ผู้จัดการรายวัน – “เอสซี” เผยปี 50 รายได้โต 50% ยอดขาย 2,619 ล้านบาท ระบุส่วนหนึ่งอานิสงค์จากการรีแบรนด์ ปี 51 เล็งขายฐานลูกค้าตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปจนถึงไฮเอ็น จากเดิมอยู่ที่ระดับกลาง-บนเป็นหลัก แกะกล่องบ้าน“New Series Home 2008” หวังสร้างความต่าง เผยสนลงทุนเชียงใหม่บ้านเกิด แต่ต้องศึกษาให้รอบคอบก่อน พร้อมจับมือโลตัสทำคอมมูนิตี้มอลล์ย่านเพชรเกษม รับต้นทุนก่อสร้างเพิ่ม 5-10% ฉุดกำไรขั้นต้นลด 2-3%
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอส ซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2551 ว่า เอสซีฯจะขยายสินค้าเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้กว้างขึ้น โดยการกระจายสินค้าทั้งระดับ เอ บี และซี จากเดิมจะมีเฉพาะบ้านเดี่ยวราคา 4-12 ล้านบาท ในอนาคตจะขยายให้ครอบคลุมทั้งขยายลงมาต่ำสุดที่ 3 ล้านบาท โดยจะเป็นแบรนด์ใหม่คาดว่าจะเปิดตัวได้ในเร็วๆนี้ และขยายไปยังตลาดบน ราคาสูงสุด 30 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ แกรนด์ บูเลอวาร์ด
สำหรับทาวน์โฮมที่เดิมราคาจะอยู่ที่ 4 ล้านบาทก็ขยายให้ครอบคลุมระดับราคา 1.6 -4 ล้านบาท ขณะที่คอนโดมิเนียมเดิมราคาขายอยู่ที่ 2.4 ล้านบาทก็ขยายลงมาให้ครอบคลุมราคา 1.6 ล้านบาทเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า
ทั้งนี้ในปี 2551 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 8 โครงการ และมีโครงการที่ขายต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว 5 โครงการ รวมเป็น 13 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 4,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ประมาณ 3,200 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตจากปี 2550 ประมาณ 20% ขณะที่ปี 2550 รายได้เติบโตจากปี 2549 ประมาณ 50% โดยยอดรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 2,400 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายอยู่ที่ 2,619 ล้านบาท ทั้งนี้ในปีนี้จะใช้เงินซื้อที่ดินใหม่อีก 1,000 ล้านบาท
นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวยอมรับว่า หลังการรีแบรนด์ ทำให้ลูกค้ารู้จักเอสซีฯ ว่าเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ทำให้ยอดขายค่อนข้างดี ผลประกอบการจึงออกมาดี ส่วนการลงทุนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะเชียงใหม่นั้นขณะนี้กำลังศึกษารายละเอียดอยู่ ซึ่งต้องใช้เวลาเนื่องจากหากบริษัทจะไปพัฒนาในต่างจังหวัดนั้นก็จะไปอย่างจริงจังไม่ใช่ลงทุนเพียง 1-2 โครงการก็หยุด ดังนั้นจึงต้องศึกษาให้ดีก่อนแม้ว่าตลาดจะค่อนข้างดีก็ตาม ส่วนที่ดินนั้นไม่จำเป็นว่าเป็นของตระกูลหรือต้องซื้อใหม่ แต่จะพิจารณาจากศักยภาพในเชิงพาณิชย์เป็นสำคัญ
สำหรับสัดส่วนรายได้ในปีที่ผ่านมาเอสซีฯ มีรายได้จากการเช่า 25% และรายได้จากการขาย 75% อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความสมดุลของรายได้ต้องการให้สัดส่วนจากการเช่าอยู่ที่ระดับ 30% ดังนั้นจึงมีแผนที่จะพัฒนาอาคารสำนักงานขึ้นอีก 1 แห่งในย่านถนนวิภาวดีในเร็วๆนี้
ส่วน 8 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ จะเปิดตัวในครึ่งปีแรก 2 โครงการ คือ 1. โครงการเซ็นทริค ซีน รัชวิภา คอนโดมิเนียมสูง 2 อาคาร จำนวน 700 ยูนิต บนเนื้อที่ 6 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท และ 2. โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รัชดา - รามอินทรา บ้านเดี่ยว จำนวน 92 ยูนิต บนเนื้อที่ 26 ไร่ มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท
สำหรับในครึ่งปีหลังบริษัทวางแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่อีกจำนวน 6 โครงการ โดยหนึ่งในโครงการดังกล่าว จะเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ ในรูปแบบ “New Community” บนถนนเพชรเกษม 81 บนเนื้อที่ 72 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท โดยเป็นการพัฒนาโครงการที่มีการจัดโซนและผังโครงการออกเป็น 3 ส่วน มีทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยวรูปแบบใหม่ ,ทาวน์โฮม 2-3 ชั้น และ อาคารพาณิชย์ พร้อมสวนสาธารณะ และ คลับเฮ้าส์
นอกจากนี้ ภายในโครงการยังพัฒนาพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็น “Community Mall” โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจค้าปลีก เทศโก้ โลตัสโดยเอสซีฯให้พื้นที่บางส่วนกับทางโลตัส แต่หากเป็นร้านที่ต้องการบริการการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับลูกค้าที่อาศัยในโครงการทางเอสซีจะเป็นผู้ดำเนินการเอง ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท
“ภายหลังจากที่เอสซี แอสเสทฯ ได้มีการรีแบรนด์ดิ้งใหม่ ตั้งแต่ต้นปี 2550 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค โดยในปี 2550 บริษัท สามารถปิดการขายรวม 5 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว 1 โครงการทาวน์โฮม 3 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ บริษัททำยอดขายเติบโตสูงขึ้นทุกไตรมาส มียอดขายรวมทั้งปีประมาณ 2,600 ล้านบาท ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก” นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวและว่า
สำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ สิ่งหนึ่งที่รัฐควรจะเร่งดำเนินการ คือสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค กล้าจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการขยายระบบแมสทรานซิส เส้นทางคมนาคมเพื่อให้ความเจริญได้เข้าถึงพื้นที่ต่างๆ เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการขยายพื้นที่พัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาวะราคาน้ำมันและต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมานั้น ยอมรับว่าทำให้ต้นทุนการพัฒนาเพิ่ม 5-10% และเชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายได้รับผลกระทบนี้หมด ซึ่งบริษัทได้แก้ไขด้วยการเจรจาซื้อวัสดุก่อสร้างบางตัวแทนผู้รับเหมา หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่จะให้แก่ลูกค้าเอง โดยการซื้อยกล็อตซึ่งจะได้ในราคาที่ลดลงไปมาก ทำให้ลดต้นทุนได้บางส่วน อย่างไรก็ตามยอมรับว่าทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงประมาณ 2-3%
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอส ซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2551 ว่า เอสซีฯจะขยายสินค้าเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้กว้างขึ้น โดยการกระจายสินค้าทั้งระดับ เอ บี และซี จากเดิมจะมีเฉพาะบ้านเดี่ยวราคา 4-12 ล้านบาท ในอนาคตจะขยายให้ครอบคลุมทั้งขยายลงมาต่ำสุดที่ 3 ล้านบาท โดยจะเป็นแบรนด์ใหม่คาดว่าจะเปิดตัวได้ในเร็วๆนี้ และขยายไปยังตลาดบน ราคาสูงสุด 30 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ แกรนด์ บูเลอวาร์ด
สำหรับทาวน์โฮมที่เดิมราคาจะอยู่ที่ 4 ล้านบาทก็ขยายให้ครอบคลุมระดับราคา 1.6 -4 ล้านบาท ขณะที่คอนโดมิเนียมเดิมราคาขายอยู่ที่ 2.4 ล้านบาทก็ขยายลงมาให้ครอบคลุมราคา 1.6 ล้านบาทเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า
ทั้งนี้ในปี 2551 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 8 โครงการ และมีโครงการที่ขายต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว 5 โครงการ รวมเป็น 13 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 4,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ประมาณ 3,200 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตจากปี 2550 ประมาณ 20% ขณะที่ปี 2550 รายได้เติบโตจากปี 2549 ประมาณ 50% โดยยอดรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 2,400 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายอยู่ที่ 2,619 ล้านบาท ทั้งนี้ในปีนี้จะใช้เงินซื้อที่ดินใหม่อีก 1,000 ล้านบาท
นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวยอมรับว่า หลังการรีแบรนด์ ทำให้ลูกค้ารู้จักเอสซีฯ ว่าเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ทำให้ยอดขายค่อนข้างดี ผลประกอบการจึงออกมาดี ส่วนการลงทุนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะเชียงใหม่นั้นขณะนี้กำลังศึกษารายละเอียดอยู่ ซึ่งต้องใช้เวลาเนื่องจากหากบริษัทจะไปพัฒนาในต่างจังหวัดนั้นก็จะไปอย่างจริงจังไม่ใช่ลงทุนเพียง 1-2 โครงการก็หยุด ดังนั้นจึงต้องศึกษาให้ดีก่อนแม้ว่าตลาดจะค่อนข้างดีก็ตาม ส่วนที่ดินนั้นไม่จำเป็นว่าเป็นของตระกูลหรือต้องซื้อใหม่ แต่จะพิจารณาจากศักยภาพในเชิงพาณิชย์เป็นสำคัญ
สำหรับสัดส่วนรายได้ในปีที่ผ่านมาเอสซีฯ มีรายได้จากการเช่า 25% และรายได้จากการขาย 75% อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความสมดุลของรายได้ต้องการให้สัดส่วนจากการเช่าอยู่ที่ระดับ 30% ดังนั้นจึงมีแผนที่จะพัฒนาอาคารสำนักงานขึ้นอีก 1 แห่งในย่านถนนวิภาวดีในเร็วๆนี้
ส่วน 8 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ จะเปิดตัวในครึ่งปีแรก 2 โครงการ คือ 1. โครงการเซ็นทริค ซีน รัชวิภา คอนโดมิเนียมสูง 2 อาคาร จำนวน 700 ยูนิต บนเนื้อที่ 6 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท และ 2. โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รัชดา - รามอินทรา บ้านเดี่ยว จำนวน 92 ยูนิต บนเนื้อที่ 26 ไร่ มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท
สำหรับในครึ่งปีหลังบริษัทวางแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่อีกจำนวน 6 โครงการ โดยหนึ่งในโครงการดังกล่าว จะเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ ในรูปแบบ “New Community” บนถนนเพชรเกษม 81 บนเนื้อที่ 72 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท โดยเป็นการพัฒนาโครงการที่มีการจัดโซนและผังโครงการออกเป็น 3 ส่วน มีทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยวรูปแบบใหม่ ,ทาวน์โฮม 2-3 ชั้น และ อาคารพาณิชย์ พร้อมสวนสาธารณะ และ คลับเฮ้าส์
นอกจากนี้ ภายในโครงการยังพัฒนาพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็น “Community Mall” โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจค้าปลีก เทศโก้ โลตัสโดยเอสซีฯให้พื้นที่บางส่วนกับทางโลตัส แต่หากเป็นร้านที่ต้องการบริการการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับลูกค้าที่อาศัยในโครงการทางเอสซีจะเป็นผู้ดำเนินการเอง ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท
“ภายหลังจากที่เอสซี แอสเสทฯ ได้มีการรีแบรนด์ดิ้งใหม่ ตั้งแต่ต้นปี 2550 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค โดยในปี 2550 บริษัท สามารถปิดการขายรวม 5 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว 1 โครงการทาวน์โฮม 3 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ บริษัททำยอดขายเติบโตสูงขึ้นทุกไตรมาส มียอดขายรวมทั้งปีประมาณ 2,600 ล้านบาท ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก” นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวและว่า
สำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ สิ่งหนึ่งที่รัฐควรจะเร่งดำเนินการ คือสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค กล้าจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการขยายระบบแมสทรานซิส เส้นทางคมนาคมเพื่อให้ความเจริญได้เข้าถึงพื้นที่ต่างๆ เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการขยายพื้นที่พัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาวะราคาน้ำมันและต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมานั้น ยอมรับว่าทำให้ต้นทุนการพัฒนาเพิ่ม 5-10% และเชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายได้รับผลกระทบนี้หมด ซึ่งบริษัทได้แก้ไขด้วยการเจรจาซื้อวัสดุก่อสร้างบางตัวแทนผู้รับเหมา หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่จะให้แก่ลูกค้าเอง โดยการซื้อยกล็อตซึ่งจะได้ในราคาที่ลดลงไปมาก ทำให้ลดต้นทุนได้บางส่วน อย่างไรก็ตามยอมรับว่าทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงประมาณ 2-3%