ผู้จัดการรายวัน - นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารมีแผนงานที่จะหาพันธมิตรที่จะมาเป็นตัวเสริมในการดำเนินงานของธนาคาร 3 ด้านด้วยกันคือ 1.ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างของธนาคารเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้ามากที่สุด 2.ด้านกระบวนการทำงานของธนาคาร 3. ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของธนาคาร โดยในขณะนี้ธนาคารได้อยู่ระหว่างการเจรจาและหารือถึงรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการทำธุรกิจกับพันธมิตรที่สนใจมาร่วมดำเนินธุรกิจด้วยกันแล้วโดยมีจำนวนทั้งหมด 8 ราย ซึ่งแบ่งเป็นสถาบันการเงินต่างชาติ 5 ราย และสถาบันการเงินในไทยอีก 3 ราย
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังเป็นเพียงการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนจึงยังไม่ได้เจาะจงว่าจะเลือกพันธมิตรรายใด เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าต้องการพันธมิตรที่เป็นสถาบันการเงินที่จะมาช่วยบริหารงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆของธนาคารและด้านกระบวนการทำงาน ส่วนด้านช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นองค์กรที่มีความรู้ความชำนาญด้านดังกล่าวมาช่วยพัฒนาโดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตาม ธนาคารไม่ได้รีบร้อนที่จะมีพันธมิตร เพราะการที่จะมีพันธมิตรเข้ามาถือหุ้นนั้นต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายและกระบวนการของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ซึ่งทางเราเองตอนนี้ก็เปิดกว ้างมากขึ้น อีกทั้งต้องใช้เวลามากพอสมควรในการเจรจาเกี่ยวกับการทำแผนธุรกิจร่วมกัน เพราะแนวทางของพันธมิตรที่เราตั้งเป้าว่าอยากจะได้คือต้องมาเป็นตัวหนุนและพัฒนากระบวนการทำงานของเราให้สามารถแข่งขันได้ในภาวะที่เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง
"ในการเจรจาเกี่ยวกับแผนธุรกิจกับพันธมิตรที่จะมาเป็นหุ้นส่วนนั้นเราคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่ายทั้งในส่วนของธนาคารเอง พันธมิตร และลูกค้าของธนาคารก็จะต้องได้ประโยชน์เช่นกัน ซึ่งแผนธุรกิจที่จะนำมาใช้กับธนาคารจะต้องสอดคล้องกับภาวะการแข่งขันในปัจจุบัน โดยคาดว่าภายในกลางปีนี้จะมีข้อสรุปทั้งหมดเกี่ยวกับพันธมิตรที่จะมาร่วมลงทุนด้วยว่าจะเป็นรายใด"นายมงคลกล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังเป็นเพียงการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนจึงยังไม่ได้เจาะจงว่าจะเลือกพันธมิตรรายใด เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าต้องการพันธมิตรที่เป็นสถาบันการเงินที่จะมาช่วยบริหารงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆของธนาคารและด้านกระบวนการทำงาน ส่วนด้านช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นองค์กรที่มีความรู้ความชำนาญด้านดังกล่าวมาช่วยพัฒนาโดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตาม ธนาคารไม่ได้รีบร้อนที่จะมีพันธมิตร เพราะการที่จะมีพันธมิตรเข้ามาถือหุ้นนั้นต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายและกระบวนการของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ซึ่งทางเราเองตอนนี้ก็เปิดกว ้างมากขึ้น อีกทั้งต้องใช้เวลามากพอสมควรในการเจรจาเกี่ยวกับการทำแผนธุรกิจร่วมกัน เพราะแนวทางของพันธมิตรที่เราตั้งเป้าว่าอยากจะได้คือต้องมาเป็นตัวหนุนและพัฒนากระบวนการทำงานของเราให้สามารถแข่งขันได้ในภาวะที่เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง
"ในการเจรจาเกี่ยวกับแผนธุรกิจกับพันธมิตรที่จะมาเป็นหุ้นส่วนนั้นเราคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่ายทั้งในส่วนของธนาคารเอง พันธมิตร และลูกค้าของธนาคารก็จะต้องได้ประโยชน์เช่นกัน ซึ่งแผนธุรกิจที่จะนำมาใช้กับธนาคารจะต้องสอดคล้องกับภาวะการแข่งขันในปัจจุบัน โดยคาดว่าภายในกลางปีนี้จะมีข้อสรุปทั้งหมดเกี่ยวกับพันธมิตรที่จะมาร่วมลงทุนด้วยว่าจะเป็นรายใด"นายมงคลกล่าว
