เอเอฟพี – ลีเมียงบัค ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเรื่องราวการไต่เต้าจากผ้าขี้ริ้วสู่ทอง จากเด็กเร่ขายอาหารตามท้องถนน คนเก็บขยะ สู่ตำแหน่งซีอีโอของบริษัทฮุนได นายกเทศมนตรีกรุงโซล และผู้นำแดนโสมขาว
ลี ซึ่งเข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในวันนี้(25) ต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติและผู้นำประเทศต่างๆราว 45,000 คน ได้ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา จากการชูนโยบายจุดขาย นั่นคือ “เศรษฐกิจ มาเป็นอันดับหนึ่ง”
ในประเทศที่ถอยเข้าสู่ภาวะยากจนอย่างแสนสาหัส ภายหลังเกิดสงครามเกาหลี ระหว่างปี1950 – 1953 นั้น ลีไม่เพียงแต่เป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวที่มีพื้นเพเป็นคนยากจนเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำคนแรกที่มีภูมิหลังมาจากภาคธุรกิจ
ลีเกิดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปี1941ที่เมืองโอซากา ญี่ปุ่น โดยพ่อแม่ลีอพยพไปอยู่ที่เมืองนี้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า อย่างไรก็ดี ครอบครัวของลีย้ายกลับมาอยู่ที่เกาหลี ไม่นานหลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่2 เมื่อปี1945 และยุติการยึดครองคาบสมุทรเกาหลี
ลีระลึกความหลังสมัยวัยเด็กว่า ตนมีชีวิตที่ยากจนแสนสาหัส ดังเช่น ต้องช่วยแม่ขายอาหารและไม้ขีดไฟ ตามท้องถนน
หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย ลีก็เข้าสู่กรุงโซล พยายามเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย โดยทำงานเป็นกรรมกรเก็บขยะในช่วงกลางวัน และใช้เวลาช่วงกลางคืนอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานซ์
ลีจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเกาหลี ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเกาหลีใต้ เมื่อปี1965 อย่างไรก็ดี ลีก็พบว่าตนเองหางานทำได้ยาก เนื่องจากในปี1964 ลีถูกตัดสินจำคุก ฐานร่วมประท้วงต่อต้านการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่น
ลีได้ร้องทุกข์โดยตรงต่อทำเนียบประธานาธิบดี หลังจากนั้นลีได้พูดคุยกับผู้ช่วยคนหนึ่งของประธานาธิบดี แล้วก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง
ต่อมา ในปี1965 ลีเริ่มงานที่บริษัทฮุนได วิศวกรรมและการก่อสร้าง และสามารถขึ้นเป็นซีอีโอของบริษัทแห่งนี้ ภายในเวลาเพียง 12 ปี
ลีออกจากบริษัทฮุนไดในปี1992 แล้วลงเล่นการเมือง อย่างไรก็ดี ในปี1998 ลีได้ลาออกจากตำแหน่งส.ส. หลังถูกแฉว่าใช้งบประมาณหาเสียงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
หลังจากนั้น ในปี2002 ลีกลับเข้าสู่สังเวียนการเมืองอีกครั้ง โดยได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีกรุงโซล ลีดำเนินแนวทางตามที่เคยใช้ในช่วงบริหารบริษัทฮุนได จนได้รับสมญานามว่า “บุลโดเซอร์” ลีผลักดันโครงการขนาดใหญ่ที่ประชาชนสนับสนุนอย่างมาก ปรับปรุงทัศนียภาพบริเวณลำธารที่ไหลผ่านใจกลางกรุงโซล
ลีลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี ในนามพรรคแกรนด์แนชั่นนัลปาร์ตี้ ซึ่งเป็นพรรคสายอนุรักษ์นิยม ลีเป็นผู้สมัครที่ร่ำรวยที่สุดที่สนามเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีทรัพย์สินที่แจ้งต่อทางการ 35,3000 ล้านวอน (ราว 38 ล้านดอลลาร์)
ลีถูกคู่แข่งทางการเมืองกระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่อง จากข้อกล่าวหาที่ว่า ว่าที่ผู้นำโสมขาวผู้นี้พัวพันกับคดีปั่นหุ้น เมื่อปี2001 อย่างไรก็ดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา(21) อัยการพิเศษชี้ขาดว่า ลีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว
ลีเน้นย้ำว่า “แนวทางปฏิบัตินิยมเชิงสร้างสรรค์” จะเป็นจุดเด่นของรัฐบาลของเขา ทั้งนี้ ลีแทบจะไม่เน้นจุดยืนทางอุดมการณ์อันแข็งแกร่ง เหมือนดังที่อดีตประธานาธิบดีที่มีแนวทางเสรีนิยม ซึ่งก็คือ โนห์มูเฮียน และคิมแดจุง ยึดถือ
ลีหาเสียงโดยชูนโยบาย “747” มุ่งเป้าทำให้เศรษฐกิจเติบโต 7% เพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากร ไปอยู่ที่ 40,000 ดอลลาร์ ในขณะเดียวกันก็วางรากฐานทำให้เกาหลีใต้เปลี่ยนไปสู่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ7ของโลก ภายใน 10 ปี
สำหรับนโยบายต่อเกาหลีเหนือนั้น ลีให้คำมั่นว่า จะให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ต่อเกาหลีเหนือ หากรัฐบาลโสมแดงปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์
ลี ซึ่งเข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในวันนี้(25) ต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติและผู้นำประเทศต่างๆราว 45,000 คน ได้ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา จากการชูนโยบายจุดขาย นั่นคือ “เศรษฐกิจ มาเป็นอันดับหนึ่ง”
ในประเทศที่ถอยเข้าสู่ภาวะยากจนอย่างแสนสาหัส ภายหลังเกิดสงครามเกาหลี ระหว่างปี1950 – 1953 นั้น ลีไม่เพียงแต่เป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวที่มีพื้นเพเป็นคนยากจนเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำคนแรกที่มีภูมิหลังมาจากภาคธุรกิจ
ลีเกิดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปี1941ที่เมืองโอซากา ญี่ปุ่น โดยพ่อแม่ลีอพยพไปอยู่ที่เมืองนี้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า อย่างไรก็ดี ครอบครัวของลีย้ายกลับมาอยู่ที่เกาหลี ไม่นานหลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่2 เมื่อปี1945 และยุติการยึดครองคาบสมุทรเกาหลี
ลีระลึกความหลังสมัยวัยเด็กว่า ตนมีชีวิตที่ยากจนแสนสาหัส ดังเช่น ต้องช่วยแม่ขายอาหารและไม้ขีดไฟ ตามท้องถนน
หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย ลีก็เข้าสู่กรุงโซล พยายามเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย โดยทำงานเป็นกรรมกรเก็บขยะในช่วงกลางวัน และใช้เวลาช่วงกลางคืนอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานซ์
ลีจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเกาหลี ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเกาหลีใต้ เมื่อปี1965 อย่างไรก็ดี ลีก็พบว่าตนเองหางานทำได้ยาก เนื่องจากในปี1964 ลีถูกตัดสินจำคุก ฐานร่วมประท้วงต่อต้านการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่น
ลีได้ร้องทุกข์โดยตรงต่อทำเนียบประธานาธิบดี หลังจากนั้นลีได้พูดคุยกับผู้ช่วยคนหนึ่งของประธานาธิบดี แล้วก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง
ต่อมา ในปี1965 ลีเริ่มงานที่บริษัทฮุนได วิศวกรรมและการก่อสร้าง และสามารถขึ้นเป็นซีอีโอของบริษัทแห่งนี้ ภายในเวลาเพียง 12 ปี
ลีออกจากบริษัทฮุนไดในปี1992 แล้วลงเล่นการเมือง อย่างไรก็ดี ในปี1998 ลีได้ลาออกจากตำแหน่งส.ส. หลังถูกแฉว่าใช้งบประมาณหาเสียงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
หลังจากนั้น ในปี2002 ลีกลับเข้าสู่สังเวียนการเมืองอีกครั้ง โดยได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีกรุงโซล ลีดำเนินแนวทางตามที่เคยใช้ในช่วงบริหารบริษัทฮุนได จนได้รับสมญานามว่า “บุลโดเซอร์” ลีผลักดันโครงการขนาดใหญ่ที่ประชาชนสนับสนุนอย่างมาก ปรับปรุงทัศนียภาพบริเวณลำธารที่ไหลผ่านใจกลางกรุงโซล
ลีลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี ในนามพรรคแกรนด์แนชั่นนัลปาร์ตี้ ซึ่งเป็นพรรคสายอนุรักษ์นิยม ลีเป็นผู้สมัครที่ร่ำรวยที่สุดที่สนามเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีทรัพย์สินที่แจ้งต่อทางการ 35,3000 ล้านวอน (ราว 38 ล้านดอลลาร์)
ลีถูกคู่แข่งทางการเมืองกระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่อง จากข้อกล่าวหาที่ว่า ว่าที่ผู้นำโสมขาวผู้นี้พัวพันกับคดีปั่นหุ้น เมื่อปี2001 อย่างไรก็ดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา(21) อัยการพิเศษชี้ขาดว่า ลีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว
ลีเน้นย้ำว่า “แนวทางปฏิบัตินิยมเชิงสร้างสรรค์” จะเป็นจุดเด่นของรัฐบาลของเขา ทั้งนี้ ลีแทบจะไม่เน้นจุดยืนทางอุดมการณ์อันแข็งแกร่ง เหมือนดังที่อดีตประธานาธิบดีที่มีแนวทางเสรีนิยม ซึ่งก็คือ โนห์มูเฮียน และคิมแดจุง ยึดถือ
ลีหาเสียงโดยชูนโยบาย “747” มุ่งเป้าทำให้เศรษฐกิจเติบโต 7% เพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากร ไปอยู่ที่ 40,000 ดอลลาร์ ในขณะเดียวกันก็วางรากฐานทำให้เกาหลีใต้เปลี่ยนไปสู่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ7ของโลก ภายใน 10 ปี
สำหรับนโยบายต่อเกาหลีเหนือนั้น ลีให้คำมั่นว่า จะให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ต่อเกาหลีเหนือ หากรัฐบาลโสมแดงปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์