อาการกระเหี้ยนกระหือรือของพรรคพลังประชาชนที่กุมอำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้นั้น อาจชวนให้คนจำนวนไม่น้อยคลื่นเหียนอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง
โดยเฉพาะบทบาทและลีลาของพ่อเนื้อนวล เพ็ญ-จักรภพ เพ็ญแข ที่แสดงท่าทีราวจะจัดการ เช็กบิล เอาคืนออกมานอกหน้า หลังจากบุญพาวาสนาส่งให้ก้าวเข้ามารับตำแหน่งเป็นเสนาบดีผู้ทรงเกียรติ กลายเป็น ฯพณฯรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งๆที่เสียงตะโกนผ่านไมโครโฟน “ดันๆๆๆ”ระหว่างยื้อกับแผงกั้นของตำรวจ ในวันที่จักรภพประกาศว่า จะก่อสงครามประชาชนเพื่อโค่นล้มระบอบศักดินาและเผด็จการ ยังดังก้องอยู่ในรูหู
“ผมมาเคลื่อนไหวทางทีวีเพราะผมอยากให้ PTV ได้ออกอากาศ เตรียมความพร้อมให้ประชาชนก่อนถึงวันนั้น ซึ่งคนที่จะบอกว่าวันนั้นคือวันไหน ก็คือประชาชน เราเป็นผู้รับใช้มวลชนด้านข้อมูลข่าวสารซึ่งผมเชื่อว่าเรามีความสามารถจะทำได้ จะ 5 ปี 10 ปีก็ทำไปอย่างนี้ นั่นคือสิ่งที่เราต้องการ แต่เมื่อถูกสกัดกั้นไม่ให้สื่อสารออกไป แปลว่าเขาไม่ต้องการจะให้เราเตรียมประชาชนสำหรับการต่อสู้อย่างแท้จริง"เพ็ญเอ่ยเอื้อนวาบความคิดผ่านริมฝีปากเรียวงามก่อนทำปากจู๋ยื่นออกมานอกหน้าอย่างคุ้นเคยจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เช่นเดียวกับเพื่อนของเพ็ญบนหลังคารถที่ร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อพิทักษ์นายคืนนั้น ต่างก็ได้รับการปูนบำเหน็จบนตำแหน่งแห่งหนในการยึดกุมอำนาจรัฐอย่างถ้วนหน้า
ว่าไปแล้ว นับว่าโชคดีของเพ็ญที่ฉากหน้าของสมรภูมิวันนั้น มันได้บดบังภาระที่แท้จริงในการพิทักษ์นายเอาไว้ สื่อมวลชน คอลัมนิสต์ และนักวิชาการผู้มีวาระซ่อนเร้นต่างสรรเสริญและเชิดชูต่อสาธารณะว่า เพ็ญและพวก คือ นักสู้ที่ต่อต้านอำนาจเผด็จการ
จนกระทั่งแทบจะไม่เชื่อว่า น้ำเสียงต่อไปนี้ มาจากคนคนเดียวกัน
“สื่อของรัฐทุกสื่อ รัฐบาลก็ต้องเข้าไปประเมิน และภายใน 1 เดือน ในส่วนที่ผมรับผิดชอบจะมีการวางทิศทางชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยเฉพาะ บริษัท อสมท จำกัด กรมประชาสัมพันธ์ และไทยพีบีเอส ซึ่งความจริงอยากจะเรียกว่าไอทีวีมากกว่า นอกจากนี้ ยังรวมถึงสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และวิทยุชุมชนด้วย"นี่คือคำกล่าวของเพ็ญ ในวันที่เธอมีอำนาจ
เพ็ญซึ่งวันหนึ่งเคยประกาศตัวว่าจะชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการทำสื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมในนาม PTV
ราวกับว่าสรรพสิ่งได้แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ในวันที่นักต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของสื่อและต่อต้านเผด็จการผันตัวเองเข้ามากุมอำนาจรัฐ มีดในมือของใครไม่รู้ก็ปักลงกลางหลังของเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เจิมศักดิ์ถูกถอดออกจากผังรายการของคลื่นวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ เพียงเพราะเอางานเขียนของวีระ มุสิกพงศ์ มาอ่านผ่านรายการของเขา
บรรยากาศหวนกลับมาไม่ต่างกับยุคทักษิณเรืองอำนาจ ที่มีคนเที่ยวโทร.ไปสั่งการตามสถานีวิทยุโทรทัศน์ เมื่อไม่พอใจกับการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ดำเนินรายการ
ไม่น่าเชื่อว่าอำนาจจะทำให้คนเปลี่ยนเพียงชั่วข้ามคืน หรือว่า แท้จริงแล้วเพ็ญไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่พวกเราเชื่อและคิดไปเอง จากตัวตนที่ปรากฏอยู่ภายนอกของเธอ
เพ็ญ บอกหน่อยซิ อะไรคือความจริงของปรารถนาที่ซุกซ่อนและร้อนเร่าอยู่ภายในตัวตนของเธอกันแน่
ไหนคือตัวตนของเธอ ระหว่างที่เคยบอกว่า จะต่อสู้กับเผด็จการที่ปิดกั้นเสรีภาพของสื่อ กับวันนี้ที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือแล้วเป็นผู้ปิดกั้นเสรีภาพของสื่อเสียเอง
แน่นอนว่า คนที่ใช้อำนาจเผด็จการมักจะคิดว่าตัวเองไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ทุกครั้งที่เผด็จการลงมือทำ เราและสังคมต่างๆ ก็จะถูกทำให้พยายามเชื่อว่า ผู้มีอำนาจไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจของ"มือที่มองไม่เห็น”
กรณีของเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ก็เช่นกัน แน่นอนเราต้องถูกบอกให้เข้าใจว่า ฯพณฯ จักรภพ เพ็ญแข ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการครั้งนี้ เราคงต้องเชื่อและจงอย่าคิดไม่เชื่อ เพราะคนที่เคยต่อสู้กับเผด็จการและเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของสื่ออย่างเพ็ญจะไปทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงเช่นนั้นได้อย่างไร
ระหว่างนิ่งคิดเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเพ็ญ เสียงเพลงจากสาริกา กิ่งทอง ก็ดังขึ้นมาจากมุมหนึ่ง
“แต๋วจ๋า เห็นใจเถิดหนาแต๋วของพี่ พี่หลงรักแต๋วมานาน ทุกวันคิดถึงคนดี แต๋วไม่ปรานี พี่บ้างหรือไร แต๋ว เอ๋ย ก่อนนี้พี่เคย มีน้องอยู่ใกล้ เดี๋ยวนี้ แต๋วจากไปไกล ทิ้งพี่ให้โศกอาลัยแต๋วไปอยู่ไหน ไม่ส่งข่าวเลย พี่หลง รักแต๋วมานาน เห็นใจ พี่เถิดตาหวาน อย่าทรมาน ด้วยการเฉยเมย กลับมา เถิดนะที่รัก อย่าช้านักซิทรามเชย แต๋วเอ๋ย เห็นใจหน่อยซี”
พลันที่เสียงเพลงของสาริกา กิ่งทอง ยังไม่ทันจบ ผมก็แวบคิดขึ้นมาในใจ คนเราไม่มีวันที่จะปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ได้ วันหนึ่งความจริงก็ต้องปรากฏออกมา
เพ็ญก็เช่นกัน สาริกา กิ่งทองก็เช่นกัน
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี บันทึกถึงสาริกา กิ่งทองไว้ตอนหนึ่งว่า เพราะความสงสัยของแฟนเพลงทั่วประเทศว่า สาริกาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ เพราะแม้เนื้อหาเพลง "แต๋วจ๋า" และ เพลงอื่นๆของสาริกา จะเป็นบทเพลงสำหรับนักร้องชาย และหลายเพลงก็เป็นการร้องในทำนองเกี้ยวพาราสีผู้หญิง ตัวสาริกาเองก็อยู่ในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบนักร้องชาย ทว่าน้ำเสียง และหน้าตาท่าทางของเธอออกไปทางผู้หญิงมากกว่า
จนในที่สุด หลังจากที่สงสัยกันมานาน ก็มีการเปิดเผยออกมาว่า สาริกาเป็นผู้หญิง และในการเปิดการแสดง ต้องมีการใช้ผ้าพันทรวงอก เพื่อปิดบังสัญลักษณ์ความเป็นสตรีของเธอ
ไม่น่าเชื่อเพ็ญ จักรภพ ที่เคยประกาศตัวว่า เกลียดชังเผด็จการ ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของสื่อจะเปลื้องผ้าให้เห็นตัวตนอย่างล่อนจ้อน เพียงชั่วระยะสั้นหลังมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ
เช่นเดียวกับขบวนการต่อสู้ ในนามของ นปก.ที่เพ็ญและพรรคพวกได้รับการเชิดชูว่า เป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตย วันนี้ความจริงก็ปรากฏให้เห็นว่า พวกเขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อเสรีภาพของประชาชน หรือของใครกันแน่
เมื่อบรรดานักประชาธิปไตยแก่งแย่ง ทวงสิทธิ์ จัดสรรปันส่วนผลประโยชน์ที่ยื้อแย่งมา ได้ เมียเป็นรัฐมนตรีแทนผัว พ่อเป็นรัฐมนตรีแทนลูก น้องเป็นรัฐมนตรีแทนพี่ พี่เป็นรัฐมนตรีแทนน้อง ลูกน้องเป็นรัฐมนตรีแทนนาย นักเลงข้างถนนยื้อแย่งกันเข้าไปนั่งเป็นเลขาฯ ที่ปรึกษารัฐมนตรี นักหนังสือพิมพ์ใหญ่มอบดอกไม้แสดงความยินดีกับรัฐมนตรี จนอดนึกถึง"เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา” ไม่ได้
ใต้โลกนี้ย่อมไม่มีใครปิดปังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไปได้ ไม่ว่า “จักรภพ เพ็ญแข” หรือใคร
เสียงเพลงของสาริกา กิ่งทอง เงียบหายไปนานแล้ว แต่มนต์เพลงก็ยังดังก้องอยู่ในความนึกคิดภายใน
ผมนึกถึงวันที่สาริกา กิ่งทอง แต่งชุดแมนรัดตู้ม แล้วร้องหาความรักจากหญิงสาวอยู่บนเวที แล้วนึกถึงวันที่เพ็ญ-จักรภพ เพ็ญแข ประกาศจะโค่นล้มอำนาจเผด็จการและเรียกร้องหาเสรีภาพของสื่ออยู่บนเวที