุมก่อนลงมติ แล้ว ก็เห็นว่าเมื่อตอนที่นายยงยุทธขอให้สอบปากคำเพิ่ม 1 ปาก เราก็ได้ให้โอกาส ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่นายยงยุทธก็ขอให้ กกต.สอบปากคำเพิ่มอีก 1 ปาก ซึ่งเราเห็นว่าไม่ควรให้สอบสวนเพิ่มแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นเรื่องก็จะไม่จบสิ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าเท่ากับกกต.มองว่าการขอสอบพยานเพิ่มของนายยงยุทธ เป็นความพยายามต้องการยื้อเวลาใช่หรือไม่ นายอภิชาต กล่าวว่า ใช่ เพราะดูแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็น เพราะหลักฐานต่างๆ มีความชัดเจนแล้ว โดยหลักการทำงานของกกต.ก็คล้ายกับศาล ซึ่งไม่สามารถอ้างพยานเพิ่มเติมเรื่อยๆ ได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้านายยงยุทธยังจะอ้างพยานเพิ่มเติม ก็ให้ไปอ้างที่ศาลฎีกาฯ เพราะการพิจารณาของศาลมีความแตกต่างจาก กกต. เนื่องจากกกต. มีเวลาทำงานที่รวบรัด
ส่วนที่มีข่าวว่า นายไชยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย พยานปากสำคัญในสำนวนนายยงยุทธ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และครอบครัวถูกข่มขู่นั้น นายอภิชาต กล่าวว่าการคุ้มครองพยานก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายทั่วไป แต่ไม่มีกฎหมายที่มอบอำนาจให้กกต. จัดความคุ้มครองให้พยานเป็นพิเศษได้ ซึ่งก็เห็นใจ และอยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยรักษาความปลอดภัยให้พยาน เหล่านี้ด้วย ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะไม่สามารถรักษากฎหมายไว้ได้ และไม่มีใครกล้าจะเป็นพยาน
อย่างไรก็ตาม กกต.ได้ประสานเรื่องนี้กับตำรวจอยู่แล้ว เพราะกกต.เอง ก็ต้องมีตำรวจคุ้มครอง ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องและตามหน้าที่ และ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ใครก็สามารถประสบได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่มีความกังวลหลังมีข่าวถูกข่มขู่ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เจ้าหน้าที่ส่งให้เราพิจารณา และไม่จบแค่นี้ เช่น การประชุมครั้งนี้ก็มี 1 เรื่อง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องอะไร
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่าไม่ทราบเรื่อง ที่จะมีการยื่นถอดถอน กกต.ออกจากตำแหน่ง ซึ่งบุคคลที่จะถอดถอนได้คือ ส.ว.เท่านั้น ตนยืนยันว่าการพิจารณาสำนวนของนายยงยุทธ เป็นการทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และพร้อมที่จะเป็นพยานหากศาลฎีกาฯมีหมายเรียก อย่างไรก็ตามสำนวนนายยงยุทธยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการของศาลฎีกา กกต.จะไม่ก้าวก่ายอำนาจศาล และจะปล่อยให้ทั้ง 2 ฝ่ายต่อสู่ทางคดีกันอย่างเต็มที่
ส่วนที่มีบุคคลลึกลับโทรศัพท์ข่มขู่ กกต.นั้น นางสดศรี กล่าวว่า เรื่องการข่มขู่มีอยู่ทุกระยะ ตั้งแต่เข้ามาทำงานก็ถูกข่มขู่ในทุกด้านอยู่แล้ว เช่น บัตรสนเทห์ และการโทรศัพท์มาต่อว่า แต่เมื่อเป็น กกต.แล้ว ก็ต้องทำใจ เพราะรู้ดีว่า เหตุการณ์แบบนี้ ไม่ว่า กกต.จะให้ใบแดงหรือใบเหลือง ก็โดนหมดทั้ง 2 ทาง เพราะการเมืองก็คือการเมือง ที่ไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองถูกหรือผิด ดังนั้นการเป็นกกต. จึงต้องหนักแน่น และมีความอดทนไม่เช่นนั้นก็อยู่ตรงนี้ไม่ได้
กกต.ทุกคน มีความหนักแน่น การเมืองก็คือการเมือง จะไม่มีใครยอมรับว่า มีใครถูกหรือผิด และกกต.อยู่ตรงกลางก็ถูกผลักไปผลักมาอย่างนี้ หากไม่หนักแน่นและอดทน ก็จะอยู่ตรงจุดนี้ไม่ได้ เราทำหน้าที่ดีที่สุด จะโดยข่มขู่และกล่าวหาอย่างไร ก็ต้องอดทน นายสดศรีกล่าวและว่าได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลที่บ้านแล้ว แต่จริงๆ แล้ว อยากให้ตำรวจไปดูแลปากท้องประชาชนมากกว่า
วานนี้ (28 ก.พ.) พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ต่อประธานกกต. เพื่อขอไม่ให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนบางรายเข้ามาจัดทำคำร้องและดำเนินการตามกระบวนการพิจารณาในชั้นศาลฎีกา
ทั้งนี้หนังสือร้องเรียนดังกล่าวอ้างว่า กรรมการสอบสวนฯบางคน มีความใกล้ชิดกับ กกต.เสียงข้างมากที่ให้ใบแดงนายยงยุทธทั้ง 3 คน เช่น 1.นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนและวินิจฉัยชุดที่ 9 มีความใกล้ชิดกับนายสุเมธ อุปนิสากร 2. นายอิสระ หลิมศิริวงษ์ คณะอนุกรรมการไต่สวนและวินิจฉัยคณะที่ 10 ใกล้ชิดกับ นายสุเมธ และนายประพันธ์ นัยโกวิท และ3.พ.ท.จักรกฤช บุปผศิริ ผอ.ฝ่ายสืบสวนที่ 10 ของ กกต.ใกล้ชิดและเป็นหน้าห้องของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ซึ่งจากความใกล้ชิดดังกล่าว เกรงว่าจะทำให้การทำสำนวนคำร้องต่อศาลฎีกาไม่มีความเป็นธรรม