พลันที่สัญญาณสตาร์ทเริ่มขึ้น มอเตอร์ไซค์ทุกคันต่างบิดคันเร่ง และพุ่งทะยานไปข้างหน้า เสียงเชียร์จากผู้ชมรอบทิศเหมือนดังส่งพลังให้สิงห์นักบิดทั้งหลาย ต่างเร่งสปีดกันสุดฤทธิ์ ขับเคี่ยวเพื่อชิงความเป็นเจ้าแห่งความเร็วจนฝุ่นตลบไปทั่วบริเวณ
หลังจากที่ทุกคันต่างผ่านโค้งแรกไปอย่างสวยงาม ก็เริ่มเบียดไล่กัน ผลัดกันแซงผลัดกันนำอย่างตื่นเต้นเร้าใจ.....
ครับ...นั่นคือบรรยากาศการแข่งรถมอเตอร์ไซค์ซิ่ง ที่ไทยแลนด์เซอร์กิตพัทยา สนามแข่งมาตรฐานที่เคร่งครัดกฎกติกา-มารยาท ซึ่งในเมืองไทยเราก็ยังมีอีกหลายสนามแข่ง ที่ต้อนรับนักซิ่งให้มาโชว์ฝีมือกันในกรอบกติกา-มารยาท
แต่ก็ปรากฏว่า ปัญหารถซิ่งกวนเมืองก็ยังไม่จบสิ้น แทบทุกค่ำคืนก็ยังส่งเสียงแผดลั่นสะท้านสะเทือน เพราะการประลองความเร็วกันอย่างบ้าคลั่ง ทำลายความสงบสุขของชาวบ้านชาวเมือง จนเป็นที่เกลียดชังและสาปแช่ง
แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งมนุษย์เห็นแก่ตัวจำพวกนี้ ...ที่นำรถจักรยานยนต์ของตัวไปผ่าท่อ..คว้านเปลี่ยนลูกสูบ..หรือปรับแต่งสารพัด เพื่อให้ “แรง” และ “ดัง” อย่างสุดๆโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของชาวบ้านร้านตลาด ที่ก่นด่าทุกค่ำเช้า
จนดูเหมือนพวกซิ่งจะสะใจอยู่ลึกๆ ที่ได้ระบายความระห่ำของตน ด้วยการทำร้ายจิตใจเพื่อนร่วมสังคม ไม่ให้มีความสงบสุขกัน
โดยเฉพาะผู้คนที่แทบจะประสาทเสีย ตั้งแต่ย่านเกียกกาย พระราม 9 พระราม 7 พระราม3 ถ.วิภาวดีฯ ทั้งสาย กระทั่งแถบบางใหญ่ ...อันมักจะถูกใช้เป็นแหล่งประลองความเร็วอย่างไร้สติ ของนักแข่งเถื่อน ที่บิดกันอย่างสุดแรงด้วยความเร็ว 130-160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือแม้แต่การเร่งสปีดชนิดหลุดโลกถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ซึ่งแน่นอน..ในแต่ละรอบจะมีนักบิดที่ต้องสังเวยชีวิต หรือ ต้องพิการไปชั่วชีวิตอันเป็นภาระแก่สังคมต่อไป แม้ว่าจะเกิดขึ้นเพราะความไร้สติ และบ้าดีเดือดของตนเองแท้ๆ !!!
แม้ผู้พิการบางคนจากเหตุดังกล่าว จะเปลี่ยนใจและระลึกได้ จนหันมาพร่ำเตือนให้สติ แก่เด็กซิ่งรุ่นน้องๆให้หยุดยั้งพฤติกรรมอันเลวร้ายทำลายสังคมนี้เสีย แต่ก็ดูเหมือนพวกน้องทั้งหลายจะ “ไม่ซึ้ง” เอาซะเลย
หรือคงจะรอจนกว่า ตนเองจะต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับรุ่นพี่ผู้เตือนนั่นแหละ จึงอาจจะได้เห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
“ผมไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้แก่สังคมเลย แต่วันนี้กลับต้องมาเป็นภาระให้แก่ผู้อื่น ทั้งต้องช่วยพลิกตัวให้..อาบน้ำให้..แม้แต่ต้องช่วยป้อนข้าวป้อนน้ำ
ผมเคยทำความเดือดร้อนให้กับพ่อแม่ และคนอื่นๆ โดยไม่มีสำนึกรับผิดชอบ แต่วันนี้กลับต้องพึ่งพ่อแม่ และคนอื่นๆให้มารับผิดชอบชีวิตของผม ...”
“ แต่ก่อน ผมเคยคิดแต่ว่า ชีวิตกูจะตายก็เรื่องของกู แต่พอเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ..ชีวิตกูทั้งหมด กลับต้องกลายเป็นภาระแก่สังคม ”
นี่คือคำสารภาพจาก อดีตนักซิ่ง (เด็กแว้น) 2 ราย ที่ปัจจุบันได้กลายเป็น..บุคคลทุพพลภาพอย่างถาวรไปตลอดชีวิต...
เขาทั้งสองต่างก็เสียใจกับการหลงผิดที่เคย คิดไปเองว่าพวกตนคือ “ยอดฮีโร่แห่งการท้านรก” โดยไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งจะต้องกลายเป็นภาระหนักอึ้ง ให้แก่พ่อ หรือแม่ผู้ชรา ที่ต้องมาอุ้มมาแบก มาป้อนข้าวป้อนน้ำ ต้องช่วยทำทุกอย่างให้เหมือนสมัยยังเป็นเด็กแบเบาะ ทั้งที่ตนเองในวัยฉกรรจ์ขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยดูแลและทดแทนคุณท่านเลย แม้แต่เพียงน้อยนิด!
เพราะว่า..วันนี้เขาต้องดามเหล็กที่ต้นคอ จะกินอาหารแต่ละครั้งต่อสอดสายยางเข้าไปในรูจมูก เวลาจะปัสสาวะก็ต้องใช้สายยางสอดเข้าไป…
มือและนิ้วอยู่ในสภาพหงิกงอยังใช้การไม่ค่อยได้ รวมถึงกระดูกสันหลังที่ยังปวดเรื้อรัง และร่างกายที่ยังต้องทำกายภาพบำบัดอีกอย่างยาวนาน
...ทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยกำลังใจจากคุณพ่อคุณแม่ และญาติๆ หลังจากที่เคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง
จากกรณีตัวอย่างที่ยกมานี้ยังไม่รวมถึงหลายๆ รายที่สมองพิการ ปากเบี้ยว หน้าเบี้ยว เป็นอัมพาตครึ่งซีก
หรือกระทั่งกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ที่กระดิกตัวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จึงต้องนอนจมอยู่กับความขมขื่นรวดร้าวจากการกระทำของตนเองไปตลอดกาล...
ตัวอย่างที่ยกมานี้ ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมการขับขี่ของเหล่ารถเครื่องซิ่งที่ได้สร้างความขุ่นเคือง หวาดกลัว และเสี่ยงอันตรายให้แก่ผู้ใช้ถนนอื่นๆ เช่น การไล่จี้รถอื่นอย่างกระชั้นชิด แล้วบิดปาดหน้าด้วยความเร็วสูง..การขับขี่ตีคู่กันขวางทางผู้อื่น.. การเล่นไล่บี้ไล่แหย่กันเองในกลุ่มกันกลางถนนหลวง... ฯลฯ ...
แม้ว่านักซิ่งท้านรกส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยแตกเปลี่ยว 15-19
แต่เมื่อดูจากตัวเลขของคนเจ็บ และคนตายจากการขี่มอเตอร์ไซค์ซิ่งนั้น ปรากฏว่า 1 ใน 4คือเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี
ก็ทำให้นึกถึง...บรรดาผู้ปกครองที่เลี้ยงดูลูกแบบปรนเปรอและตามใจลูกจนเกินขอบเขต จนกระทั่งส่งยมทูต 2 ล้อมาปลิดชีวิตลูกอย่างไม่รู้ตัว!
ทำให้นึกถึง...ท่านเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เราสมควรจะให้กำลังใจ เพราะทั้งต้องเหน็ดเหนื่อย และเหนื่อยหน่ายกับการแก้ปัญหาอันเกิดจากแก๊งรถซิ่ง
แต่ก็ยังอยากให้เคร่งครัดกับกฎหมายที่บัญญัติไว้ว่า เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ห้ามขี่จักรยานยนต์
และยังให้นึกถึง...บรรดาเจ้าของกิจการแต่งรถซิ่งทั้งหลาย ที่ตั้งหน้าตั้งตากอบโกย และคิดถึงแต่ผลประโยชน์ที่จะเข้ากระเป๋าของตนแต่เพียงอย่างเดียว
โดยขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ขาดจิตสำนึกที่ดีงามต่อส่วนรวม ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ไร้คุณธรรมอย่างสิ้นเชิง.
หลังจากที่ทุกคันต่างผ่านโค้งแรกไปอย่างสวยงาม ก็เริ่มเบียดไล่กัน ผลัดกันแซงผลัดกันนำอย่างตื่นเต้นเร้าใจ.....
ครับ...นั่นคือบรรยากาศการแข่งรถมอเตอร์ไซค์ซิ่ง ที่ไทยแลนด์เซอร์กิตพัทยา สนามแข่งมาตรฐานที่เคร่งครัดกฎกติกา-มารยาท ซึ่งในเมืองไทยเราก็ยังมีอีกหลายสนามแข่ง ที่ต้อนรับนักซิ่งให้มาโชว์ฝีมือกันในกรอบกติกา-มารยาท
แต่ก็ปรากฏว่า ปัญหารถซิ่งกวนเมืองก็ยังไม่จบสิ้น แทบทุกค่ำคืนก็ยังส่งเสียงแผดลั่นสะท้านสะเทือน เพราะการประลองความเร็วกันอย่างบ้าคลั่ง ทำลายความสงบสุขของชาวบ้านชาวเมือง จนเป็นที่เกลียดชังและสาปแช่ง
แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งมนุษย์เห็นแก่ตัวจำพวกนี้ ...ที่นำรถจักรยานยนต์ของตัวไปผ่าท่อ..คว้านเปลี่ยนลูกสูบ..หรือปรับแต่งสารพัด เพื่อให้ “แรง” และ “ดัง” อย่างสุดๆโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของชาวบ้านร้านตลาด ที่ก่นด่าทุกค่ำเช้า
จนดูเหมือนพวกซิ่งจะสะใจอยู่ลึกๆ ที่ได้ระบายความระห่ำของตน ด้วยการทำร้ายจิตใจเพื่อนร่วมสังคม ไม่ให้มีความสงบสุขกัน
โดยเฉพาะผู้คนที่แทบจะประสาทเสีย ตั้งแต่ย่านเกียกกาย พระราม 9 พระราม 7 พระราม3 ถ.วิภาวดีฯ ทั้งสาย กระทั่งแถบบางใหญ่ ...อันมักจะถูกใช้เป็นแหล่งประลองความเร็วอย่างไร้สติ ของนักแข่งเถื่อน ที่บิดกันอย่างสุดแรงด้วยความเร็ว 130-160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือแม้แต่การเร่งสปีดชนิดหลุดโลกถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ซึ่งแน่นอน..ในแต่ละรอบจะมีนักบิดที่ต้องสังเวยชีวิต หรือ ต้องพิการไปชั่วชีวิตอันเป็นภาระแก่สังคมต่อไป แม้ว่าจะเกิดขึ้นเพราะความไร้สติ และบ้าดีเดือดของตนเองแท้ๆ !!!
แม้ผู้พิการบางคนจากเหตุดังกล่าว จะเปลี่ยนใจและระลึกได้ จนหันมาพร่ำเตือนให้สติ แก่เด็กซิ่งรุ่นน้องๆให้หยุดยั้งพฤติกรรมอันเลวร้ายทำลายสังคมนี้เสีย แต่ก็ดูเหมือนพวกน้องทั้งหลายจะ “ไม่ซึ้ง” เอาซะเลย
หรือคงจะรอจนกว่า ตนเองจะต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับรุ่นพี่ผู้เตือนนั่นแหละ จึงอาจจะได้เห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
“ผมไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้แก่สังคมเลย แต่วันนี้กลับต้องมาเป็นภาระให้แก่ผู้อื่น ทั้งต้องช่วยพลิกตัวให้..อาบน้ำให้..แม้แต่ต้องช่วยป้อนข้าวป้อนน้ำ
ผมเคยทำความเดือดร้อนให้กับพ่อแม่ และคนอื่นๆ โดยไม่มีสำนึกรับผิดชอบ แต่วันนี้กลับต้องพึ่งพ่อแม่ และคนอื่นๆให้มารับผิดชอบชีวิตของผม ...”
“ แต่ก่อน ผมเคยคิดแต่ว่า ชีวิตกูจะตายก็เรื่องของกู แต่พอเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ..ชีวิตกูทั้งหมด กลับต้องกลายเป็นภาระแก่สังคม ”
นี่คือคำสารภาพจาก อดีตนักซิ่ง (เด็กแว้น) 2 ราย ที่ปัจจุบันได้กลายเป็น..บุคคลทุพพลภาพอย่างถาวรไปตลอดชีวิต...
เขาทั้งสองต่างก็เสียใจกับการหลงผิดที่เคย คิดไปเองว่าพวกตนคือ “ยอดฮีโร่แห่งการท้านรก” โดยไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งจะต้องกลายเป็นภาระหนักอึ้ง ให้แก่พ่อ หรือแม่ผู้ชรา ที่ต้องมาอุ้มมาแบก มาป้อนข้าวป้อนน้ำ ต้องช่วยทำทุกอย่างให้เหมือนสมัยยังเป็นเด็กแบเบาะ ทั้งที่ตนเองในวัยฉกรรจ์ขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยดูแลและทดแทนคุณท่านเลย แม้แต่เพียงน้อยนิด!
เพราะว่า..วันนี้เขาต้องดามเหล็กที่ต้นคอ จะกินอาหารแต่ละครั้งต่อสอดสายยางเข้าไปในรูจมูก เวลาจะปัสสาวะก็ต้องใช้สายยางสอดเข้าไป…
มือและนิ้วอยู่ในสภาพหงิกงอยังใช้การไม่ค่อยได้ รวมถึงกระดูกสันหลังที่ยังปวดเรื้อรัง และร่างกายที่ยังต้องทำกายภาพบำบัดอีกอย่างยาวนาน
...ทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยกำลังใจจากคุณพ่อคุณแม่ และญาติๆ หลังจากที่เคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง
จากกรณีตัวอย่างที่ยกมานี้ยังไม่รวมถึงหลายๆ รายที่สมองพิการ ปากเบี้ยว หน้าเบี้ยว เป็นอัมพาตครึ่งซีก
หรือกระทั่งกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ที่กระดิกตัวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จึงต้องนอนจมอยู่กับความขมขื่นรวดร้าวจากการกระทำของตนเองไปตลอดกาล...
ตัวอย่างที่ยกมานี้ ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมการขับขี่ของเหล่ารถเครื่องซิ่งที่ได้สร้างความขุ่นเคือง หวาดกลัว และเสี่ยงอันตรายให้แก่ผู้ใช้ถนนอื่นๆ เช่น การไล่จี้รถอื่นอย่างกระชั้นชิด แล้วบิดปาดหน้าด้วยความเร็วสูง..การขับขี่ตีคู่กันขวางทางผู้อื่น.. การเล่นไล่บี้ไล่แหย่กันเองในกลุ่มกันกลางถนนหลวง... ฯลฯ ...
แม้ว่านักซิ่งท้านรกส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยแตกเปลี่ยว 15-19
แต่เมื่อดูจากตัวเลขของคนเจ็บ และคนตายจากการขี่มอเตอร์ไซค์ซิ่งนั้น ปรากฏว่า 1 ใน 4คือเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี
ก็ทำให้นึกถึง...บรรดาผู้ปกครองที่เลี้ยงดูลูกแบบปรนเปรอและตามใจลูกจนเกินขอบเขต จนกระทั่งส่งยมทูต 2 ล้อมาปลิดชีวิตลูกอย่างไม่รู้ตัว!
ทำให้นึกถึง...ท่านเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เราสมควรจะให้กำลังใจ เพราะทั้งต้องเหน็ดเหนื่อย และเหนื่อยหน่ายกับการแก้ปัญหาอันเกิดจากแก๊งรถซิ่ง
แต่ก็ยังอยากให้เคร่งครัดกับกฎหมายที่บัญญัติไว้ว่า เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ห้ามขี่จักรยานยนต์
และยังให้นึกถึง...บรรดาเจ้าของกิจการแต่งรถซิ่งทั้งหลาย ที่ตั้งหน้าตั้งตากอบโกย และคิดถึงแต่ผลประโยชน์ที่จะเข้ากระเป๋าของตนแต่เพียงอย่างเดียว
โดยขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ขาดจิตสำนึกที่ดีงามต่อส่วนรวม ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ไร้คุณธรรมอย่างสิ้นเชิง.