xs
xsm
sm
md
lg

ดร.เทอดพงษ์ชี้ไทยควรเป็นผู้รับเงินจากไอที แนะรัฐหนุนสร้างคนเก่ง-นวัตกรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ดร.เทอดพงษ์ หงษ์หิรัญเรือง" วิเคราะห์การค้าโลกและผลกระทบต่อไทยในยุคภาษีทรัมป์ ชี้ไทยควรเป็น "ผู้รับเงิน" จากธุรกิจไอที แทนที่จะเป็น "ผู้เสียเงิน" กระตุกรัฐและเอกชนเห็นความจำเป็นในการสร้างคนเก่งด้านเทคเพิ่มขึ้น และการพัฒนานวัตกรรมของประเทศ เพื่อให้มีทรัพย์สินทางปัญญาเป็นของตัวเอง

สำหรับความฝันของประเทศไทย การก้าวสู่เวทีโลกต้องแข็งแกร่งจากภายใน หากผู้ประกอบการไทยยังไม่สามารถแข่งขันได้ในประเทศ โอกาสที่จะก้าวไปยืนบนเวทีโลกนั้นเป็นไปได้ยาก และการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อสร้างความได้เปรียบภายในประเทศ จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การเป็นผู้เล่นระดับโลกตัวจริง

***ทรงพลัง Mobile Banking ควบ E-commerce

ดร.เทอดพงษ์ หงษ์หิรัญเรือง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และกรรมการบริษัท บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงนโยบายการค้า ผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทย และข้อเสนอแนะสำหรับการปรับตัวของประเทศไทยในยุคที่นโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเขย่าตลาดโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ว่าด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำด้าน Mobile Banking และมูลค่าตลาด E-commerce ที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ประเทศไทยจึงถือว่ามีความพร้อมก้าวข้ามบทบาทผู้บริโภคสู่การเป็น ผู้สร้างนวัตกรรมและผู้ส่งออกเทคโนโลยีบนเวทีโลกอย่างแท้จริง แต่จะต้องมีภาครัฐพร้อมร่วมลงทุนและสนับสนุนเพื่อสร้างความได้เปรียบ

"แม้จะมีความพร้อมใช้ แต่ว่าเราคงจะไม่อยากเห็นว่าเราเป็นเพียงแค่ผู้บริโภค เราอยากจะเป็นผู้ประกอบการ เราอยากเป็นคนรับเงิน เราไม่ได้อยากเป็นคนเสียเงิน เพราะฉะนั้น การที่เราอยากจะเป็นคนรับเงิน อยากจะรวยจากธุรกิจด้านไอที เราจำเป็นที่จะต้องมี Tech Talent ที่มากขึ้น และต้องมีนวัตกรรม รวมถึงการประกอบกับหลายส่วน"

 ดร.เทอดพงษ์ หงษ์หิรัญเรือง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และกรรมการบริษัท บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ดร.เทอดพงษ์ อธิบายว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีนโยบาย reshoring เพื่อต้องการให้อเมริกาแข็งแรงเหมือนเดิม เนื่องจากประเทศประสบปัญหาขาดดุลการค้ากับหลายประเทศ เดิมมีการพูดคุยเรื่อง Free Trade และ Bilateral Trade แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว สหรัฐฯ เสียเปรียบในหลายเรื่อง จึงนำมาสู่การใช้ reciprocal tariffs (ภาษีตอบโต้) เพื่อชดเชยส่วนที่เสียไป แม้ว่าการขึ้นภาษีจะไม่ใช่ทางออกเดียว และหากมีวิธีการอื่นที่สามารถชดเชย ก็สามารถนำมาพิจารณาได้

สำหรับอัตราภาษีของไทย ซึ่งประเทศไทยเสียภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ 19% อย่างไรก็ตาม สำหรับสินค้าประเภท "สวมสิทธิ์" หรือ transshipment ที่ไม่มีเนื้อหาหรือ content ตามที่กำหนด จะต้องเสียภาษีสูงถึง 40% แน่นอนว่าในภาพรวม แรงกระเพื่อมจากภาษีที่สูงขึ้นนั้นจะส่งผลถึงหลายส่วน ทั้งส่วนของรัฐที่จะได้ประโยชน์ เพราะได้ภาษีเพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนของประชาชนที่เสียประโยชน์เพราะต้องซื้อของแพงขึ้น และส่วนของผู้ประกอบการที่จะแข่งขันลำบาก จากภาวะที่ประเทศคู่แข่งที่ส่งสินค้าไปอเมริกาเสียภาษีนำเข้าที่ถูกกว่าและมีต้นทุนต่ำกว่า

อุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบไม่ได้มีเพียงสินค้าการเกษกรและอาหาร แต่ในอุตสาหกรรมโรงงานที่เกี่ยวกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักร Mechanical & Electrical (M&E) ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์ไอที ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ก็จะได้รับผลด้วย โดยผลกระทบมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณผู้ประกอบการที่ส่งสินค้ากลุ่มนี้ไปอเมริกา

"หากเปรียบเทียบไทยกับประเทศคู่แข่ง ทั้งเวียดนาม, อินเดีย และเม็กซิโก พบว่าเวียดนามมีอัตราภาษีเริ่มต้นค่อนข้างใกล้เคียงกับไทย และความได้เปรียบของไทยอยู่ที่เวียดนามนั้นพึ่งพาการลงทุนจากจีนค่อนข้างมาก ซึ่งจีนมักจะนำทีมงานและผู้ประกอบการมาทั้งหมด ทำให้มีความสามารถระดับท้องถิ่นหรือ local content น้อย ในกรณีนี้ เวียดนามจะเสียประโยชน์จากเรื่อง transshipment ที่ 40% ซึ่งเป็นจุดที่ไทยได้เปรียบ"

***เวียดนามเร็ว ไทยยังช้า

หากมองด้านความได้เปรียบของเวียดนาม ดร.เทอดพงษ์พบว่าเวียดนามมีผู้มีความเชี่ยวชาญ (Talent) ที่สามารถทำฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีกว่าไทย และมีการถ่ายทอดความรู้ (knowledge transfer) จากจีน โดยนโยบายภาครัฐของเวียดนาม ถือเป็นจุดเด่นที่เวียดนามได้เปรียบไทยอย่างมาก เวียดนามมีความรวดเร็วในการตัดสินใจและปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางธุรกิจ เช่น การลดจำนวนจังหวัด หรือการยุบโรงเรียนที่มีมากเกินไป ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนแบบ Top-down ที่รวดเร็ว

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีนโยบาย reshoring เพื่อต้องการให้อเมริกาแข็งแรงเหมือนเดิม
กลับมาที่ประเทศไทย ดร.เทอดพงษ์ มองว่าศักยภาพของไทยคือปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตที่แพร่หลาย มีเครือข่ายมือถือครอบคลุม โดยรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าไทยมีการใช้ mobile banking เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และมีมูลค่าตลาด e-commerce สูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ของโลกในเชิงประชากร และอันดับ 17 ของโลกในเชิงมูลค่า

ความท้าทายของไทยจึงอยู่ที่การไม่ควรเป็นแค่ผู้บริโภค แต่ควรเป็นผู้ประกอบการและผู้รับเงินจากธุรกิจด้านไอที และควรต้องปัญหาหลักคือการขาดแคลนบุคลากรคนเก่งด้านเทค ซึ่งข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาและสร้างนวัตกรรม คือไทยต้องเร่งให้ผู้ประกอบการไทยนำไอทีเข้ามาใช้ ร่วมกับการคิดค้นนวัตกรรมของตนเองเพื่อสร้างทรัพย์สินทางปัญญาหรือ International Property (IP) ให้ได้ บนความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคการศึกษา และกลุ่มผู้เกษียณอายุที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อถ่ายทอดความรู้และพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมา

ดร.เทอดพงษ์ มองว่าหากไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีด้านทุนมนุษย์ (Human Capital) และนโยบายที่ดึงดูดการลงทุน ก็ย่อมจะช่วยให้ภาคธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น นำไปสู่การลดการซื้อสินค้าไอทีจากต่างประเทศ และพิจารณาส่งออกสินค้าไอทีไทยไปยังประเทศที่แข่งขันได้

เมื่อถามถึงบทบาทของภาครัฐในการสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลกใน 5-10 ปีข้างหน้า ดร.เทอดพงษ์ มองว่ารัฐจำเป็นต้องสนับสนุนอย่างจริงจัง เนื่องจากไม่มีประเทศใดที่ภาคเอกชน สตาร์ทอัพ หรือ SME จะเติบโตได้อย่างเข้มแข็งหากไม่มีความช่วยเหลือจากภาครัฐ

"หลายประเทศ โดยเฉพาะในสแกนดิเนเวีย มีการให้เงินทุนสนับสนุนและมีโปรแกรม mentoring จำนวนมาก"

ผลประโยชน์ของการ Co-investment คือรัฐจะส่งเสริมการเติบโต และเมื่อธุรกิจเติบโตและขายสินค้าได้
ดร.เทอดพงษ์ มองว่ามาตรการสนับสนุนที่ภาครัฐควรพิจารณา คือนโยบายลดหย่อนภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในสตาร์ทอัพ (Capital Gain Tax) หรือการลดหย่อนภาษีสำหรับการเข้าร่วมโปรแกรม mentoring ในอีกด้าน บทบาทของรัฐ รัฐควรเป็น Good Policymaker, Good Regulator, Good Facilitator หรือผู้กำหนดนโยบาย-กำกับดูแล-จัดหาสภาพแวดล้อมที่ดี และควรปล่อยให้ภาคเอกชนดำเนินงาน

นอกจากนี้ การสนับสนุนยังสามารถเกิดในรูปแบบหลากหลาย ทั้งการสร้าง Unfair Advantage หรือความได้เปรียบที่ไม่ธรรมดาบางอย่างให้ภาคเอกชนไทย รวมถึงการร่วมลงทุนครึ่งหนึ่งในการพัฒนาแอปพลิเคชันในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพของไทย เช่น เกษตรกรรม หรือการท่องเที่ยว การลงทุนร่วมนี้จะเป็นการส่งเสริมให้เอกชนเก่งๆ เข้ามาร่วม เพราะลงทุนเพียงครึ่งเดียว

ผลประโยชน์ของการ Co-investment คือรัฐจะส่งเสริมการเติบโต และเมื่อธุรกิจเติบโตและขายสินค้าได้ รัฐก็จะได้รับคืนในรูปของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีการขาย ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ win-win ทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนแพลตฟอร์มไทย ทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่ต้องไปอยู่บนแพลตฟอร์มต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้แข่งขันลำบาก

ในอีกด้าน การลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ใช้งานก็เป็นอีกการสนับสนุนที่น่าสนใจ เช่น หากมีการซื้อสินค้าไทยบนแพลตฟอร์มไทย รัฐอาจให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ เช่นเดียวกับการซื้อประกัน หรือ LTF/RMF เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคสนับสนุนสินค้าไทย นอกจากนี้ยังมีการยกเว้นภาษี/คืนภาษีสำหรับผู้ให้บริการ โดยรัฐอาจช่วยเหลือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มด้วยมาตรการทางภาษีต่างๆ เพื่อให้เติบโตและแข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดไทย

"หากผู้ประกอบการยังไม่สามารถแข่งขันในประเทศไทยได้ โอกาสที่จะไปยืนบนเวทีโลกนั้นยากมาก"

ที่สุดแล้ว การสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อสร้างความได้เปรียบภายในประเทศ จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การเป็นผู้เล่นระดับโลก รวมถึงการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกได้แข็งแกร่งจากภายในอย่างแท้จริง.


กำลังโหลดความคิดเห็น