เปิดสถิติปี 2550 พรรคการเมือง-มูลนิธิ-สมาคม-สหภาพฯ” ทั่วประเทศผุดเป็นดอกเห็ด เกือบ 7 หมื่นแห่ง ทำยอดบริจาคและเงินปันผล พุ่งเฉียด 1.4 แสนล้านบาท กรุงเทพฯ มากสุด ตามมาด้วยภาคอีสาน พบองค์การฯ จากต่างประเทศเข้าไทยจำนวนมากเพิ่มถึง 75 %
รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจองค์การเอกชน ที่ไม่แสวงหากำไร ของปี 2550 ว่า ในปี 2550 มีองค์การฯ ประเภทนี้ จำนวนทั้งสิ้น 65,459 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปี 2545 ถึง 17.3 % โดยในรอบบัญชีปี 2549 มีรายรับรวม 139,426.4 ล้านบาท หรือ เฉลี่ย 2.1 ล้านบาทต่อองค์การฯ แบ่งเป็นรายรับจากเงินบริจาคหรือเงินสนับสนุนมากสุด 65.5% รองลงมา เงินสงเคราะห์ 13.7% การจำหน่ายสินค้าและบริการ 11.1% ดอกเบี้ย 6 % เงินปันผล 1.7 % เงินจากค่าธรรมเนียมสมาชิก 1.7 % เป็นต้น
ซึ่งองค์การที่ดำเนินกิจการด้านบริการเชิงสังคมสงเคราะห์ได้รับมากสุด ขณะที่ค่าใช้จ่ายจำนวน 80,294.6 ล้านบาท เฉลี่ย 1.2 ล้านบาทต่อองค์การฯ ส่วนใหญ่ จ่ายด้านกิจกรรม เช่น ค่าอาหาร เครื่องนุ่งห่ม 57.4% รองลงมาใช้จ่ายด้านสำนักงาน 22.1% และบุคลากร 20.5%
สำหรับการดำเนินงานเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือขององค์การฯ พบว่า ช่วยเหลือโดยให้เงินสดมากสุด 55.2 % รองลงมาให้คำปรึกษา 20.7% ให้สิ่งของ 12% ให้ที่พักอาศัยชั่วคราว 1.8% ส่วนที่เหลือให้การบำบัดรักษา ฝึกอาชีพ ให้ยืมเงิน ในการประกอบอาชีพ ให้บริการจัดหางาน เป็นต้น
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า องค์การเอกชนฯ ทั้ง 65,459 แห่ง ส่วนใหญ่ดำเนินการ เกี่ยวกับศาสนา 63.2 % รองลงมา บริการสังคมสงเคราะห์ 25.6 % สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ 5.8 % ที่เหลือเป็น สมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงาน สหภาพรัฐวิสาหกิจ สมาคมการค้า หอการค้า พรรคการเมือง และองค์การเอกชน ต่างประเทศ 5.4 % ซึ่งทั้งหมดจะมีบุคลากรที่ปฎิบัติงานรวมกัน 923,193 คน แบ่งเป็น อาสาสมัคร 42.9 % คนทำงานโดยไม่ได้เงินเดิน 38.4 % พนักงงานประจำ 12.1% นักบวชที่ได้เงินประจำตำแหน่ง 4.5 % และพนักงานชั่วคราว 2.1%
ทั้งนี้ ในปี 2550 องค์การฯ ในกรุงเทพฯ จะมีสัดส่วนเพิ่มจากปี 2545 มากสุด 44.8 % รองลงมาภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่ม 18.8 % ภาคเหนือ เพิ่ม 15.8 % ภาคใต้ 15.1 % และ ภาคกลาง 4.7 %
โดยเป็นที่น่าสังเกตุว่าองค์การเอกชนต่างประเทศมีสัดส่วนเพิ่มสูงถึง 75 % คือจากในปี 2545 ที่มี 52 แห่งเป็น 91 แห่งในปี 2550 ขณะที่สมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงานและ รัฐวิสาหกิจเพิ่มจาก 1,539 แห่งเป็น 2,378 แห่ง, พรรคการเมือง เพิ่มจาก 32 พรรคเป็น 44 พรรค, สมาคมการค้าและหอการค้า เพิ่มจาก 758 แห่งเป็น 1,046 แห่ง, การบริการสังคมสงเคราะห์ เพิ่มจาก 15,761 แห่งเป็น 16,768 แห่ง และองค์การศาสนาเพิ่มจาก 34,254 แห่งเป็น 41,391 แห่ง เป็นต้น
รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจองค์การเอกชน ที่ไม่แสวงหากำไร ของปี 2550 ว่า ในปี 2550 มีองค์การฯ ประเภทนี้ จำนวนทั้งสิ้น 65,459 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปี 2545 ถึง 17.3 % โดยในรอบบัญชีปี 2549 มีรายรับรวม 139,426.4 ล้านบาท หรือ เฉลี่ย 2.1 ล้านบาทต่อองค์การฯ แบ่งเป็นรายรับจากเงินบริจาคหรือเงินสนับสนุนมากสุด 65.5% รองลงมา เงินสงเคราะห์ 13.7% การจำหน่ายสินค้าและบริการ 11.1% ดอกเบี้ย 6 % เงินปันผล 1.7 % เงินจากค่าธรรมเนียมสมาชิก 1.7 % เป็นต้น
ซึ่งองค์การที่ดำเนินกิจการด้านบริการเชิงสังคมสงเคราะห์ได้รับมากสุด ขณะที่ค่าใช้จ่ายจำนวน 80,294.6 ล้านบาท เฉลี่ย 1.2 ล้านบาทต่อองค์การฯ ส่วนใหญ่ จ่ายด้านกิจกรรม เช่น ค่าอาหาร เครื่องนุ่งห่ม 57.4% รองลงมาใช้จ่ายด้านสำนักงาน 22.1% และบุคลากร 20.5%
สำหรับการดำเนินงานเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือขององค์การฯ พบว่า ช่วยเหลือโดยให้เงินสดมากสุด 55.2 % รองลงมาให้คำปรึกษา 20.7% ให้สิ่งของ 12% ให้ที่พักอาศัยชั่วคราว 1.8% ส่วนที่เหลือให้การบำบัดรักษา ฝึกอาชีพ ให้ยืมเงิน ในการประกอบอาชีพ ให้บริการจัดหางาน เป็นต้น
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า องค์การเอกชนฯ ทั้ง 65,459 แห่ง ส่วนใหญ่ดำเนินการ เกี่ยวกับศาสนา 63.2 % รองลงมา บริการสังคมสงเคราะห์ 25.6 % สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ 5.8 % ที่เหลือเป็น สมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงาน สหภาพรัฐวิสาหกิจ สมาคมการค้า หอการค้า พรรคการเมือง และองค์การเอกชน ต่างประเทศ 5.4 % ซึ่งทั้งหมดจะมีบุคลากรที่ปฎิบัติงานรวมกัน 923,193 คน แบ่งเป็น อาสาสมัคร 42.9 % คนทำงานโดยไม่ได้เงินเดิน 38.4 % พนักงงานประจำ 12.1% นักบวชที่ได้เงินประจำตำแหน่ง 4.5 % และพนักงานชั่วคราว 2.1%
ทั้งนี้ ในปี 2550 องค์การฯ ในกรุงเทพฯ จะมีสัดส่วนเพิ่มจากปี 2545 มากสุด 44.8 % รองลงมาภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่ม 18.8 % ภาคเหนือ เพิ่ม 15.8 % ภาคใต้ 15.1 % และ ภาคกลาง 4.7 %
โดยเป็นที่น่าสังเกตุว่าองค์การเอกชนต่างประเทศมีสัดส่วนเพิ่มสูงถึง 75 % คือจากในปี 2545 ที่มี 52 แห่งเป็น 91 แห่งในปี 2550 ขณะที่สมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงานและ รัฐวิสาหกิจเพิ่มจาก 1,539 แห่งเป็น 2,378 แห่ง, พรรคการเมือง เพิ่มจาก 32 พรรคเป็น 44 พรรค, สมาคมการค้าและหอการค้า เพิ่มจาก 758 แห่งเป็น 1,046 แห่ง, การบริการสังคมสงเคราะห์ เพิ่มจาก 15,761 แห่งเป็น 16,768 แห่ง และองค์การศาสนาเพิ่มจาก 34,254 แห่งเป็น 41,391 แห่ง เป็นต้น
