ททท.ปักกิ่ง เปรยขอรัฐบาลใหม่ เร่งสยายปีกเปิดสำนักงานสาขาของ ททท.คลุมประเทศจีนอย่างน้อย 3 แห่ง หวั่นเสียโอกาสทางการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งขัน อย่าง มาเลเซีย ฮ่องกง และ สิงคโปร์ มั่นใจหากทำได้จำนวนนักท่องเที่ยวตลาดนี้จะโตแบบก้าวกระโดด เป็น 2 ล้านคน ภายใน 3 ปี โกยรายได้เข้าประเทศมหาศาล
นายอำนวย เทียมกีรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานกรุงปักกิ่ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในปี 2551 นักท่องเที่ยวตลาดจีน มีแนวโน้มเติบโตสูง หากสถานการณ์ในประเทศไทยอยู่ในภาวะปกติ ไม่เหมือนปีที่ผ่านมา ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวในตลาดนี้ จึงต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ให้การสนับสนุนการกระตุ้นตลาดนี้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้เพราะจีนเป็นประเทศใหญ่ พื้นที่กว้าง จำนวนประชา-กรกว่า 1.3 พันคน ดังนั้นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่สุด คือการพิจารณาตั้งสำนักงาน ททท.ในประเทศจีนให้มีเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 สำนักงาน เพื่อทำการกระตุ้นตลาดได้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากปัจจุบัน ที่มีเพียงสำนักงาน กรุงปักกิ่ง เพียงแห่งเดียว ซึ่งในปีงบประมาณ 2551 จะ
รีบดำเนินการเปิดเพิ่มอีก 1 แห่ง คือ ที่มหานครเซี่ยงไฮ้ คาดว่าเริ่มเปิดดำเนินการได้ราวปลายปีงบประมาณ ดังนั้นหากตั้งสำนักงานเพิ่มอีก 1 แห่ง เพื่อให้ครบ 3 แห่งนั้น มี 3 ทำเลที่ควรพิจารณาคือ กวางโจว เฉินตู และ คุนหมิง
“ต้องเข้าใจภูมิประเทศของจีนว่า มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก สำนักงานเพียงแห่งเดียวไม่ครอบคลุมเพียงพอ ซึ่งยังมีชาวจีนที่มีศักยภาพพรอ้มเดินทางเที่ยวในต่างประเทศแต่ไทยยังเข้าไปกระตุ้นตลาดได้ไม่ถึง ประชากร 1,300 คน มีกว่า 10% หรือ 130 ล้านคน ที่มีศักยภาพเดินทางเที่ยวไปต่างประเทศหากไทยซึ่งมีโลเกชันใกล้
ประเทศจีน เดินทางได้สะดวกในหลายเส้นทาง สามารถดึงมาเที่ยวประเทศไทยได้ 10% หรือ 13 ล้าน น่าจะมีความเป็นไปได้สูง เพราะ คนจีนสามารถเดินทางมาไทยต่อปีได้มากกว่า 1 ครั้ง เพราะแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและหลากหลาย”
นายอำนวย กล่าวว่า หากประเทศไทยมีสำนักงาน ททท.ในจีนอย่างน้อย 3 แห่ง จะสามารถสร้างความถี่ในการรับรู้แบรนด์ประเทศไทยในตลาดนี้ไม่มากขึ้น และ มั่นใจว่า จะสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศนี้ได้เติบโตขึ้นเท่าตัวจากปัจจุบัน นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพียง 1-1.2 ล้านคน จะเพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 2 ล้านคนภายใน 3 ปีข้างหน้านับจากปีนี้
สำหรับประเทศจีน เป็นอีกหนึ่งตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทย เนื่องจากความสัมพันธ์อันดีของทั้ง 2 ประเทศที่มีมายาวนาน คนไทยให้การต้อนรับดีไม่มีการเหยียดสีผิว เหมือนการเดินทางไปยุโรป และ ขณะนี้รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ ก็ร่วมมือแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจัง ขณะที่ บริษัทนำเที่ยวของจีน และ นัก
ท่องเที่ยวจีน ก็เริ่มเข้าใจเรื่องทัวร์คุณภาพมากขึ้น ตลาดนี้จึงเป็นตลาดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพมีกำลังซื้อสูง เหมือนตลาดอื่นๆ ซึ่งประเทศคู่แข่งขัน เช่น มาเลเซีย ปัจจุบัน มี 4 สำนักการท่องเที่ยวในจีนรวม 4 แห่ง ได้รับจัดสรรงบประมาณมากกว่าประเทศไทย 5 เท่า ส่วน สิงคโปร์ และ ฮ่องกง ก็ให้ความสำคัญกับตลาดนี้ไม่น้อยเช่น
กัน หากประเทศไทย ไม่เร่งดำเนินการ จะสูญเสียโอกาสทางการแข่งขัน
ทั้งนี้ ทางสำนักงานกรุงปักกิ่งของไทย ได้รับจัดสรรงบประมาณประจำปี 2551 จำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งไทยติดแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมระยะใกล้ของจีน รวมถึงเรื่องความปลอดภัย ดังนั้นดูแลตลาดได้ทั่วถึง ก็จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม ในปี 2551 คาดว่า ตลาดจีนยังเติบโตต่อเนื่องอีกราว 10-15% จากปี ก่อน ซึ่งกลยุทธ์กระตุ้นตลาดนี้ ที่ดำเนินการอยู่ ได้แก่ ร่วมกับบริษัทนำเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ และ การส่งเสริมทัวร์คุณภาพในกลุ่ม FIT ซึ่งกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ จะเป็นหนุ่มสาว วัยทำงาน มีความรู้ภาษาอังกฤษ ส่วนปัญหาเรื่องเที่ยว
บินไม่เพียงพอ ยังคงต้องขอความช่วยเหลือจากภาครัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งเจรจา ดึงเที่ยวบินเข้าประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันการเดินทางของนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเป็นชาร์เตอร์ไฟล์ท หรือเที่ยวบินเช่าเหมาลำ
นายอำนวย เทียมกีรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานกรุงปักกิ่ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในปี 2551 นักท่องเที่ยวตลาดจีน มีแนวโน้มเติบโตสูง หากสถานการณ์ในประเทศไทยอยู่ในภาวะปกติ ไม่เหมือนปีที่ผ่านมา ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวในตลาดนี้ จึงต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ให้การสนับสนุนการกระตุ้นตลาดนี้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้เพราะจีนเป็นประเทศใหญ่ พื้นที่กว้าง จำนวนประชา-กรกว่า 1.3 พันคน ดังนั้นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่สุด คือการพิจารณาตั้งสำนักงาน ททท.ในประเทศจีนให้มีเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 สำนักงาน เพื่อทำการกระตุ้นตลาดได้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากปัจจุบัน ที่มีเพียงสำนักงาน กรุงปักกิ่ง เพียงแห่งเดียว ซึ่งในปีงบประมาณ 2551 จะ
รีบดำเนินการเปิดเพิ่มอีก 1 แห่ง คือ ที่มหานครเซี่ยงไฮ้ คาดว่าเริ่มเปิดดำเนินการได้ราวปลายปีงบประมาณ ดังนั้นหากตั้งสำนักงานเพิ่มอีก 1 แห่ง เพื่อให้ครบ 3 แห่งนั้น มี 3 ทำเลที่ควรพิจารณาคือ กวางโจว เฉินตู และ คุนหมิง
“ต้องเข้าใจภูมิประเทศของจีนว่า มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก สำนักงานเพียงแห่งเดียวไม่ครอบคลุมเพียงพอ ซึ่งยังมีชาวจีนที่มีศักยภาพพรอ้มเดินทางเที่ยวในต่างประเทศแต่ไทยยังเข้าไปกระตุ้นตลาดได้ไม่ถึง ประชากร 1,300 คน มีกว่า 10% หรือ 130 ล้านคน ที่มีศักยภาพเดินทางเที่ยวไปต่างประเทศหากไทยซึ่งมีโลเกชันใกล้
ประเทศจีน เดินทางได้สะดวกในหลายเส้นทาง สามารถดึงมาเที่ยวประเทศไทยได้ 10% หรือ 13 ล้าน น่าจะมีความเป็นไปได้สูง เพราะ คนจีนสามารถเดินทางมาไทยต่อปีได้มากกว่า 1 ครั้ง เพราะแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและหลากหลาย”
นายอำนวย กล่าวว่า หากประเทศไทยมีสำนักงาน ททท.ในจีนอย่างน้อย 3 แห่ง จะสามารถสร้างความถี่ในการรับรู้แบรนด์ประเทศไทยในตลาดนี้ไม่มากขึ้น และ มั่นใจว่า จะสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศนี้ได้เติบโตขึ้นเท่าตัวจากปัจจุบัน นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพียง 1-1.2 ล้านคน จะเพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 2 ล้านคนภายใน 3 ปีข้างหน้านับจากปีนี้
สำหรับประเทศจีน เป็นอีกหนึ่งตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทย เนื่องจากความสัมพันธ์อันดีของทั้ง 2 ประเทศที่มีมายาวนาน คนไทยให้การต้อนรับดีไม่มีการเหยียดสีผิว เหมือนการเดินทางไปยุโรป และ ขณะนี้รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ ก็ร่วมมือแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจัง ขณะที่ บริษัทนำเที่ยวของจีน และ นัก
ท่องเที่ยวจีน ก็เริ่มเข้าใจเรื่องทัวร์คุณภาพมากขึ้น ตลาดนี้จึงเป็นตลาดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพมีกำลังซื้อสูง เหมือนตลาดอื่นๆ ซึ่งประเทศคู่แข่งขัน เช่น มาเลเซีย ปัจจุบัน มี 4 สำนักการท่องเที่ยวในจีนรวม 4 แห่ง ได้รับจัดสรรงบประมาณมากกว่าประเทศไทย 5 เท่า ส่วน สิงคโปร์ และ ฮ่องกง ก็ให้ความสำคัญกับตลาดนี้ไม่น้อยเช่น
กัน หากประเทศไทย ไม่เร่งดำเนินการ จะสูญเสียโอกาสทางการแข่งขัน
ทั้งนี้ ทางสำนักงานกรุงปักกิ่งของไทย ได้รับจัดสรรงบประมาณประจำปี 2551 จำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งไทยติดแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมระยะใกล้ของจีน รวมถึงเรื่องความปลอดภัย ดังนั้นดูแลตลาดได้ทั่วถึง ก็จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม ในปี 2551 คาดว่า ตลาดจีนยังเติบโตต่อเนื่องอีกราว 10-15% จากปี ก่อน ซึ่งกลยุทธ์กระตุ้นตลาดนี้ ที่ดำเนินการอยู่ ได้แก่ ร่วมกับบริษัทนำเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ และ การส่งเสริมทัวร์คุณภาพในกลุ่ม FIT ซึ่งกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ จะเป็นหนุ่มสาว วัยทำงาน มีความรู้ภาษาอังกฤษ ส่วนปัญหาเรื่องเที่ยว
บินไม่เพียงพอ ยังคงต้องขอความช่วยเหลือจากภาครัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งเจรจา ดึงเที่ยวบินเข้าประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันการเดินทางของนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเป็นชาร์เตอร์ไฟล์ท หรือเที่ยวบินเช่าเหมาลำ