สื่อต่างประเทศรายงานไมโครซอฟท์ (Microsoft) เร่งแผนย้ายการผลิตฮาร์ดแวร์ออกจากจีน ทั้งแบรนด์คอมพิวเตอร์พกพาอย่าง Surface เครื่องเกมคอนโซล Xbox และเซิร์ฟเวอร์ดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อขยายการผลิตไปเวียดนาม-ไทยให้เสร็จภายในปี 2569
ขยายฐานการผลิตนี้ถูกมองเป็นขั้นตอน "การลดการพึ่งพา" ที่ Microsoft จะประกาศอย่างระมัดระวัง โดยจะเลี่ยงการประกาศแยกตัวอย่างกระทันหัน
***มาเวียดนามและไทย
สื่อต่างประเทศชี้ว่า Microsoft ได้เริ่มทำงานร่วมกับซัปพลายเออร์เพื่อขยายการดำเนินงานไปยังเวียดนามและไทย ซึ่งไม่เพียงแต่ครอบคลุมขั้นตอนการประกอบสุดท้ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย
ข้อมูลจากแหล่งข่าวไม่ระบุนาม ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป้นดีลใหญ่ที่มีขอบเขตค่อนข้างกว้างขวาง แสดงให้เห็นถึงการปรับโครงสร้างที่ลึกซึ้งมากกว่าการเปลี่ยนแปลงระดับผิวเผิน และเป็นการตอบโต้ความเครียดด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
สื่อต่างประเทศวิเคราะห์ว่าแผนการของ Microsoft สะท้อนแนวโน้มการหลบเลี่ยงสายการผลิตจากจีนที่กำลังเติบโตอย่างเงียบ ๆ โดยในหมู่คู่แข่งของ Microsoft ทั้ง Amazon Web Services และ Google ต่างพยายามลดการพึ่งพาซัปพลายเออร์จีน เนื่องจากความกังวลเรื่องภาษีศุลกากร ข้อห้ามในการส่งออก และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
รายงานยังชี้ว่า Microsoft วางเป้าหมายการผลิตปี 2569 เพื่อจัดส่งอุปกรณ์ Surface ประมาณ 4 ล้านเครื่องต่อปี และได้เริ่มย้ายการประกอบเซิร์ฟเวอร์บางส่วนออกจากจีนแล้ว บริษัทมีเป้าหมายให้ผลิตภัณฑ์ Surface และดาต้า เซ็นเตอร์ใหม่เกือบทั้งหมดมาจากที่อื่นภายในปี 2569 โดยคาดการณ์ว่าส่วนประกอบเซิร์ฟเวอร์ถึง 80% อาจมาจากนอกจีนในที่สุด
นักสังเกตการณ์เชื่อว่า Microsoft จะเผชิญความท้าทายในการโยกย้าย เนื่องจากการย้ายสายการประกอบจะต้องคำนึงถึงการสร้างระบบนิเวศส่วนประกอบในพื้นที่ใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ขณะเดียวกัน ซัปพลายเออร์ที่มีความเชี่ยวชาญ วัตถุดิบ และเครือข่ายโลจิสติก ก็ยังคงเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานของจีนอย่างมาก
ที่สุดแล้ว การตัดสินใจของ Microsoft สะท้อนแนวโน้มที่กำลังขยายตัวในภาคเทคโนโลยี โดยใช้การกระจายห่วงโซ่อุปทานเป็นหนึ่งในวิธีการปกป้องตัวเอง ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายและภาษีศุลกากรบ่อยครั้ง สำหรับ Microsoft ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านบริการคลาวด์ บริการองค์กร และเทคโนโลยีผู้บริโภค เชื่อว่าการปรับการผลิตแพร่หลายทั่วโลกจะช่วยรักษาเสถียรภาพระยะยาว แม้ว่าจะมีต้นทุนการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นที่สูงก็ตาม.