ผู้จัดการรายวัน - ไทย-เดนมาร์ค จ่อคิวสอยบัลลังก์โฟรโมสต์ 5 ปี รั้งอันดับ 1 แทนที่ ทุ่ม 350 ล้านบาท เปิดเกมรุกตลาดหนักในรอบ 10 ปี ปรับปรุงโรงงาน 3 แห่ง เพิ่มกำลังผลิต 500 ตันต่อวัน เปิดฟาร์มท่องเที่ยวพื้นที่ 2,500 ไร่ เนรมิตแพกเกจใหม่ แตกรสชาติใหม่ ยันปีนี้ราคานมพร้อมดื่มไม่ขึ้นราคา คาดสิ้นปีรายได้ 4,000 ล้านบาท กำไร 150 ล้านบาท
นายอำนาจ ธีระวนิช ประธานกรรมการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ผู้ผลิตและจำหน่ายนมพร้อมดื่มตราไทย-เดนมาร์ค เปิดเผยว่า ได้วางเป้าหมายอีก 5 ปี นมไทย-เดนมาร์คจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดแทนที่โฟร์โมสต์ซึ่งมีส่วนแบ่ง 38% ขณะที่ปัจจุบันเป็นอันดับ 2 ครองส่วนแบ่ง 30% ส่วนหนองโพอันดับ 3 มีส่วนแบ่ง 11-12%
โดยทำตลาดเชิงรุกอย่างครบวงจรในรอบ 10 ปี ด้วยงบ 300 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงาน 3 แห่ง จากปัจจุบันมีทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ โรงงานที่หมวกเหล็ก ขอนแก่น ปราณบุรี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตจาก 320-350 ตันต่อวันเป็น 450-500 ตันต่อวัน เพื่อนำไปผลิตสินค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น จากปัจจุบันไทย-เดนมาร์คมีรสจืด หวาน และช็อกโกแลต ตลอดจนรองรับกับความต้องการของตลาด และขยายฐานลูกค้าใหม่รวมถึงการครอบคลุมช่องทางจำหน่าย คาดว่าการปรับปรุงโรงงานแล้วเสร็จเดือนพฤษภาคมนี้
ล่าสุดทุ่ม 50 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา 45 ปี ฟาร์มโคนม ไทย-เดนมาร์ค"เพื่อสื่อสารสโลแกนใหม่ "เพื่อนแท้ที่คอยดูแลคุณเสมอมา" และเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้ามีความทันสมัยมากขึ้น และวางแผนปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ หลอด การเพิ่มความหลากหลายของรสชาติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา 3-4 รสชาติ ปีนี้เตรียมเปิดตัวรสชาติใหม่โลว์แฟตลงสู่ตลาด ล่าสุดในช่วงที่ตลาดนมยูเอชทีสำหรับเด็กเติบโตสูง จึงได้ส่งบรรจุภัณฑ์ขนาด 125 ซีซี ในรสจืดและหวาน ราคา 7 บาท เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มเด็กอายุ 10-15 ปี จากปัจจุบันฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มอายุ 35 ปี ส่วนอายุ 25 ปีมีฐานลูกค้าน้อยมาก
อีกทั้งได้เพิ่มความถี่ในการสื่อสารตลาด รวมทั้งการทำโปรโมชันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังวางแผนช่องทางจำหน่ายผ่านการแบ่งเขต เพื่อแบ่งแยกการทำตลาดได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะทางภาคเหนือตอนบนและภาคใต้ตอนล่าง จากปัจจุบันมีเอเยนต์ทั้งหมด 60 ราย
สำหรับภาวะตลาดนมพร้อมดื่มการแข่งขันจะเน้นในรูปแบบสร้างการรับรู้ผ่านการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้ทุ่มงบ 5 ล้านบาท พัฒนาฟาร์มไทย-เดนมาร์คเป็นธุรกิจในรูปแบบท่องเที่ยวบนพื้นที่ 2,500 ไร่ เพื่อให้เป็นช่องทางการสื่อสารถึงผู้โภคอีกทางหนึ่ง โดยรูปแบบการท่องเที่ยวในสาระและความรู้เป็นหลัก ขณะเดียวกันยังมีสถานที่ให้พัก วางกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนสัดส่วน 80% และบุคคลทั่วไป 20% ซึ่งได้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ในปีที่ผ่านมานี้ ทั้งนี้ตั้งเป้ามีรายได้จากการเปิดฟาร์มท่องเที่ยว 20 ล้านบาท
นายอำนาจกล่าวว่า ราคานมในปีนี้คาดว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอีก เพราะมีการจัดสรรวัตถุดิบได้ลงตัว อีกทั้งในปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น 20% เนื่องจากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา จาก 12.50 บาทต่อกก.เพิ่มเป็น 12.90 บาทต่อกก. ในเดือนธันวาคม 2549 จากนั้นเดือนเมษายน 2550 เพิ่มจาก 12.50 บาทต่อกก.เป็น 13.25 บาทต่อกก. และเดือนตุลาคม 2550 เพิ่มจาก 13.25 บาทต่อกก.เป็น 14.50 บาทต่อกก. ทำให้ราคาน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น 3 บาทในรอบ 2 ปี ซึ่งถือว่าเป็นที่สูงที่สุด และส่วนหนึ่งมาจากผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้นมดิบแทนนมผง เพราะมีราคานมผงเพิ่มจาก 15.50 บาท เป็น 18.20 บาท ส่งผลให้เกษตรกรหันมาผลิตน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น
สำหรับไทย-เดนมาร์คได้ปรับราคาขึ้นนมพร้อมดื่ม 2 ครั้ง หรือเพิ่มขึ้น 5% โดยขนาด 250 ซีซี จาก 11 บาท เป็น 12 บาท ส่วนขนาด 200 ซีซี เพิ่มจาก 9 บาท เป็น 10 บาท และ 125 ซีซี จาก 5 บาท เป็น 7 บาท
ส่วนสภาพตลาดนมพร้อมดื่มโดยรวมมูลค่า 30,000 ล้านบาท ในช่วง 2-3 ปีมีอัตราการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมามีอัตราการ 5% ทั้งนี้เป็นเพราะพฤติกรรมคนไทยดื่มนมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตลาดนมพร้อมดื่มในไทยสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะอัตราการบริโภคคนไทย 13 ลิตรต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับมาเลเซีย 20 ลิตรต่อคนต่อปี ส่วนญี่ปุ่น 25 ลิตรต่อคนต่อปี
ทั้งนี้จากการดำเนินเชิงรุกในปีนี้ ตั้งเป้ามีรายได้ 4,000 ล้านบาท และมีกำไร 150 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกหรือระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม มีกำไร 70 ล้านบาท ส่วนรายได้ปีที่ผ่านมา 3,500 ล้านบาท กำไร 80 ล้านบาท
นายอำนาจ ธีระวนิช ประธานกรรมการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ผู้ผลิตและจำหน่ายนมพร้อมดื่มตราไทย-เดนมาร์ค เปิดเผยว่า ได้วางเป้าหมายอีก 5 ปี นมไทย-เดนมาร์คจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดแทนที่โฟร์โมสต์ซึ่งมีส่วนแบ่ง 38% ขณะที่ปัจจุบันเป็นอันดับ 2 ครองส่วนแบ่ง 30% ส่วนหนองโพอันดับ 3 มีส่วนแบ่ง 11-12%
โดยทำตลาดเชิงรุกอย่างครบวงจรในรอบ 10 ปี ด้วยงบ 300 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงาน 3 แห่ง จากปัจจุบันมีทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ โรงงานที่หมวกเหล็ก ขอนแก่น ปราณบุรี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตจาก 320-350 ตันต่อวันเป็น 450-500 ตันต่อวัน เพื่อนำไปผลิตสินค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น จากปัจจุบันไทย-เดนมาร์คมีรสจืด หวาน และช็อกโกแลต ตลอดจนรองรับกับความต้องการของตลาด และขยายฐานลูกค้าใหม่รวมถึงการครอบคลุมช่องทางจำหน่าย คาดว่าการปรับปรุงโรงงานแล้วเสร็จเดือนพฤษภาคมนี้
ล่าสุดทุ่ม 50 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา 45 ปี ฟาร์มโคนม ไทย-เดนมาร์ค"เพื่อสื่อสารสโลแกนใหม่ "เพื่อนแท้ที่คอยดูแลคุณเสมอมา" และเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้ามีความทันสมัยมากขึ้น และวางแผนปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ หลอด การเพิ่มความหลากหลายของรสชาติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา 3-4 รสชาติ ปีนี้เตรียมเปิดตัวรสชาติใหม่โลว์แฟตลงสู่ตลาด ล่าสุดในช่วงที่ตลาดนมยูเอชทีสำหรับเด็กเติบโตสูง จึงได้ส่งบรรจุภัณฑ์ขนาด 125 ซีซี ในรสจืดและหวาน ราคา 7 บาท เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มเด็กอายุ 10-15 ปี จากปัจจุบันฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มอายุ 35 ปี ส่วนอายุ 25 ปีมีฐานลูกค้าน้อยมาก
อีกทั้งได้เพิ่มความถี่ในการสื่อสารตลาด รวมทั้งการทำโปรโมชันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังวางแผนช่องทางจำหน่ายผ่านการแบ่งเขต เพื่อแบ่งแยกการทำตลาดได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะทางภาคเหนือตอนบนและภาคใต้ตอนล่าง จากปัจจุบันมีเอเยนต์ทั้งหมด 60 ราย
สำหรับภาวะตลาดนมพร้อมดื่มการแข่งขันจะเน้นในรูปแบบสร้างการรับรู้ผ่านการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้ทุ่มงบ 5 ล้านบาท พัฒนาฟาร์มไทย-เดนมาร์คเป็นธุรกิจในรูปแบบท่องเที่ยวบนพื้นที่ 2,500 ไร่ เพื่อให้เป็นช่องทางการสื่อสารถึงผู้โภคอีกทางหนึ่ง โดยรูปแบบการท่องเที่ยวในสาระและความรู้เป็นหลัก ขณะเดียวกันยังมีสถานที่ให้พัก วางกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนสัดส่วน 80% และบุคคลทั่วไป 20% ซึ่งได้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ในปีที่ผ่านมานี้ ทั้งนี้ตั้งเป้ามีรายได้จากการเปิดฟาร์มท่องเที่ยว 20 ล้านบาท
นายอำนาจกล่าวว่า ราคานมในปีนี้คาดว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอีก เพราะมีการจัดสรรวัตถุดิบได้ลงตัว อีกทั้งในปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น 20% เนื่องจากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา จาก 12.50 บาทต่อกก.เพิ่มเป็น 12.90 บาทต่อกก. ในเดือนธันวาคม 2549 จากนั้นเดือนเมษายน 2550 เพิ่มจาก 12.50 บาทต่อกก.เป็น 13.25 บาทต่อกก. และเดือนตุลาคม 2550 เพิ่มจาก 13.25 บาทต่อกก.เป็น 14.50 บาทต่อกก. ทำให้ราคาน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น 3 บาทในรอบ 2 ปี ซึ่งถือว่าเป็นที่สูงที่สุด และส่วนหนึ่งมาจากผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้นมดิบแทนนมผง เพราะมีราคานมผงเพิ่มจาก 15.50 บาท เป็น 18.20 บาท ส่งผลให้เกษตรกรหันมาผลิตน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น
สำหรับไทย-เดนมาร์คได้ปรับราคาขึ้นนมพร้อมดื่ม 2 ครั้ง หรือเพิ่มขึ้น 5% โดยขนาด 250 ซีซี จาก 11 บาท เป็น 12 บาท ส่วนขนาด 200 ซีซี เพิ่มจาก 9 บาท เป็น 10 บาท และ 125 ซีซี จาก 5 บาท เป็น 7 บาท
ส่วนสภาพตลาดนมพร้อมดื่มโดยรวมมูลค่า 30,000 ล้านบาท ในช่วง 2-3 ปีมีอัตราการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมามีอัตราการ 5% ทั้งนี้เป็นเพราะพฤติกรรมคนไทยดื่มนมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตลาดนมพร้อมดื่มในไทยสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะอัตราการบริโภคคนไทย 13 ลิตรต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับมาเลเซีย 20 ลิตรต่อคนต่อปี ส่วนญี่ปุ่น 25 ลิตรต่อคนต่อปี
ทั้งนี้จากการดำเนินเชิงรุกในปีนี้ ตั้งเป้ามีรายได้ 4,000 ล้านบาท และมีกำไร 150 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกหรือระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม มีกำไร 70 ล้านบาท ส่วนรายได้ปีที่ผ่านมา 3,500 ล้านบาท กำไร 80 ล้านบาท