ผู้จัดการรายวัน-ไทยสบช่องเพิ่มยอดส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารบุกตลาดญี่ปุ่น หลังโลกร้อนทำผลผลิตลด และผู้บริโภคไม่มั่นใจสินค้านำเข้าจากจีนจากพิษเกี๊ยวซ่า ทูตการค้าแนะผู้ผลิตไทยต้องคุมเข้มเรื่องคุณภาพเพื่อยึดตลาดในระยะยาว
นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารสูงที่สุดในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะญี่ปุ่นสามารถผลิตอาหารสำหรับบริโภคภายในประเทศได้เพียง 40% ที่เหลือต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีมูลค่านำเข้าในปี 2550 ที่ผ่านมา สูงถึง 65,541.94 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 10.5% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มที่ผลผลิตเกษตร ประมง และผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจะลดลง จากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ยิ่งทำให้ญี่ปุ่นต้องนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลจากปัญหาเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าอาหาร ที่ญี่ปุ่นตรวจสอบพบว่าเกี๊ยวซ่าที่นำเข้าจากจีนมีการปนเปื้อนยาฆ่าแมลงเมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นตื่นตระหนกและขาดความมั่นใจในสินค้าอาหารนำเข้า และได้มีมาตรการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มาตรการที่ญี่ปุ่นได้ดำเนินการเพื่อเรียกความมั่นใจของผู้บริโภคให้กลับคืน เช่น การให้ความสำคัญต่อการกระจายแหล่งนำเข้าไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เพื่อลดการพึ่งพาและลดความเสี่ยงจากการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากจีน การออกไปลงทุน หรือร่วมลงทุนผลิตฟาร์มเกษตร เช่น การทำ Contract Farming และตั้งโรงงานแปรรูปสินค้าอาหารในเอเชียเพื่อป้อนตลาดญี่ปุ่น โดยคาดว่าญี่ปุ่นน่าจะให้ความสนใจต่อการเข้าไปลงทุนในลาว และเวียดนาม และยังให้ความสำคัญในเรื่อง Food Safety มากขึ้น
“สิ่งที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ถือเป็นโอกาสดีต่อการส่งออกสินค้าอาหารของไทย แต่การจะส่งออกและครองตลาดอย่างยั่งยืนต้องควบคู่ไปกับคุณภาพ ระบบการควบคุมคุณภาพที่สากลยอมรับ เช่น การตรวจสอบย้อนกลับ (Tracability) การควบคุมคุณภาพ ณ แหล่งผลิต (HACCP) และมาตรฐานสากลอื่นๆ เช่น ISO ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้ ไม่ใช่ของใหม่ แต่จะมีความสำคัญยิ่งขึ้นและควรนำมาใช้ในขบวนการผลิตของผู้ประกอบการไทย อย่างจริงจัง เพื่อสร้างโอกาสสินค้าเกษตรและอาหารไทยในญี่ปุ่นอย่างถาวร”นางอัมพวันกล่าว
นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารสูงที่สุดในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะญี่ปุ่นสามารถผลิตอาหารสำหรับบริโภคภายในประเทศได้เพียง 40% ที่เหลือต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีมูลค่านำเข้าในปี 2550 ที่ผ่านมา สูงถึง 65,541.94 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 10.5% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มที่ผลผลิตเกษตร ประมง และผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจะลดลง จากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ยิ่งทำให้ญี่ปุ่นต้องนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลจากปัญหาเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าอาหาร ที่ญี่ปุ่นตรวจสอบพบว่าเกี๊ยวซ่าที่นำเข้าจากจีนมีการปนเปื้อนยาฆ่าแมลงเมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นตื่นตระหนกและขาดความมั่นใจในสินค้าอาหารนำเข้า และได้มีมาตรการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มาตรการที่ญี่ปุ่นได้ดำเนินการเพื่อเรียกความมั่นใจของผู้บริโภคให้กลับคืน เช่น การให้ความสำคัญต่อการกระจายแหล่งนำเข้าไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เพื่อลดการพึ่งพาและลดความเสี่ยงจากการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากจีน การออกไปลงทุน หรือร่วมลงทุนผลิตฟาร์มเกษตร เช่น การทำ Contract Farming และตั้งโรงงานแปรรูปสินค้าอาหารในเอเชียเพื่อป้อนตลาดญี่ปุ่น โดยคาดว่าญี่ปุ่นน่าจะให้ความสนใจต่อการเข้าไปลงทุนในลาว และเวียดนาม และยังให้ความสำคัญในเรื่อง Food Safety มากขึ้น
“สิ่งที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ถือเป็นโอกาสดีต่อการส่งออกสินค้าอาหารของไทย แต่การจะส่งออกและครองตลาดอย่างยั่งยืนต้องควบคู่ไปกับคุณภาพ ระบบการควบคุมคุณภาพที่สากลยอมรับ เช่น การตรวจสอบย้อนกลับ (Tracability) การควบคุมคุณภาพ ณ แหล่งผลิต (HACCP) และมาตรฐานสากลอื่นๆ เช่น ISO ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้ ไม่ใช่ของใหม่ แต่จะมีความสำคัญยิ่งขึ้นและควรนำมาใช้ในขบวนการผลิตของผู้ประกอบการไทย อย่างจริงจัง เพื่อสร้างโอกาสสินค้าเกษตรและอาหารไทยในญี่ปุ่นอย่างถาวร”นางอัมพวันกล่าว
